ดร.ณัฏฐ์ ชี้ชัดบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เกิดรัฐบาลผสม ไม่มีพรรคใดชนะเบ็ดเสร็จ

ดร.ณัฏฐ์” ชี้ระบบ “บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ” เกิดรัฐบาลผสม ไม่มีพรรคการเมืองใด ชนะเลือกตั้งเบ็ดเสร็จ เปิดตัวทีม “ว่าที่รองนายกรัฐมนตรี” ไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามไว้

19 ธันวาคม 2568 - ตามที่มี พรฎ.กำหนดวันเลือกตั้ง สส.เป็นการทั่วไป วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 นั้น ทำให้พรรคการเมืองต่างเปิดตัวผู้สมัครกันและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของแต่ละพรรคการเมืองอย่างคึกคัก รวมทั้งเปิดตัว ว่าที่รองนายกรัฐมนตรีของแต่ละพรรคนั้น

ล่าสุด “ดร.ณัฏฐ์” หรือ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ได้ให้ความเห็นเพื่อประโยชน์สาธารณะและกล่าวว่า ภายหลังรัฐธรรมนูญ 2540 เกิดระบบเลือกตั้งใหม่ที่เรียกว่า “ระบบเลือกตั้งแบบผสม”จากเลือกตั้งระบบรวมเขตเรียงเบอร์ เพิ่มเติมระบบบัญชีรายชื่อ ทำให้ สส.เขตลดลง และไปเพิ่มสัดสวนจำนวน สส.บัญชีรายชื่อ เปิดโอกาสเพิ่มสัดส่วนตัวแทนของกลุ่มนักวิชาการ กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ กลุ่มอาชีพและกลุ่มสตรีในพรรคการเมืองต่างๆเข้าถึงเป็นตัวแทนประชาชน แต่ได้เปิดช่องให้กลุ่มทุนยังคงเป็นธุรกิจการเมืองควบคู่กับพรรคการเมือง

เกมการเมือง พรรคการเมืองใดไม่พร้อมทุนเลือกตั้ง ย่อมเสียเปรียบต่อการแข่งขันเลือกตั้ง จึงเกิดทุนเทา ทุนข้ามชาติ เพื่อเตรียมการเลือกตั้ง สำหรับที่นั่ง สส.บัญชีรายชื่อ อันดับต้นๆ จึงเป็นที่หมายของกลุ่มทุนหัวจ่าย แม้ พรป.พรรคการเมืองฉบับล่าสุด บัญญัติห้ามบุคคลภายนอกครอบงำพรรคเพื่อป้องกันนายทุนเข้ามาครอบงำพรรค ทำให้ขาดอิสระในการบริหารงาน โดยมีเจตจำนงเป็นพรรคของประชาชน โดยเพิ่มในเรื่องให้สมาชิกพรรคชำระค่าบำรุงพรรคเพื่อมีส่วนเป็นเจ้าของพรรค แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่

         

ระบบเลือกตั้งผสม ในการเลือกตั้งปี 2562 ปรับรูปแบบบัตรใบเดียวเป็น “ระบบจัดสรรปันส่วนผสม”เจตจำนงให้ทุกคะแนนเสียงของทุกพรรคไม่ตกน้ำ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เกิด สส.หน้าใหม่ในพรรคขนาดเล็ก ขนาดจิ๋ว ที่มีข้อจำกัดในเรื่องทุนของพรรค โดยผลพลอยได้ สส.คะแนนปัดเศษ

         

ต่อมาเลือกตั้งปี 2566 แก้กฎหมายโดยกลับไปใช้ บัตร 2 ใบ ทำให้พรรคขนาดกลาง พรรคขนาดเล็กและพรรคจิ๋วเสียเปรียบทุกด้าน อาจถึงสูญพันธ์ ดังนั้น พรรคขนาดใหญ่ได้เปรียบ จึงเกิดขั้วการเมืองสามก๊ก ได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย

         

เหตุที่เป็นเช่นนี้ ระบบเลือกตั้งผสมและกำหนดบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ วัดกันที่ สส.เขต พรรคใดได้มากสุดย่อมมีสิทธิได้จัดตั้งรัฐบาล และล่าสุด สว.ไม่มีสิทธิโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี

         

รัฐธรรมนูณไม่ได้บัญญัติว่า พรรคการเมืองใดชนะเลือกตั้ง จะเป็นผู้กำหนดเกมจัดตั้งรัฐบาล เป็นเพียงมารยาททางการเมืองและประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยฯ ที่ผ่านมา ระบบเลือกตั้งและการออกแบบ สว.ที่มีอำนาจโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ในปี 2562 และปี 2566 พรรคที่ชนะเลือกตั้ง ไม่อาจจัดตั้งรัฐบาลได้ตัวแปรไม่อาจรวบรวมเสียงสองสภาให้ได้กึ่งหนึ่ง

พูดภาษาชาวบ้าน คือ บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ผลการเลือกตั้ง ไม่มีพรรคการเมืองใดได้ สส. ถึง 250 เสียงแบบเบ็ดเสร็จ หรือภาษามวย เรียกว่า มวยชนะไม่ขาด

เหตุที่เป็นเช่นนี้ รัฐธรรมนูญ 2560 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 1) พ.ศ.2564 มาตรา 83 บัญญัติให้มี สส.จำนวน 500 คน ประกอบด้วย สส.เขต 400 คน และ สส.บัญชีรายชื่อ 100 คน

           

โดย สส.เขต 400 คน เป็นตัวแบ่งตลาดการเมืองของแต่ละพรรคการเมือง เป็นเกมฐานชี้วัด คือ “กระแสและกระสุน” ส่วน สส.บัญชีรายชื่อ 100 คน ถือจำนวนฐานคะแนนรวมกันทั้งประเทศ เป็นเกมฐานชี้วัด คือ “กระแส”

           

โดยเกมตัวชี้วัด แต่ละพรรคการเมืองใด จะชนะเลือกตั้งและเป็นแกนนำรัฐบาล ผลการเลือกตั้งไม่เป็นทางการ แม้ประกาศยังไม่เป็นทางการ ย่อมทราบประมาณการ ว่าแต่ละพรรคได้ สส.กี่ที่นั่ง พรรคใดจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แม้พรรคลำดับ 2 ลำดับ 3 ย่อมจัดตั้งรัฐบาลแข่ง โดยแจกโปรโมชั่นแต่ละกระทรวงเกรดเอ

รัฐธรรมนูญ มาตรา 88 วรรคหนึ่ง บัญญัติพรรคการเมืองเสนอรายชื่อ “ว่าที่นายกรัฐมนตรี” ของพรรคไม่เกิน 3 รายชื่อ โดยพรรคจะเสนอหรือไม่ก็ได้ โดยใช้หลักเกณฑ์ เจ้าตัวต้องยินยอมเป็นหนังสือเพียงพรรคเดียว และพรรคต้องยื่นรายชื่อก่อนวันปิดรับสมัคร

โดยปรากฎการณ์มีพรรคการเมืองเปิดตัวทีมรองนายกรัฐมนตรีต่อสาธารณะ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

หากพิจารณาในแง่กฎหมายมหาชน ไม่มีบทกฎหมายมาตราใดบัญญัติให้พรรคการเมืองใด เสนอรายชื่อทีม “ว่าที่รองนายกรัฐมนตรี” แต่ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติห้ามไว้เป็นเด็ดขาด

แม้พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาชน จะเสนอรายชื่อโฉมหน้า ทีม “ว่าที่รองนายกรัฐมนตรี” จำนวน 3รายชื่อ ในแง่การเมืองเพิ่มแม่เหล็กดึงคะแนนเสียงให้แก่พรรคและเพื่อให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ทราบล่วงหน้า เพื่อประกอบกระบวนการตัดสินใจในวันหย่อนบัตรเลือกตั้งลงคะแนนเสียง

แต่โมเดลเปิดตัวทีมงาน เป็นการลอกเลียนโมเดล “การเมืองสนามท้องถิ่น” มาปรับใช้การเมืองระดับชาติ เช่น “ทีมนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด”“ทีมนายกเทศมนตรี” หรือ “ทีมนายก อบต.” รวมถึงทีมสนามท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ อาทิ กทม. และเมืองพัทยา

เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะรัฐธรรมนูญ มาตรา 88 บัญญัติให้เสนอรายชื่อเฉพาะว่าที่นายกรัฐมนตรีของแต่ละพรรคการเมือง และในรัฐธรรมนูญมาตรา 158 วรรคหนึ่ง ให้นายกรัฐมนตรีเลือกสรรรัฐมนตรี รวมถึงรองนายกรัฐมนตรี เสนอทูลเกล้าฯต่อพระมหากษัตริย์เพื่อทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งเป็นคณะรัฐมนตรี ไม่เกิน 35 คน

เป็นขั้นตอน ภายหลัง สส. เลือกนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 159 แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องเปิดตัวและแจ้งให้ กกต. ทราบก่อน  

พูดภาษาชาวบ้าน คือ ปลุกกระแส ความนิยมทางการเมืองในสนามเลือกตั้ง

หากพิจารณาแง่กฎหมายมหาชน “ว่าที่รองนายกรัฐมนตรี”เป็นตำแหน่งรัฐมนตรี จะต้องมีคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 ประกอบมาตรา 98 รัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติ ต้องยื่นบัญชีรายชื่อต่อ กกต.แต่ละพรรคการเมือง

ในเกมการเมือง ภายหลังมี พรฎ. ยุบสภา และ มี พรฎ.กำหนดวันเลือกตั้ง กดปุ่มแข่งขัน การเมืองสามขั้วอำนาจ อย่างพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย ต่างวัดกลยุทธ์และวิธีการ หารส่วนแบ่งเป้าหมายแย่งชิงจำนวน สส.500 คน ไห้ได้มากสุด

ในแง่การเมือง เกมตัวชี้วัดที่แย่งชิง สส.ในต่างจังหวัดพื้นที่ชนบท วัดกันที่ “ขุมกำลังบ้านใหญ่” เพราะบ้านใหญ่ใช้ระบบหัวคะแนน การเมืองท้องถิ่น ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในพื้นที่เป็นฐานรวมคะแนน

ส่วนในพื้นที่เขตเมือง รวมถึงบ้านมีรั้ว เกมตัวชี้วัดตรงที่ “กระแสพรรค” เพราะสังคมเมือง ซื้อเสียงยากกว่า เจาะคะแนนยากกว่าชนบท

แม้พรรคการเมืองใด จะได้เปรียบ แต่ระบบเลือกตั้งและบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ คุมเกมผลการเลือกตั้ง ไม่ทำให้ชนะขาดเพียงพรรคเดียว

ในอดีต ปี 2550 พรรคประชาธิปัตย์ ชนะเลือกตั้งกวาด สส. ใน กทม. ภาคตะวันออกและภาคใต้ ในปี 2566 พรรคก้าวไกล หรือพรรคประชาชน กวาด สส. กทม. และภาคตะวันออก  แต่พรรคประชาธิปัตย์กระแสแรงเพียงครั้งเดียว นอกนั้นเกือบสูญพันธุ์

แม้จะมีข้อถกเถียงกันว่า ครม.มีมติเห็นชอบให้จัดออกเสียงประชามติชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยอ้างว่า จัดออกเสียงประชามติไม่ครบเวลา 60 วัน

แต่ในแง่กฎหมาย พรบ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 มาตรา 10 บัญญัติ ในการจัดออกเสียงประชามติ โดยต้องจัดทำไม่เร็วกว่า 60 วันและไม่ช้ากว่า 150 วันนับแต่วันที่ ครม.มีมติ เว้นแต่ มีเหตุผลจำเป็นเกี่ยวกับงบประมาณหรือเหตุจำเป็นไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

พูดภาษาชาวบ้าน คือ มีหลัก ย่อมมีข้อยกเว้น บางคนบอกว่าอ่านกฎหมายเพียงบางส่วน ทำให้ ครม.หยิบข้อยกเว้น มีมติเห็นชอบให้จัดทำออกเสียงประชามติไปพร้อมกับวันเลือกตั้ง สส.เป็นการทั่วไป ทำให้ประหยัดงบประมาณ

แต่ในแง่เกมการเมือง แก้รัฐธรรมนูญล้มไม่เป็นท่า แต่ กกต. จัดออกเสียงประชามติ ไปพร้อมวันเลือกตั้ง แม้กฎหมายห้ามนำประชามติไปหาเสียง แต่ในการจัดทำประชามติ โดยตั้งคำถามว่า “เห็นชอบให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่” เป็นการที่ประชาชนกาบัตรใบที่ 3 จึงเป็นช่องทางนำไปหาเสียงว่า พรรคมีนโยบายผลักดันให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แม้กฎหมายห้ามนำการจัดทำประชามติหาเสียง แต่นโยบายแก้รัฐธรรมนูญ พรรคการเมืองย่อมนำไปหาเสียงได้ ไม่มีกฎหมายใดห้ามไว้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

โทรโข่งเพื่อไทย โจมตี 'อนุทิน' โยกย้าย ขรก.มหาดไทย ในจำนวนที่น่าตกใจมาก

"ศึกษิษฏ์" ซัด "อนุทิน" โยกย้าย ขรก.มหาดไทยไม่หยุด ตั้งข้อสังเกตโยงเครือข่ายบ้านใหญ่รับศึกเลือกตั้ง ตอก "ธนาธร" หลังออกโรงป้อง "เสี่ยหนู" เหน็บ ภท.-ปชน.ติดค้างสินน้ำใจกันอยู่หรือไม่

'สุพิศาล' อดีตแกนนำพรรคส้ม ลาออกแล้ว แฉเลือกผู้สมัคร สส. มีลับลมคมใน

พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวกรณีที่ได้ลาออกจากพรรคประชาชน ว่า เป็นเรื่องจริง ซึ่งได้ยื่นลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมา

'อนุทิน' บอกถ้าได้เป็นรัฐบาล 'เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์' ร่วมงานต่อ เดินหน้าคนละครึ่ง

"อนุทิน" ระบุแคนดิเดตนายกฯ ยังไม่ตอบรับ แต่ถ้าได้เป็นรัฐบาลยืนยัน "เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์" ร่วมงานต่อ ส่วนจะเปิดตัววันไหนบอกยังมีเวลา ส่วนนโยบายพรรคยังไม่สะเด็ดน้ำ แต่คนละครึ่งพลัสได้ไปต่อ

'อนุทิน' ระวัง! ติดกับดักตัวเอง ปมคำถามประชามติ

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี วางกับดักตัวเอง ในการส่งคำถามประชามติของคณะรัฐมนตรี

'จุลพันธ์' ซัดแรง 'ธนาธร' อย่าชี้นิ้วโทษคนอื่นปมแก้ รธน. แค่นี้มองไม่ออกก็โง่ซ้ำซ้อน

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ระบุว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ไปไม่ถึงวาระ3 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ สส. พรรคเพื่อไทยม