"ดีเอสไอ" ลุย “อิมแพ็ค ฟอรัม ฮอลล์ 4 เมืองทองธานี” จำลองฮั้ว สว.67 ระดับประเทศ ใช้เครื่องเลเซอร์สแกน 3 มิติ สแกนทั่วอาคาร-ห้องน้ำ เตรียมขึ้นโมเดล คาด ได้ข้อมูลสำคัญ-สังเคราะห์พฤติกรรมผิดวิสัย “กลุ่มก้อน สีเสื้อ” ใช้พิจารณาประกอบฐานความผิด “ขบวนการอั้งยี่”
25 เมษายน 2568 - จากกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้อนุมัติให้ทำการสอบสวนกรณีความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) มีการลงพื้นที่สืบสวนสอบสวน ขยายผล รวบรวมพยานหลักฐาน โดยมีคณะพนักงานอัยการจากสำนักงานอัยการสูงสุดมาทำการร่วมสอบสวนด้วย อีกทั้งกรณีดังกล่าวกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ จำนวน 3 ราย ยังได้รับการแต่งตั้งจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้เป็นคณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวนให้มีหน้าที่และอำนาจในการสืบสวนและไต่สวนเรื่องคัดค้านการเลือกสมาชิกวุฒิสภาในทุกพื้นที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ตามที่มีการรายงานข่าวไปแล้วนั้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 25 เม.ย.68 ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยความคืบหน้าจากคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 24/2568 กรณี ความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ว่า ขณะนี้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ดำเนินการในหลายประเด็นแล้ว เช่น สอบปากคำพยานไปแล้ว จำนวน 30 ปาก มีทั้งพยานบุคคล พยานแวดล้อม พยานกลุ่ม สว.สำรอง พยานซึ่งรู้เห็นเหตุการณ์ (ประจักษ์พยาน) พยานผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ รวมไปถึงการรวบรวมพยานวัตถุและพยานเอกสาร เป็นต้น อีกทั้งยังได้มีการตรวจสอบข้อมูลทางธุรกรรมธนาคารของบุคคลในขบวนการ จำนวน 1,200 ราย ตรวจสอบข้อมูลผู้ใช้โทรศัพท์ จำนวน 20,000 เลขหมาย และทำฐานข้อมูลทางดิจิทัล ซึ่งมีความคืบหน้าไปพอสมควร นอกจากนี้ ล่าสุดที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับโอนสำนวนการสอบสวนจาก สภ.รัตนาธิเบศร์ จ.นนทบุรี และ สภ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม ซึ่งมีผู้กล่าวหาในความผิดฐานอั้งยี่ มาเพื่อดำเนินการสอบสวนรวมสำนวนในคดีพิเศษดังกล่าวแล้ว
คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เผยด้วยว่า ในการตรวจสอบพิสูจน์ข้อเท็จจริง ไม่เพียงแต่สอบสวนปากคำและรวบรวมพยานเอกสาร พยานวัตถุเท่านั้น แต่ดีเอสไอได้เล็งเห็นถึงพยานหลักฐานที่เป็นวิทยาศาสตร์ จึงต้องมีการจำลองเหตุการณ์ที่ได้ประมวลมาจากภาพกล้องวงจรปิด (CCTV) โดยเฉพาะสถานที่สำคัญอย่าง “อิมแพ็ค ฟอรัม ฮอลล์ 4 เมืองทองธานี” ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีการเลือก สว.ระดับประเทศ เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.67 โดยในการเลือกระดับประเทศ แบ่งออกเป็น 2 รอบ รอบแรก คือ การลงคะแนนเลือกบุคคลในกลุ่มเดียวกัน ให้ได้ 40 รายที่มีคะแนนสูงสุด ถ้าเท่ากันให้จับสลาก ส่วนรอบสอง หรือ รอบตัดสิน จะเป็นการลงคะแนนแบบเลือกไขว้ โดยจะแบ่งเป็น 4 สาย สายละ 5 กลุ่มอาชีพ เลือกผู้ได้รับเลือกขั้นต้นในกลุ่มอื่นที่อยู่ในสายเดียวกัน คัดเลือกให้ได้ 10 รายที่มีคะแนนสูงสุด ถ้าคะแนนเท่ากันให้จับสลาก ซึ่งการเลือกรอบนี้จะทำให้ได้ตัวจริงของผู้ที่จะเป็น สว. กลุ่มละ 10 ราย เมื่อรวมกันทั้ง 20 กลุ่มอาชีพ ก็จะมีผู้ได้รับเลือก สว. ทั้ง 200 ราย ดังนั้น กรณีที่ดีเอสไอและสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะเข้าพื้นที่จุดเกิดเหตุจริงในวันนี้ เวลา 17.00 น. ก็เพื่อเข้าสังเกตการณ์ ตรวจสถานที่คัดเลือก สว.ระดับประเทศ และจำลองเหตุการณ์ เพื่อประกอบการสอบสวนคดีพิเศษในคดีฟอกเงิน สว. (คดีพิเศษที่ 24/2568) และใช้ประกอบการไต่สวนของ กกต. ด้วย หากมีข้อมูลใดอันเป็นประโยชน์ในส่วนของการพิจารณาตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561
คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เผยต่อว่า ที่ผ่านมา ดีเอสไอได้รับไฟล์ภาพกล้องวงจรปิด อิมแพ็ค ฟอรัม ฮอลล์ 4 เมืองทองธานี เรียบร้อยแล้ว จึงต้องนำมาสู่การจำลองสถานการณ์และจัดทำแผนที่การแสดงพฤติกรรมกลุ่มบุคคลที่ปกปิดวิธีการดำเนินการและความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายในการเลือกตั้ง สว. ด้วยเทคโนโลยี GEO-AI ซึ่งการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบภูมิสารสนเทศ (Geospatial Technology) ในการแสดงเหตุการณ์การเลือกตั้ง สว. ระดับประเทศ จะมีการใช้เครื่องเลเซอร์สแกน อาคารอิมแพ็ค ฟอรัม ฮอลล์ 4 เมืองทองธานี เพื่อสร้างแบบจำลองสถานที่เลือกตั้งเป็นแบบ 3D Mapping หลังจากนั้นจะใช้ AI วิเคราะห์ภาพวิดีโอจากกล้องวงจรปิด (CCTV) ของกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมการกระทำความผิดในการเลือกตั้ง และให้ AI จับพฤติกรรมของกลุ่มบุคคลดังกล่าวและแสดงเป็นตำแหน่งบนแผนที่แบบ 3 มิติ เพื่อแสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนั้น ประกอบกับพยานหลักฐานอื่น ๆ แต่แม้ AI จะมีความแม่นยำประมาณหนึ่ง เพราะสามารถช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมของคนและข้อมูลจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการจับภาพใบหน้ากลุ่มคน หรือลักษณะท่าทาง แต่ท้ายสุดแล้วก็ต้องใช้เจ้าหน้าที่มาร่วมประมวลวิเคราะห์และจับพิรุธด้วย
“ดีเอสไอจำลองสถานการณ์ เพื่อให้ได้สาระสำคัญในส่วนของพฤติกรรมกลุ่มบุคคลทั้งหมดภายใน อาคารอิมแพ็ค ฟอรัม ฮอลล์ 4 เมืองทองธานี วันที่ 26 มิ.ย.67 ว่าในบล็อกกิ้งนั้น ๆ มีการนั่งจับกลุ่มกันอย่างไรบ้าง สวมใส่เสื้อผ้าอย่างไร มีพฤติการณ์รูปแบบมาด้วยกันที่ผิดปกติวิสัยหรือไม่ เพราะในฮอลล์ 4 จะมีช่องที่ถูกแบ่งไว้ตาม 20 กลุ่มอาชีพ เพื่อให้ผู้สมัครเข้าไปลงคะแนนเลือก และยังมีกล้องวงจรปิดจับภาพไว้ทุกช่อง ซึ่งถ้าหากโฟกัสกลุ่มผู้ที่ผ่านการคัดเลือกให้เป็น สว.ระดับประเทศ ตามที่ดีเอสไอมีการสืบสวนสอบสวนพบ สว. 140 ราย (138+2) ก็จะได้มีการพิจารณาไปที่กลุ่มอาชีพนั้น ๆ เพราะในการเข้าเลือกภายในบล็อกกิ้งวันดังกล่าว 1 กลุ่มอาชีพ จะมีการแบ่งเข้าไปเลือก 10 ราย ที่น่าสงสัยคือที่เหลืออยู่กันอย่างไรบ้าง นั่งกันแบบไหน หรือทาง กกต. ให้คำแนะนำให้แต่ละคนต้องเข้าคิวเรียงกันแบบไหน นั่งกันแบบไหน มีใครปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ กกต. อย่างไรบ้างหรือไม่ รวมไปถึงกรณีของการนำโพย หรือใบ สว.3 เข้าไปในคูหา ถึงแม้ว่า กกต. จะอนุญาต ไม่ขัดต่อกฎหมาย แต่ในฐานะพนักงานสอบสวน ก็ต้องลงรายละเอียดว่ากรณีที่บุคคลนำใบดังกล่าวเข้าไปด้วยนั้น มันเกิดจากการสั่งการโดยบุคคลใด หรือเป็นเพราะเกรงว่าจะจำหมายเลขผู้สมัครไม่ได้จึงต้องเอาเข้าไป หรือเป็นเพราะได้รับเงินมาให้เลือกบุคคลตามโพย หรือมีการถูกจูงใจด้วยผลตอบแทนได้หรือไม่ ทั้งนี้ การจำลองวันนี้ในตอนเย็นที่มีผู้แทน กกต. มาเป็นผู้ไกด์วิธีการขั้นตอน มันจะทำให้เราเห็นลักษณะความผิดปกติของกลุ่มบุคคลที่มีการทำเป็นขบวนการ และจะได้นำพยานหลักฐานสำคัญส่วนนี้ไปประกอบพิจารณากับพยานหลักฐานอื่น ๆ ในฐานความผิดอั้งยี่ต่อไป เพื่อจะได้นำไปสู่การออกหมายเรียกพยาน หรือหมายเรียกผู้ต้องหา โดยสิ่งที่ดีเอสไอทำ เราเน้นย้ำวัตถุประสงค์การพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยพยานหลักฐานและให้ความเป็นธรรมแก่สมาชิกวุฒิสภา ว่าการได้มาซึ่ง สว.67 มีความชอบธรรม สุจริตโปร่งใส ไม่ได้มีการทำเป็นขบวนการหรือไม่” คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ระบุ.
คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ปิดท้ายว่า วันนี้ดีเอสไอจะพยายามจำลองให้เหมือนวันเกิดเหตุจริง โดยอาจจะไม่ได้จำลองทั้งหมด 20 บล็อก ตาม 20 กลุ่มอาชีพ เพราะวิธีการจัดการของ กกต. ที่จะระบุว่าให้กลุ่มผู้สมัครนั่งอย่างไร นั่งเรียงตามลำดับอย่างไร หรือเดินเรียงกันอย่างไรก็จะต้องเหมือนกันอยู่แล้ว จึงคาดว่าคณะพนักงานสอบสวนอาจจะมีการจำลองเพียง 2-3 บล็อก
ต่อมาเวลา 15.00 น. ร.ต.อ.ธรรศ เลาห์ทวี เลขานุการกรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายไกรศรี สว่างศรี ผอ.ส่วนแผนที่และเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ เจ้าหน้าที่จากส่วนแผนที่และเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ เจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ร่วมกันจัดเตรียมพื้นที่จำลองเหตุการณ์ และสำรวจพื้นที่โดยรอบของอาคารอาคารอิมแพ็ค ฟอรัม ฮอลล์ 4 เมืองทองธานี โดยในส่วนของ พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม และนายไกรศรี สว่างศรี ผอ.ส่วนแผนที่และเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ ได้นำทีมเดินสำรวจและใช้เครื่องมือพิเศษ “เลเซอร์สแกน 3 มิติ“ เพื่อจัดทำ Mold เป็นแบบ 3D Mapping ให้เห็นภาพโดยรวมของห้องอาคาร และภายในห้องน้ำ รวมถึงภาพจากกล้องวงจรปิด ที่จะมีการจับภาพใบหน้า ในลักษณะ AI CCTV โดยจะช่วยให้โฟกัสกลุ่ม 140 สว. ว่าแต่ละคนในวันเกิดเหตุ มีพฤตินิสัยรวมกลุ่มกันอย่างไรบ้าง นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ดีเอสไอยังมีการจัดเตรียมเก้าอี้ พร้อมแปะกระดาษหมายเลข จำนวน 154 ตัว สำหรับตัวแทน สว. 150 ตัว และกรรมการ 4 ตัว รวมถึงมีการเตรียมหีบบัตรเลือกตั้ง ใช้สำหรับจำลองสถานการณ์ 1 กล่อง และคูหาสำหรับจำลองสถานการณ์ 1 กล่อง เพื่อจำลองเพียง 1 กลุ่มอาชีพ หรือ 1 บล็อกกิ้ง
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในการจำลองครั้งนี้ ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรัม ฮอลล์ 4 เมืองทองธานี นำโดย นายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ ที่ปรึกษา รมว.ยุติธรรม และคณะผู้บริหารกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ต.ท.อนุรักษ์ โรจนนิรันดร์กิจ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค และในฐานะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายระวี อักษรศิริ ผอ.กองคดีการฟอกเงินทางอาญา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ดีเอสไอเผยคืบหน้าคดีคุกวีไอพี อธิบดีราชทัณฑ์ ยันขรก.ทุจริตต้องถูกลงโทษ
"ดีเอสไอ" เร่งสอบเส้นทางเงินผู้ต้องขังชาวจีน พร้อมเรียกเจ้าหน้าที่และอดีต ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ให้ปากคำครบทุกฝ่าย
สส.บริจาคภัยพิบัติเต็มที่ ท้องถิ่นระวังช่วง180วัน!
กกต.ไฟเขียวบริจาคช่วยภัยพิบัติ สส.-สมาชิกพรรค ทำได้เต็มที่ไม่เกินครั้งละ 3 แสนบาท
กกต.ขยับรับสมัครอบต.ใต้เป็น 8-12 ธ.ค. เหตุอุทกภัยกระทบหลายจังหวัด
กกต.ปรับรอบรับสมัครเฉพาะ 5 จังหวัดน้ำท่วม ส่วนจำนวน อบต.ทั่วประเทศลดเหลือ 4,985 แห่งจากการยกฐานะเป็นเทศบาล ต้องแบ่งเขตใหม่ก่อนจัดเลือกตั้งช่วงเมษายน 2569 หลายพื้นที่เปิดรับสมัครวันแรกคึกคัก
กกต. แจงนักการเมือง-พรรค บริจาคช่วยน้ำท่วมได้เต็มที่ แต่ระดับท้องถิ่นต้องระวังช่วง 180 วันก่อนครบวาระ
กกต. ชี้ "บริจาคช่วยภัยพิบัติ" สส.-สมาชิกพรรคทำได้เต็มที่ไม่เกินครั้งละ 3 แสนบาท แต่จะบริจาคกี่ครั้งก็ได้ ส่วนพรรคการเมืองไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อเหตุการณ์ ย้ำโปร่งใส–โฆษณาได้
กกต. ขอเชิญชวนสมัครรับเลือกตั้ง สมาชิกสภา อบต. และนายก อบต. ระหว่างวันที่ 1 - 5 ธันวาคม 2568
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจสมัครรับเลือกตั้งสมาชิก สภาองค์การบริหารส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ระหว่างวันที่ 1 – 5 ธันวาคม 2568 เวลา 08.30 – 16.30 น. (ไม่เว้นวันหยุดราชการ) ณ สถานที่ที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอประชาสัมพันธ์ผู้ที่สนใจสมัครรับเลือกตั้งสามารถตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม และเตรียมหลักฐานและเอกสารประกอบการ ยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง พร้อมทั้งค่าธรรมเนียมการสมัครรับเลือกตั้ง โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 1.1 มีสัญชาติไทยโดยการเกิด 1.2 ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องมีอายุ ไม่ต่ำกว่า 25 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง สำหรับผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง 1.3 มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลที่สมัครรับเลือกตั้ง ในวันสมัครรับเลือกตั้ง เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปี นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง 1.4 วุฒิการศึกษา • สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ไม่ได้กำหนดวุฒิการศึกษา • ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า หรือเคยเป็นสมาชิกสภาตำบล สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมาชิกรัฐสภา 2. ลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 2.1 ติดยาเสพติดให้โทษ 2.2 เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต 2.3 เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ 2.4 เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 39 (1) เป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวช (2) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่ หรือ (4) วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ 2.5 อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวหรือ ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 2.6 ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล 2.7 เคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึง 5 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ 2.8 เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริต ต่อหน้าที่หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ 2.9 เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็น ของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเพราะกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2.10 เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงาน ในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติด ในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน 2.11 เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง 2.12 เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ 2.13 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น 2.14 เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ 2.15 เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ 2.16 อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 2.17 เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลฎีกาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาว่าเป็นผู้มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ หรือกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง 2.18 ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 ไม่ว่าจะได้รับโทษหรือไม่ โดยได้พ้นโทษหรือ ต้องคำพิพากษามายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง แล้วแต่กรณี 2.19 เคยถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือกฎหมายว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น แล้วแต่กรณี มายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง 2.20 อยู่ในระหว่างถูกจำกัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 หรือตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2.21 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเดียวกันหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น 2.22 เคยพ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะเหตุมี ส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการที่กระทำหรือจะกระทำกับหรือให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น หรือมีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการ ที่กระทำกับหรือจะกระทำกับหรือให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น โดยมีพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าเป็นการต่างตอบแทน หรือเอื้อประโยชน์ส่วนตนระหว่างกัน และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.23 เคยถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพราะจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ หรือมติคณะรัฐมนตรี อันเป็นเหตุให้เสียหาย แก่ราชการอย่างร้ายแรง และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.24 เคยถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะทอดทิ้งหรือละเลยไม่ปฏิบัติการตามหน้าที่และอำนาจ หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยหน้าที่ และอำนาจ หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือมีความประพฤติในทางที่จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่ศักดิ์ตำแหน่ง หรือแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือแก่ราชการ และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.25 ลักษณะอื่นตามที่กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด 3. หลักฐานและเอกสารประกอบการยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง ให้ผู้สมัครยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลพร้อมทั้งหลักฐานการสมัคร ดังนี้ 3.1 ใบสมัครรับเลือกตั้งตามแบบ ส.ถ./ผ.ถ. 4/1 3.2 รูปถ่ายหน้าตรงไม่สวมหมวก หรือ รูปภาพที่พิมพ์ชัดเจนเหมือนรูปถ่ายของตนเอง ขนาดกว้างประมาณ 8.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 13.5 เซนติเมตร จำนวนตามที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด 3.3 สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน 3.4 สำเนาทะเบียนบ้าน 3.5 ใบรับรองแพทย์ 3.6 หลักฐานการศึกษา 3.7 หลักฐานการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นเวลาติดต่อกัน 3 ปี (2565, 2566, 2567) นับถึงปีที่สมัครรับเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นผู้ไม่ได้เสียภาษีเงินได้ ให้ทำหนังสือยืนยัน การไม่ได้เสียภาษี พร้อมทั้งสาเหตุแห่งการไม่ได้เสียภาษีตามแบบ ส.ถ./ผ.ถ. 4/2 4. ค่าธรรมเนียมการสมัครรับเลือกตั้ง 4.1 นายกองค์การบริหารส่วนตำบล 2,500 บาท 4.2 สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล 1,000 บาท ทั้งนี้ ผู้ใดลงสมัครรับเลือกตั้งโดยรู้อยู่แล้วว่าตนเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 – 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี ตามมาตรา 120 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติม สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหาร ส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบลได้ทางเว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง www.ect.go.th หรือ Application Smart Vote หรือสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประจำจังหวัดทุกจังหวัด หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บริการสายด่วน 1444
ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต
ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)


