
สถาบันอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เผยการส่งออกสินค้าอาหารของไทย 6 เดือนแรกปี 2567 มีมูลค่า 852,432 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.9 ลุ้นครึ่งปีหลังขยายตัวต่อเนื่อง คาดอัตราต่ำกว่าครึ่งปีแรก หรือในราวร้อยละ 7.8 มีมูลค่า 797,568 ล้านบาท มั่นใจเป้าส่งออกทั้งปี 67 จะแตะ 1.65 ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 8.8 หลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลกชะลอตัวลง อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกยังคงอยู่ในระดับสูง ปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบในภาคเกษตรที่ต่อเนื่องมาจากในช่วงครึ่งปีแรก ค่าเงินบาทยังคงผันผวนและมีทิศทางแข็งค่าขึ้น ต้นทุนค่าขนส่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามอัตราค่าระวางเรือ รวมถึงปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อ แจงตัวเลขไทยส่งออกอาหารไปจีนเกินดุลปี 2566 มูลค่า272,000 ล้านบาท ครึ่งปีแรก 2567 เกินดุลมูลค่า 131,866 ล้านบาท
ศูนย์การเรียนรู้อาหารไทย สถาบันอาหาร//การแถลงข่าวร่วม 3 องค์กรเศรษฐกิจด้านธุรกิจเกษตรและอาหาร มีตัวแทนหลักของทั้ง 3 องค์กร ประกอบด้วย ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร หน่วยงานเครือข่ายกระทรวงอุตสาหกรรม ดร.เจริญ แก้วสุกใส ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) และดร.วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานคณะกรรมการอาหารแปรรูปและอาหารแห่งอนาคต ร่วมให้รายละเอียด
ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร หน่วยงานเครือข่ายกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ภายใต้ความร่วมมือของ 3 องค์กร ในส่วนของสถาบันอาหารจะทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องภายใต้การดำเนินงานของศูนย์อัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร โดยมีสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมบูรณาการข้อมูล พบว่า การส่งออกสินค้าอาหารไทยในช่วง 6 เดือนแรก ปี 2567 แตะระดับ 852,423 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.9 ปัจจัยหลักมาจากความต้องการสินค้าอาหารไทยในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ต้นทุนวัตถุดิบหลักในการแปรรูปหลายรายการอ่อนตัวลง โดยราคาปลาทูน่าที่ลดลงส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมปลาทูน่าแปรรูปและอาหารสัตว์เลี้ยง กลุ่มผู้ผลิตซอสได้รับต้นทุนน้ำตาลและถั่วเหลืองที่มีราคาถูกลง ราคากากถั่วเหลืองและราคาข้าวโพดที่ลดลงเอื้อต่อผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุตสาหกรรมไก่ การลดลงของราคาข้าวสาลีในตลาดโลกช่วยลดต้นทุนการผลิตผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ ขนมปังกรอบ รวมทั้งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นต้น
สำหรับกลุ่มสินค้าที่ปริมาณและมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นและส่งผลบวกต่อภาพรวมส่งออกอาหาร ได้แก่ ข้าว (+25.3%/+55.7%) แป้งมันสำปะหลัง (+21.1%/+30.5%) อาหารสัตว์เลี้ยง (+20.7%/+41.7%) ปลาทูน่ากระป๋อง (+20.7%/+19.2%) ซอสและเครื่องปรุงรสรส (+10.7%/+16.7%) และผลิตภัณฑ์มะพร้าว (+19.7%/+29.4%) ส่วนกลุ่มสินค้าที่ปริมาณส่งออกลดลง ส่วนใหญ่ประสบปัญหาด้านผลผลิต โดยเฉพาะผลไม้สดที่ปริมาณส่งออกลดลงร้อยละ 11.9 น้ำตาลทราย ปริมาณส่งออกลดลงร้อยละ 46.4 กุ้ง ปริมาณส่งออกลดลง ร้อยละ 6.8 และสับปะรด ปริมาณส่งออกลดลงร้อยละ 13.0
“ทั้งนี้ ปริมาณและราคาส่งออกข้าวไทยเพิ่มสูงขึ้นตามความต้องการตลาดโลกหลังอุปทานข้าวโลกตึงตัวจากการที่อินเดียยังคงจำกัดการส่งออก การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงและปลาทูน่ากระป๋องขยายตัวสูง อานิสงส์จากราคาปลาทูน่าที่อยู่ในระดับต่ำ ความต้องการปลาทูน่ากระป๋องในกลุ่ม OEM มีแนวโน้มโดดเด่นเพราะได้รับประโยชน์จากราคาขายลดต่ำลงตามต้นทุนวัตถุดิบ ซอสและเครื่องปรุงรสรสขยายตัวจากการที่ผู้ประกอบการไทยเน้นการรุกตลาดซอสบนโต๊ะอาหาร (Dipping/Table Sauces) รสชาติเผ็ดร้อนมากขึ้น หลังจากซอสในกลุ่มดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างมากจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ในประเทศฝั่งชาติตะวันตกทั้งยุโรปและสหรัฐอเมริกา การส่งออกผลิตภัณฑ์มะพร้าวขยายตัวสูงในกลุ่มกะทิที่นำไปประกอบอาหารในตลาดญี่ปุ่น สหรัฐฯ ออสเตรเลีย รวมถึงกะทิที่ผสมและใช้เป็นเครื่องดื่มสุขภาพในตลาดจีน”
ตลาดส่งออกอาหารไทยในช่วง 6 เดือนแรก ปี 2567 ส่วนใหญ่ขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับสูง อาทิ แอฟริกา (+38.5%) โอเชียเนีย (+29.0%) สหรัฐอเมริกา (+23.0%) สหราชอาณาจักร (+17.2%) ตะวันออกกลาง (+16.7%) สหภาพยุโรป (+14.4%) CLMV (+12.5%) และญี่ปุ่น (+8.4%) มีเพียงตลาดส่งออกไปยังประเทศอินเดีย (-18.1%) และจีน (-5.0%) ที่หดตัวลง โดยอินเดียหดตัวลงตามสินค้าน้ำมันปาล์มเป็นหลักและหันไปนำเข้าน้ำมันถั่วเหลืองเพิ่มขึ้น ขณะที่ตลาดจีนหดตัวลงตามสินค้าผลไม้สด(ทุเรียน) กุ้ง และไก่สดแช่แข็ง เป็นต้น
ดร.ศุภวรรณ กล่าวต่อว่า สำหรับมูลค่าการค้าอาหารโลก 6 เดือนแรก ปี 2567 หดตัวลงร้อยละ 4.0 มูลค่าการค้า 933 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยประเทศผู้ส่งออก 9 อันดับแรกของโลก มีอันดับโลกไม่เปลี่ยนแปลงจากปีก่อน ได้แก่ สหรัฐอเมริกา บราซิล เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี จีน ฝรั่งเศส สเปน แคนาดาและอิตาลี ตามลำดับ สำหรับประเทศไทยส่งออกในรูปดอลลาร์เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 เป็นอันดับที่ 12 ของโลก

“แนวโน้มการส่งออกอาหารไทยในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะมีมูลค่า 797,568 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 โดยการส่งออกในไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 ปี 2567 จะมีมูลค่า 395,536 ล้านบาท และ 402,032 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 และ 9.9 ตามลำดับ โดยภาพรวมในปี 2567 คาดว่าการส่งออกของอาหารไทยจะมีมูลค่า 1.65 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 เทียบจากปีก่อน(66) ที่มีมูลค่า 1.51 ล้านล้านบาท มีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการที่ประเทศคู่ค้ากังวลเรื่องความมั่นคงทางอาหาร หลายประเทศขาดศักยภาพในการผลิตสินค้าเพื่อการแข่งขันในตลาดโลก สินค้าอาหารไทยมีภาพลักษณ์ด้านคุณภาพมาตรฐานและได้รับความเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม คาดว่าการส่งออกขยายตัวต่ำกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากมีแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลกชะลอตัว อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกยังคงอยู่ในระดับสูง ปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบในภาคเกษตรที่ต่อเนื่อง ค่าเงินบาทยังคงผันผวนและมีทิศทางแข็งค่าขึ้น ต้นทุนค่าขนส่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามอัตราค่าระวางเรือ รวมถึงปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภค
อย่างไรก็ตามในประเด็นข้อกังวลเรื่องการนำเข้าสินค้าอาหารจากจีนในกลุ่มผัก ผลไม้ที่มีปริมาณมากขึ้นนั้น จากข้อมูลการค้าอาหารระหว่างไทยกับจีนในปี 2566 พบว่าไทยส่งออกไปจีนที่มูลค่า 370,000 ล้านบาท ขณะที่นำเข้าจากจีนมูลค่า 98,000 ล้านบาท เกินดุล 272,000 ล้านบาท สินค้าที่ไทยนำเข้าจากจีน ได้แก่ ผลไม้สด ทูน่าลอยน์ และวัตถุดิบอาหารสัตว์ โดยมีสัดส่วนร้อยละ 25 ร้อยละ 5 และร้อยละ 4 ตามลำดับ สินค้าที่ไทยส่งออกไปจีน เช่น ผลไม้สด แป้งมันสำปะหลัง น้ำตาลทราย โดยมีสัดส่วนร้อยละ 60 ร้อยละ 9 และร้อยละ 8 ตามลำดับ ส่วนในครี่งปีแรก 2567 ไทยเกินดุลการค้าอาหารกับจีน มูลค่า 131,866 ล้านบาท”
ดร.เจริญ แก้วสุกใส ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ในด้านการส่งออก ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การตลาดเพื่อรองรับสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะการค้นหาและกลั่นกรองลูกค้าที่มีศักยภาพทั้งในตลาดเดิมและตลาดใหม่ๆ เพื่อขยายโอกาสของสินค้าอาหารไทยในอนาคต ขณะเดียวกันก็ต้องหันกลับมามองตลาดในประเทศด้วยว่าปัจจุบันมีสินค้าอะไรบ้างที่กำลังถูกเบียดแย่งส่วนแบ่งตลาดจากสินค้านำเข้า โดยเฉพาะกลุ่มทุนจากประเทศจีนที่รุกหนักมากทั้งธุรกิจร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ ที่เชื่อมโยงไปสู่สินค้าเกี่ยวเนื่อง ตัวอย่างเช่น เครื่องปรุงรส เครื่องดื่มชนิดต่างๆ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง ผักและผลไม้อบแห้ง ขนมขบเคี้ยวต่างๆ เป็นต้น ซึ่งตลาดอาหารในประเทศไทยถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพทั้งมิติของตลาดในกลุ่มผู้บริโภคชาวไทยที่มีมากถึง 65 ล้านคน และกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีไม่ต่ำกว่า 30 ล้านคนต่อปี จึงเป็นที่หมายปองของหลายๆ ประเทศ
ดังนั้น การบรรลุเป้าหมายด้านความปลอดภัย ความมั่นคง และความยั่งยืนของสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม ผู้ที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องมีมาตรการติดตามและเฝ้าระวังสินค้าอาหารและเครื่องดื่มจากจีน รวมถึงประเทศอื่นๆ ที่เข้ามาทำตลาดในประเทศ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการไทยต้องมีกลยุทธ์ในการปรับตัวรับสภาวะการแข่งขันดังกล่าว ทั้งในด้านการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดต้นทุนสินค้า การรักษาคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยอาหาร การมุ่งเน้นการผลิตสินค้าตามที่ตลาดต้องการ ตลอดจนการเฟ้นหาลูกค้าและตลาดใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง กลยุทธ์ทางธุรกิจเหล่านี้เชื่อว่าจะมีส่วนสำคัญช่วยให้สินค้าอุตสาหกรรมอาหารของไทยสามารถแข่งขันกับสินค้าต่างชาติได้ทั้งตลาดในประเทศและตลาดโลก
ดร.วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานคณะกรรมการอาหารแปรรูปและอาหารแห่งอนาคต กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกยังมีความผันผวนและภาคผลิตของประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัดเจน ซึ่งการส่งออกอาหารไทยยังมีปัจจัยจากแรงกดดันเรื่องต้นทุนค่าระวางเรือ ส่งผลให้ผู้นำเข้าปลายทางชะลอการนำเข้าโดยตรง ประกอบกับสินค้าที่ประเทศจีนสามารถผลิตได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำมาก ส่งผลทำให้ตลาดต่างๆ อยู่ในภาวะการแข่งขันสูง ดังนั้น ยังคงต้องติดตามการตอบโต้ทางการค้าของประเทศปลายทางด้วย
“ประเด็นที่ผู้ประกอบการต้องปรับตัวและติดตามใกล้ชิด โดยเฉพาะเรื่องค่าเงินบาทที่ผันผวนอย่างรุนแรง จากมาตรการทางการเงินของประเทศต่างๆ ที่เริ่มมีการลดดอกเบี้ยในหลายประเทศ เบื้องต้นผู้ประกอบการต้องประกันความเสี่ยงค่าเงิน ส่วนในภาพรวมธนาคารแห่งประเทศไทยต้องติดตามนโยบายการเงินของประเทศต่างๆ อย่างใกล้ชิด และแก้ไขสถานการณ์ให้ทันเหตุการณ์ไม่ปล่อยให้ค่าเงินบาทแข็งค่าจนไม่สามารถแข่งขันได้ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของการส่งออกของประเทศไทยที่ยังเป็นส่วนสำคัญในการชี้ชะตา GDP ของไทยในอนาคต”
สุดท้ายนี้ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ภายใต้นโยบาย “Connect-Competitive-Sustainable” เราได้มุ่งมั่นยกระดับและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคเกษตรและอาหารของไทย โดยได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนโครงการอันส่งผลต่อการเพิ่มศักยภาพธุรกิจเกษตรและอาหารตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ อาทิ จัดตั้งศูนย์ประสานงานและประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตรและอาหาร หรือ ศูนย์ AFC ร่วมกับภาคีเครือข่าย 28 องค์กร เพื่อแก้ไขปัญหาสินค้าล้นตลาดและราคาตกต่ำให้เกิดเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งได้ร่วมมือกับสถาบันอาหารในการศึกษารูปแบบบริหารจัดการเครือข่ายความร่วมมือ และสร้างต้นแบบการบริหารจัดการ Food Valley ในจังหวัดขอนแก่นภายใต้โครงการ Khon Kaen Food Valley Cluster เพื่อขยายผลให้เป็น Role Model ไปในจังหวัดต่างๆ ตลอดจนการรณรงค์บริโภคอาหารโปรตีนทางเลือกในการประชุมภายในองค์กรอย่างน้อย 30% ของมื้ออาหารปกติ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจอาหารจากโปรตีนทางเลือกของประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายมูลค่าอุตสาหกรรมอาหารอนาคตของไทย 500,000 ล้านบาทในปี 2570 ซึ่งไม่เพียงตอบโจทย์เป้าหมาย SDGs และ BCG เท่านั้น แต่ยังจะเป็นการจัดการและเพิ่มมูลค่าของ Food waste และ Food loss ในระบบการผลิตอาหาร เพื่อความยั่งยืนของเกษตรกรผู้ประกอบการและความยั่งยืนของโลกอีกด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ส.อ.ท. เดินหน้าปั้น SMEs และ Startups ไทย เปิดหลักสูตร K-FTI Acceleration Program รุ่น 3 เสริมศักยภาพ-เข้าถึงแหล่งทุน
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเคพีเอ็มจี ประเทศไทย เปิดรับสมัครผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการ “K-FTI Acceleration
กกร.เคาะกรอบจีดีพีใหม่ โตต่ำกว่าเดิมอยู่ที่ 2-2.2%
กกร.เคาะกรอบจีดีพีใหม่ โตต่ำกว่าเดิมอยู่ที่ 2 - 2.2% รับกำแพงภาษีสหรัฐกระทบหนักแม้จะลดหย่อนเหลือ 10% ฉุดมูลค่าการส่งออกตกตาม ย้ำจำเป็นอย่างยิ่งที่จะเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อลดภาษีให้สำเร็จ
บิ๊กซี ร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และกรมพัฒนาธุุรกิจการค้า ขอเชิญชวนผู้ประกอบการ ร่วมกิจกรรม 'โตไวไปกับบิ๊กซี BigC BizConnect' พร้อมมอบสิทธิพิเศษ !!! รับประโยชน์มากมายในงาน
บิ๊กซี ร่วมกับ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และกรมพัฒนาธุุรกิจการค้า ขอเชิญชวน ผู้ประกอบการ SMEs และ Start Up (ผู้เริ่มต้นธุรกิจ) เข้าร่วมกิจกรรม "โตไวไปกับบิ๊กซี BigC BizConnect"
เฮ! หอการค้า เซ็น MOU หนุนทหารมีงานทำหลังปลดประจำการ 3 หมื่นอัตรา
ทหารไทยเฮ แรงงาน - กลาโหม - หอการค้า เซ็น MOU หนุนทหารมีงานทำหลังปลดประจำการ รองรับกว่า 3 หมื่นอัตรา


