เครือข่ายชุมชนร่วมจัดงาน ‘วันที่อยู่อาศัยโลก 2566 ภาคอีสาน’ เสนอ 7 ประเด็นให้รัฐแก้ปัญหาภัยพิบัติน้ำท่วมอย่างมีส่วนร่วม

การจัดงานวันที่อยู่อาศัยโลกภาคอีสานที่ จ.อุบลราชธานี

อุบลราชธานี / เครือข่ายชุมชนในจังหวัดอุบลราชธานีและเครือข่ายชุมชนในภาคอีสาน  ร่วมจัดงาน ‘วันที่อยู่อาศัยโลก 2566’ ชูประเด็น “ที่ดิน ที่อยู่อาศัย และคุณภาพชีวิตในพื้นที่ภัยพิบัติอย่างยั่งยืน” โดยมีข้อเสนอเชิงนโยบายถึงรัฐบาลให้แก้ไขปัญหา  7 ประเด็นเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาภัยพิบัติน้ำท่วมอย่างมีส่วนร่วมและยั่งยืน  เช่น  แก้ไข พ.ร.บ.บรรเทาสาธารณภัย  ผลักดันให้อุบลราชธานีเป็นเมืองต้นแบบการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างมีส่วนร่วม  ฯลฯ

จากปัญหาน้ำท่วมชุมชนริมฝั่งลำน้ำมูลจังหวัดอุบลราชธานีซ้ำซากเกือบทุกปี  รวมทั้งจังหวัดอื่นๆ ในภาคอีสาน  ทำให้บ้านเรือนและทรัพย์สินประชาชนได้รับความเสียหาย  มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากภัยน้ำท่วม  เครือข่ายภาคประชาชนจึงได้ใช้โอกาสเนื่องใน  ‘วันที่อยู่อาศัยโลก 2566’  หรือ World Habitat Day 2023  ที่ภาคประชาชนร่วมกันจัดงานตามภูมิภาคต่างๆ ตลอดช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายนนี้รณรงค์แก้ไขปัญหาที่ดินและที่อยู่อาศัย   

โดยวันนี้ (4 พฤศจิกายน) ที่ห้องประชุมประชาวาริน อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี   เครือข่ายการจัดการภัยพิบัติ  เครือข่ายที่ดินที่อยู่อาศัย  และเครือข่ายองค์กรชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  ร่วมกับสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) จัดงาน ‘วันที่อยู่อาศัยโลก 2566’  (World Habitat Day 2023)   ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  โดยนำเสนอประเด็น “ที่ดิน ที่อยู่อาศัย และคุณภาพชีวิตในพื้นที่ภัยพิบัติอย่างยั่งยืน”   โดยมีผู้แทนเครือข่ายต่างๆ ใน จ.อุบลราชธานี  ผู้แทนเครือข่ายชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และผู้แทนหน่วยงานภาคีเข้าร่วมงานกว่า 400 คน

วัตถุประสงค์ในการจัดงานครั้งนี้เพื่อนำเสนอพื้นที่การจัดพื้นที่อยู่อาศัยในพื้นที่ภัยพิบัติจังหวัดอุบลราชธานี สื่อสารต่อสาธารณะและผลักดันเชิงนโยบายการแก้ไขและพัฒนาความมั่นคงด้านที่ดินที่อยู่อาศัยและคุณภาพชีวิตของประชาชนในเขตชุมชนพิเศษพื้นที่ภัยพิบัติอย่างมีส่วนร่วม โดยมีนายนคร ศิริปริญญานันท์ ปลัดจังหวัดอุบลราชธานี เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วย นางสาวเฉลิมศรี ระดากูล รองผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ หรือ ‘พอช.’  นางอัฐฌาวรรณ  พันธุ์มี ตัวแทนเครือข่ายลุ่มน้ำมูล จังหวัดอุบลราชธานี  นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ประธานมูลนิธิพิทักษ์ธรรมชาติเพื่อชีวิต นายจำนงค์  จิตรนิรัตน์ กรรมการมูลนิธิชุมชนไท   ร่วมพูดคุยเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา

นายนคร ศิริปริญญานันท์  ปลัด จ.อุบลราชธานี

นายนคร ศิริปริญญานันท์ ปลัดจังหวัดอุบลราชธานี   กล่าวว่า จังหวัดอุบลราชธานีเป็นพื้นที่รับน้ำที่มีสถานการณ์ปัญหาอย่างต่อเนื่อง ทุกภาคส่วนของจังหวัดอุบลราชธานีจึงได้ร่วมกันแก้ไขปัญหา  โดยเฉพาะแนวนโยบายของจังหวัดที่ได้ประสานเชื่อมโยงความร่วมมือ งบประมาณ จากทุกภาคส่วนในการบูรณาการอย่างเป็นระบบแ

ขณะเดียวกันเครือข่ายการจัดการภัยพิบัติโดยภาคประชาชนเป็นอีกกลไกสำคัญในการแก้ไขปัญหาและมีรูปธรรมการจัดการภัยพิบัติ   เช่น   การจัดตั้งศูนย์ภัยพิบัติ การจัดตั้งครัวกลาง การมีกองทุนภัยพิบัติ การต่อแพจากภูมิปัญญาท้องถิ่น การฝึกและเตรียมความพร้อมการอพยพผู้เดือดร้อน รวมไปถึงการพัฒนาฟื้นฟูคุณภาพชีวิตหลังน้ำท่วม อีกทั้งยังมีนวัตกรรมการสร้างบ้านลอยน้ำ ซึ่งล้วนเป็นกิจกรรมที่นำไปสู่ความร่วมมือในการจัดการภัยพิบัติอย่างมีส่วนร่วม

นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ

นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ  ประธานมูลนิธิพิทักษ์ธรรมชาติเพื่อชีวิต กล่าวว่า การพัฒนานโยบายสาธารณะการบริหารจัดการน้ำ ประเด็นสำคัญคือ เรื่องการจัดการน้ำ เนื่องจากน้ำเป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อทุกชีวิตในสังคม ทั้งผลกระทบจากปัญหาน้ำแล้ง น้ำท่วม โดยปัญหาเหล่านี้จะส่งผลกระทบถึงความมั่นคงทางด้านอาหาร ด้านเศรษฐกิจ และกระทบถึงความเป็นอยู่ของผู้คนในชุมชนและสังคม ฯลฯ ซึ่งปัญหาเรื่องน้ำกระทบไปถึงการเข้าถึงโอกาส อำนาจ สิทธิ รายได้ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ทั้งเรื่องความเสมอภาค ความเป็นธรรม และความยุติธรรม

การจัดการน้ำหากเป็นการจัดการของคนในสังคมนั้นอาจจะไม่เพียงพอ แต่ต้องเป็นความร่วมมือของทั้งคนในสังคม ชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงรัฐบาลที่จะสนับสนุนนโยบายที่จะสามารถเข้ามาช่วยเหลือและดูแลในเรื่องเหล่านี้ได้    การสร้างกลไกการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ชุมชน และคนในชุมชน (เป็นสิทธิทางการเมือง) ที่จะเข้ามารวมตัวกันเพื่อยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมไปถึงรัฐบาล โดยในแต่ละจังหวัดมีหน่วยงานที่ดูแลเกี่ยวกับการจัดการเรื่องน้ำ ประมาณ 40 กว่าหน่วยงาน โดยในแนวทางปฏิบัตินั้นต้องมีการสร้างการขับเคลื่อนร่วมกันทั้งหน่วยงานภาคีเครือข่ายต่าง ๆ หน่วยงานรัฐ หน่วยงานเอกชน รวมถึงชุมชนท้องถิ่นด้วย

นางสาวเฉลิมศรี ระดากูล  รองผอ.พอช.

นางสาวเฉลิมศรี ระดากูล รองผู้อำนวยการ พอช. กล่าวว่า  พอช. มีบทบาทสำคัญในการหนุนเสริมและพัฒนาชุมชนท้องถิ่นให้มีความเข้มแข็งเต็มพื้นที่ ซึ่งพอช. มีความเชื่อว่าชุมชนจะสามารถทำได้ เนื่องจากคนในชุมชนเป็นเจ้าของปัญหาที่รู้ความเป็นมา ความเป็นอยู่  และรู้ถึงปัญหาของตนเองดีที่สุด คนในชุมชนจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะสามารถแก้ไขปัญหาของตนเองได้ แต่ทั้งนี้จะต้องได้รับการสนับสนุนและหนุนเสริมจากหน่วยงานร่วมด้วย ซึ่งการจัดการภัยพิบัติของชุมชนที่ได้รับการสนับสนุนจาก พอช. สามารถเข้าไปช่วยเหลือชุมชนได้เป็นอย่างมาก โดยโครงการต่าง ๆ  เช่น  การสร้างระบบร้านค้าลอยน้ำ การหนุนเสริมระบบบริหารจัดการกองทุน การออมทรัพย์ ฯลฯ ช่วยเข้าไปต่อยอดและพัฒนาความเป็นอยู่ของคนในชุมชน สามารถทำให้ชุมชนมีระบบการบริหารจัดการได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น  

“กระบวนการที่คนในชุมชนเข้ามาจัดการแก้ไขปัญหาของตนเอง เป็นกระบวนการพัฒนาอีกรูปแบบหนึ่ง เพราะคนในชุมชนที่เป็นเจ้าของปัญหาจะสามารถลุกขึ้นมาจัดการปัญหาของตนเองได้ แต่สิ่งที่ยากก็คือ คนที่จะเข้ามาเชื่อมโยงการทำงานร่วมกัน  เนื่องจากต้องมีการพูดคุย และพัฒนาศักยภาพ ความรู้ ซึ่งหากสามารถเชื่อมโยงใจคนได้ ก็จะสามารถทำทุกอย่างได้”  รอง ผอ.พอช. กล่าว

นายจำนงค์  จิตนิรัตน์  กรรมการมูลนิธิชุมชนไท

นายจำนงค์  จิตนิรัตน์ กรรมการมูลนิธิชุมชนไท กล่าวว่า การยกระดับการจัดการภัยพิบัติสู่การแก้ไขปัญหาภัยพิบัติระดับชาติ   บทเรียนจากภัยพิบัติน้ำท่วมซ้ำซากของภาคอีสาน  ไม่ถูกจัดการแบบเบ็ดเสร็จโดยภาครัฐ ไม่มีการจัดตั้งคณะทำงานระดับชาติด้านการจัดการภัยพิบัติ   เป็นเพียงการเยียวยาในช่วงระยะเร่งด่วนเท่านั้น (การแจกถุงยังชีพ) มีการทำข้อเสนอและการทำประชามติให้ภาครัฐแก้ไข ว่าด้วยเรื่องการจัดการภัยพิบัติ โดยมีภาคประชาชนลงนามกว่าหนึ่งหมื่นรายชื่อ  

จากปัญหาที่เกิดขึ้น นำมาสู่การร่วมกันคิดของภาคประชาชน โดยคำนึงถึงความต้องการที่แท้จริงของภาคประชาชน คือการ “ทำบ้านยกสูง”, “เรือและแพลอยน้ำ”  และ “กระชังปลา”  โดยเสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อสำรวจข้อมูลชุมชน การจัดการน้ำ แนวทางการแก้ไขปัญหา ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ จึงนำมาสู่การทำข้อเสนอเชิงนโยบายต่อภาครัฐ คือ “การออกแบบการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติ อย่างมีส่วนร่วมโดยภาคประชาชน

นางอัฐฌาวรรณ  พันธุ์มี

นางอัฐฌาวรรณ  พันธุ์มี ตัวแทนเครือข่ายลุ่มน้ำมูล จังหวัดอุบลราชธานี  กล่าวว่า  กระบวนการจัดการตนเองโดยภาคประชาชน   จากการนำกระบวนการโครงการบ้านมั่นคงมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างการมีส่วนร่วม ร่วมคิด ร่วมวิเคราะห์ ร่วมกันทำ สู่การออมทรัพย์โดยคนในชุมชน เพื่อพัฒนาความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย และคุณภาพชีวิต และมีภาคีหนุนเสริม คือ พอช.   สู่การขยายเครือข่ายองค์กรชุมชน จากความเชื่อมั่นและการสร้างการยอมรับ มีการเชื่อมเครือข่ายบ้านมั่นคง โดยมีกองทุนรักษาดินและบ้าน ร่วมกันขับเคลื่อนที่ไม่มีต้องรอภาครัฐเพียงอย่างเดียว แต่เป็นภาคประชาชนที่ลุกขึ้นมาจัดการด้วยตนเองได้ ร่วมคิด ร่วมทำและเชื่อมั่นในภาคประชาชน  จากสถานการณ์ภัยพิบัติ เป็นพื้นที่รับน้ำ น้ำท่วมซ้ำซาก สู่การทำ “ครัวกลาง” ทีได้งบประมาณจากการออมทรัพย์ของสมาชิกบ้านมั่นคง ที่ช่วยเหลือทุกคนในชุมชน ไม่เพียงแต่สมาชิกบ้านมั่นคงเท่านั้น

นอกจากนี้ยังมีการประสานเชื่อมโยงกับท้องที่ ท้องถิ่น ที่เข้ามาหนุนเสริมด้านอาหาร และมีการสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ “อีสาน Connect” ที่เป็นศูนย์กระจายข่าวสาร   หลังน้ำลด เครือข่ายชุมชนร่วมคิดแนวทางแก้ไขสู่นวัตกรรม “ผักลอยน้ำ” เพื่อเป็นพันธุ์ผัก และได้รับการหนุนเสริมจากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีในการทำผักลอยน้ำ  และการเยียวยาหลังน้ำลด เครือข่ายองค์กรชุมชนมีการสำรวจครัวเรือนผู้ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ  เพื่อจัดทำข้อมูลเสนอรับการสนับสนุนการซ่อมแซมด้านที่อยู่อาศัยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายการจัดการภัยพิบัติของชุมชนเสนอต่อภาครัฐ

ผู้แทนเครือข่ายชุมชนยื่นหนังสือถึงรัฐบาลผ่านนายคำพอง  สส.พรรคก้าวไกล

ยื่น 7 ข้อเสนอเชิงนโยบาย “เพื่อการจัดการภัยพิบัติอย่างยั่งยืน”

การจัดงานในครั้งนี้  เครือข่ายการจัดการภัยพิบัติภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ทำหนังสือยื่นข้อเสนอการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติต่อรัฐบาล  โดยมีนายคำพอง เทพาคำ สส.พรรคก้าวไกล พร้อมด้วยตัวแทน สส.ในพื้นที่ เป็นตัวแทนรับข้อเสนอจากทางเครือข่ายเพื่อเสนอต่อรัฐบาลต่อไป  โดยมีข้อเสนอดังนี้    

1.ปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.บรรเทาสาธารณภัยและ พ.ร.บ.อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องที่จะนำไปสู่การแก้ไขและพัฒนาอย่างยั่งยืน   2.ผลักดันให้จังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดที่เป็นพื้นที่รับน้ำ เป็นเมืองต้นแบบในการจัดการน้ำท่วมอย่างมีส่วนร่วมและครอบคลุมทุกมิติ บนฐานข้อมูล  ข้อเท็จจริงที่รอบด้าน โดยมีการเตรียมความพร้อมด้านข้อมูลเพื่อให้การช่วยเหลืออย่างทันท่วงที สร้างเมืองที่มีความยืดหยุ่นพร้อมรับมือภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่อาจทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยอาจกำหนดนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและการจัดการผังเมืองที่คำนึงถึงชุมชนที่มีความเสี่ยงในการเผชิญภัยพิบัติน้ำท่วม

3.จัดตั้งศูนย์บริหารจัดการภัยพิบัติเป็นศูนย์กลางข้อมูลข่าวสาร (data center) ที่เกิดจากการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ส่งเสริมให้มีการจัดการความรู้ ถอดบทเรียนการทำงานร่วมกัน มีชุดบทเรียนและประสบการณ์เรื่องการวางแผนการใช้น้ำอย่างเป็นระบบ ประชาชนทุกคนสามารถเข้าใจ เข้าถึง เข้าร่วม การใช้ประโยชน์จากข้อมูล เช่น ปริมาณน้ำ เป็นต้น

4. ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความมั่นคงในที่ดิน ที่อยู่อาศัยและคุณภาพชีวิตเขตชุมชนพิเศษในพื้นที่ภัยพิบัติแบบมีส่วนร่วม พร้อมงบประมาณ 4.1 ด้านกลไกการทำงาน 4.1.1 มีองค์ประกอบ ทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม ตัวแทนเครือข่ายองค์กรชุมชนและสถาบันการศึกษา ร่วมเป็นคณะกรรมการในทุกจังหวัด และต้องมีผู้แทนเข้าร่วมการประชุมกับคณะกรรมการในระดับจังหวัด   4.1.2 โดยคณะกรรมการฯ ชุดนี้ มีบทบาทหน้าที่ สนับสนุนให้มีการรวบรวมข้อมูลสถานการณ์ปัญหา ข้อเท็จจริง เพื่อนำไปสู่การแก้ไขและพัฒนาอย่างบูรณา  ฯลฯ

5. ส่งเสริมนวัตกรรมการรับมือภัยพิบัติโดยชุมชน 5.1 จัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังน้ำท่วม โดยสนับสนุนอุปกรณ์และเรือเพื่อเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างทันท่วงที และเน้นช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในระหว่างเผชิญเหตุ 5.2 พัฒนาจุดเตือนภัยในระดับหมู่บ้าน/ชุมชนให้ครอบคลุม มีจุดวัดระดับน้ำที่เข้าใจง่าย เช่น  หมู่บ้าน 1 ระบบเตือนภัย โดยคำนึงถึงบริบทสภาพภูมิศาสตร์ของพื้นที่  5.3 ส่งเสริมและสนับสนุนการตั้งกองทุนภัยพิบัติ  เพื่อให้ชุมชนได้ดำเนินงานช่วยเหลือเกื้อกูลกันด้วยตนเองในระยะยาว และสามารถที่จะดำเนินการได้ทันทีโดยไม่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากภาครัฐที่มีข้อจำกัดด้านกำลังคนและงบประมาณ   ฯลฯ

6. ดำเนินการความมั่นคงด้านที่ดิน ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ประสบภัยอย่างเป็นธรรม มอบหมายกระทรวงที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมที่อยู่อาศัยที่สอดคล้องกับพื้นที่ภัยพิบัติอย่างยั่งยืน  

7. ด้านการบริหารจัดการพื้นที่  7.1 ส่งเสริมการจัดการน้ำโดยชุมชน ที่สามารถแก้ไขปัญหาน้ำแล้งโดยไม่ต้องทำโครงการขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อการเกิดภัยพิบัติที่ทวีความรุนแรง 7.2 ควรมีการจัดระบบการกักเก็บน้ำ การพร่องน้ำ การส่งน้ำ การระบายน้ำ ที่สอดคล้องกับบริบทและความต้องการบนฐานข้อมูลของพื้นที่อย่างมีส่วนร่วม  7.3 ยกเลิกหรือทบทวนแนวคิดการทำคลองผันน้ำเลี่ยงเมืองหรือสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ที่เป็นการโยนความเสี่ยงให้กับพื้นที่ชนบทรอบนอก ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ และทำให้คนจนอีกกลุ่มกลายเป็นผู้ที่ต้องรับมือกับภัยพิบัติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผู้แทนเครือข่ายร่วมเดินรณรงค์ไปรอบเมืองวารินชำราบ

การจัดงานครั้งนี้  ผู้ร่วมงานได้เดินรณรงค์การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมไปรอบเมืองวารินชำราบเพื่อสร้างการรับรู้ต่อสาธารณะ และลงพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้การจัดการภัยพิบัติโดยชุมชน  โดยมีฐานเรียนรู้ 1.การพัฒนาที่อยู่อาศัย (บ้านลอยน้ำ)  และนวัตกรรมการสร้างเครื่องมือรับมือภัยพิบัติเรือ แพ และบ้านยกสูง ฐานการเรียนรู้ 2.กองทุนและการพัฒนาคุณภาพชีวิตอาชีพในพื้นที่ภัยพิบัติ   ผักลอยน้ำ  การเลี้ยงปลาดุก  และฐานการเรียนรู้ 3. การจัดการศูนย์อพยพและการทำนาในบ่อซีเมนต์

**************

เรื่องและภาพ  :  ธิปไตย  ฉายบุญครอง  สำนักพัฒนานวัตกรรมชุมชนจัดการความรู้และสื่อสาร  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สำนักงานพัฒนาที่อยู่อาศัยกรุงเทพมหานคร จัดเวทีดำเนินโครงการบ้านมั่นคงพลัส ระดมความคิด เดินหน้าแก้ปัญหาที่อยู่อาศัย วางแผนขับเคลื่อนสู่อนาคต

นายจิตรกร พยัฆโส รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาที่อยู่อาศัย รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาที่อยู่อาศัย จัดเวทีโครงการบ้านมั่นคงพลัส แบ่งกลุ่มย่อยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ร่วมกับสำนักงานเขต ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนงาน

“ธรรมนัส-อัครา” มอบบ้านมั่นคง พร้อมประกาศชัด ดัน “สหกรณ์บ้านมั่นคง” ยกระดับสู่ “สหกรณ์ประเภทที่ 8”

รองนายกฯ ธรรมนัส พรหมเผ่า และ รมว.พม. อัครา พรหมเผ่า ผนึกกำลัง 2 กระทรวง ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและเป็นประธานงานสัมมนาเครือข่ายสหกรณ์บ้านมั่นคง

คนจนทั่วประเทศกว่า 5 พันคน รวมพลังยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาล “ที่อยู่อาศัย คือสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน” ไว้ในรัฐธรรมนูญ เนื่องในวันที่อยู่อาศัยโลก ปี 2568

ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยหรือมีที่อยู่อาศัยไม่เหมาะสมเป็นปัญหาที่สำคัญของผู้คนทั่วโลก UN-Habitat หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’

จากความไม่มั่นคงสู่ชุมชนต้นแบบ....บ้านมั่นคงเจริญชัยนิมิตใหม่

เรื่องราวของ ชุมชนเจริญชัยนิมิตใหม่ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ เป็นบทพิสูจน์ที่ว่า การรวมพลังและหัวใจของ "คนในชุมชน" พวกเขาพลิกจากอดีตชุมชนแออัดริมทางรถไฟที่มีอายุเก่าแก่กว่า 50 ปี

ชุมชนสวนพลู จากสลัม สู่บ้านมั่นคงโมเดล ใจกลางกรุงเทพฯ

ในอดีต ชุมชนสวนพลูเป็นพื้นที่แออัดใจกลางเมืองที่ประสบปัญหามากมาย ทั้งการอยู่อาศัยอย่างไม่มั่นคงบนที่ดินกรมธนารักษ์, ปัญหาอาชญากรรม, และเศรษฐกิจที่เปราะบาง

หินเหล็กไฟ “ชุมชนผู้ไม่ยอมแพ้"

คำกล่าวที่ว่า "ไม่มีอะไรที่ได้มาง่าย ๆ และไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้" ดูจะตรงกับเรื่องราวของ "ชุมชนหินเหล็กไฟ" มากที่สุด ที่ซึ่งอดีตผู้บุกรุกที่ดินรถไฟริมทางรถไฟหัวหิน