
ก้าวย่างเข้าสู่ปีที่ 8 ในปี 2568 ของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ที่เน้นการทำงานในเชิงรุก โดยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการเป็นระบบลุ่มน้ำ ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านน้ำของประเทศ ภายใต้สภาวะความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ ที่ทำให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภัยจากน้ำท่วม น้ำแล้ง หรือ ดินโคลนถล่ม ซึ่งส่งผลต่อการดำรงชีวิตของประชาชนโดยตรง ในขณะเดียวกัน การขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว และการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน ทำให้ความต้องการใช้น้ำในทุกภาคส่วนขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำจึงมีความซับซ้อนมากขึ้น และเป็นเรื่องที่มีความท้าทาย โดยในปี 2567 สทนช. ได้ขับเคลื่อนงานท่ามกลางความท้าทายดังกล่าว มีผลการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้
การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในฤดูแล้ง
ในปี 2567 ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญที่ต่อเนื่องมาจากปี 2566 ซึ่งทำให้มีปริมาณฝนตกต่ำกว่าค่าเฉลี่ย และเกิดภาวะความแห้งแล้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ตอนบนของประเทศ สทนช. ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วางแผนป้องกันและแก้ไขปัญหาไว้ล่วงหน้าก่อนเข้าสู่ฤดูแล้ง โดยกำหนด 9 มาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 2566/2567 ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามลำดับ
1) เฝ้าระวังและเตรียมจัดหาแหล่งน้ำสำรอง พร้อมวางแผนเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือในพื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงขาดแคลนน้ำ 2) ปฏิบัติการเติมน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งปฏิบัติการฝนหลวง เติมน้ำใต้ดิน และสูบผันน้ำในพื้นที่ที่มีศักยภาพ 3) กำหนดแผนจัดสรรน้ำและพื้นที่เพาะปลูกพืชฤดูแล้ง โดยควบคุมการเพาะปลูกข้าวนาปรังให้เป็นไปตามแผน สร้างการรับรู้ให้กับเกษตรกร เตรียมน้ำสำรองสำหรับพื้นที่ลุ่มต่ำรับน้ำนอง 4) บริหารจัดการน้ำให้เป็นไปตามลำดับความสำคัญการใช้น้ำตามที่คณะกรรมการลุ่มน้ำกำหนด 5) เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ ประหยัดน้ำและลดการสูญเสียน้ำในทุกภาคส่วน 6) เฝ้าระวังและแก้ไขคุณภาพน้ำ 7) เสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการบริหารจัดการน้ำของชุมชน/องค์กรผู้ใช้น้ำ 8) การประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ และ 9) ติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน เพื่อให้มาตรการมีความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ตลอดระยะเวลาในช่วงฤดูแล้ง ปี 2566/2567 สทนช. บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) ที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำด้านการเกษตรและอุปโภคบริโภค เพียง 16 จังหวัด 56 อำเภอ 243 ตำบล โดยมีหน่วยงานในพื้นที่เข้าดำเนินการให้ความช่วยเหลือได้ทันต่อสถานการณ์ และเมื่อสิ้นสุดฤดูแล้ง สทนช. ได้จัดการประชุมสัมมนาถอดบทเรียนการบริหารจัดการน้ำและมาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 2566/2567 เพื่อเปิดเวทีให้ทุกภาคส่วนร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงผลการดำเนินการ ผลการวิเคราะห์ จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคของมาตรการ รวมทั้งให้ข้อเสนอแนะต่อ (ร่าง) มาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 2567/2568 ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสม และมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นสามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งได้ทันท่วงที เพื่อให้มีน้ำใช้ในทุกกิจกรรมการใช้น้ำได้อย่างเพียงพอตลอดฤดูแล้งและต่อเนื่องจนถึงต้นฤดูฝน 2568 ต่อไป
การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในฤดูฝน
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เข้าสู่ภาวะลานีญาและอิทธิพลของมรสุม ส่งผลให้สถานการณ์อุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2567 มีความรุนแรง ทำให้มีพื้นที่ได้รับผลกระทบกระจายเป็นวงกว้าง สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคเป็นอย่างมาก สทนช. นำกลไกลุ่มน้ำและกลุ่มลุ่มน้ำมาใช้ในการบริหารจัดการปริมาณน้ำเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนเข้าสู่ฤดูฝน ในการกำหนด 10 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2567 และได้ผ่านความเห็นชอบจาก กนช. และครม.
สำหรับ 10 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2567 ประกอบด้วย 1) คาดการณ์ชี้เป้าและแจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและพื้นที่เสี่ยงฝนทิ้งช่วง 2) ทวบทวน ปรับปรุงเกณฑ์บริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำ อาคารควบคุมบังคับน้ำอย่างบูรณาการในระบบลุ่มน้ำและกลุ่มลุ่มน้ำ 3) เตรียมความพร้อมเครื่องจักรเครื่องมือ อาคารชลศาสตร์ ระบบระบายน้ำ โทรมาตร บุคลากรประจำพื้นที่เสี่ยง และศูนย์อพยพให้สามารถรองรับสถานการณ์ในช่วงน้ำหลากและฝนทิ้งช่วง 4) ตรวจสอบพร้อมติดตามความมั่นคงปลอดภัยของคันกั้นน้ำ ทำนบ พนังกั้นน้ำ 5) เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของทางน้ำอย่างเป็นระบบ 6) ซักซ้อมแผนเผชิญเหตุ ตั้งศูนย์ส่วนหน้าก่อนเกิดภัยและฟื้นฟูสภาพให้กลับสู่สภาพปกติ 7) เร่งพัฒนาและเก็บกักน้ำในแหล่งน้ำทุกประเภทช่วงปลายฤดูฝน 8) สร้างความเข้มแข็งเครือข่ายภาคประชาชนในการให้ข้อมูลสถานการณ์ 9) การสร้างการรับรู้ศูนย์บริการข้อมูลสถานการณ์น้ำและประชาสัมพันธ์ และ10) ติดตามประเมินผลปรับมาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภัย
ทั้งนี้ สทนช. ได้ติดตามและขับเคลื่อนการดำเนินการตามมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2567 ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม - 30 กันยายน 2567 โดยลงพื้นที่เพื่อเตรียมความพร้อมรับน้ำหลาก และรับฟังสภาพปัญหาอุทกภัยใน 38 จังหวัด 79 อำเภอ 108 ตำบล และจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยในภาคต่าง ๆ จำนวน 6 แห่ง ได้แก่ ภาคเหนือ ที่ จ.เชียงรายและสุโขทัย ภาคกลางที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ภาคตะวันออกที่ จ.ระยอง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ จ.นครราชสีมา และภาคใต้ที่ จ.ยะลา รวมทั้งยังมีการจัดตั้งศูนย์ฯ ย่อยที่ จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อบูรณาการบริหารจัดการน้ำให้ครอบคลุมทุกพื้นที่เสี่ยงภัย โดยทุกศูนย์ฯ ดำเนินการตามมาตรการรับมือฤดูฝนอย่างเคร่งครัด พร้อมทบทวนและปรับแผนการบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ทำให้สามารถบรรเทาผลกระทบน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หลังสิ้นสุดฤดูฝน ปี 2567 สทนช. ได้จัดประชุมสัมมนาถอดบทเรียนการบริหารจัดการน้ำและมาตรการรับมือในช่วงฤดูฝน ปี 2567 ขึ้น ผลจากการดำเนินการตาม 10 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2567 ของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยที่เกิดจากน้ำให้ประชาชนได้ในหลายพื้นที่ และยังสามารถบริหารจัดการน้ำให้มีปริมาณสำรองเพียงพอจนถึงฤดูแล้ง ปี 2568/2569 ด้วย โดยได้นำปัญหาและอุปสรรค ตลอดจนข้อคิดเห็นของผู้เข้าร่วมสัมมนาไปประกอบการจัดทำ (ร่าง) มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และบริบทของแต่ละพื้นที่มากขึ้น
นอกจากนี้ สทนช. นำผังน้ำที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว 5 ลุ่มน้ำ และอยู่ระหว่างรอประกาศ อีก 7 ลุ่มน้ำ มาใช้เป็นข้อมูลและเครื่องมือบริหารจัดการน้ำ รวมทั้งบูรณาการร่วมกับหน่วยงานด้านน้ำ นำเทคนิคทางวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาแบบจำลองสภาพอากาศ การใช้ข้อมูลจากดาวเทียม การวิเคราะห์ข้อมูลสถิติ แนวโน้มภัยพิบัติจากข้อมูลในอดีตและภูมิอากาศผ่าน Big Data หรือการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) เข้ามาช่วยวิเคราะห์สถานการณ์ ในการคาดการณ์ปริมาณฝนในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ให้ถูกต้องยิ่งขึ้น เพื่อยกระดับความแม่นยำในการคาดการณ์และระบบเตือนภัยล่วงหน้า โดยมีเป้าหมายในการลดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินให้ได้มากที่สุด
การขับเคลื่อนนโยบาย แผน และงบประมาณ ตามบทบาทและหน้าที่ของ สทนช.
ได้มีการปรับปรุง “แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (ปรับปรุงช่วงที่ 1 พ.ศ 2566-2580)” ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2567 โดยนำกรอบนโยบายระดับชาติและนานาชาติ ประเด็นสถานการณ์โลก ปัญหา ศักยภาพการพัฒนา มากำหนดค่าเป้าหมาย ตัวชี้วัด กลยุทธ์ แผนงาน และหน่วยงานรับผิดชอบ ประกอบด้วยแผนแม่บทจำนวน 5 ด้าน ได้แก่ 1) การจัดการน้ำอุปโภคบริโภค 2) การสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต 3) การจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย 4) การอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศทรัพยากรน้ำ และ 5) การบริหารจัดการ โดยมีแผนงานที่รองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และยังมีการแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่ ได้แก่ พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และพื้นที่การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมลุ่มน้ำเจ้าพระยา รวมทั้งยังได้จัดทำ “แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในเขตลุ่มน้ำ 22 ลุ่มน้ำ” เพื่อให้หน่วยงานและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำไปใช้ในการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ อีกด้วย
การขับเคลื่อนโครงการพัฒนาทรัพยากรน้ำแก้ไขปัญหาครอบคลุมทุกมิติ
ในปี 2567 สทนช. ขับเคลื่อนโครงการพัฒนาทรัพยากรน้ำที่สำคัญ ผ่านการพิจารณาของ กนช. เช่น โครงการจัดหาน้ำดิบเพื่อผลิตประปาที่โรงกรองน้ำบ้านมะขามเฒ่า เทศบาลนครนครราชสีมา จ.นครราชสีมา ระยะเวลาดำเนินการ 3 ปี (พ.ศ. 2568–2570) เมื่อแล้วเสร็จจะมีปริมาณน้ำดิบเพื่อผลิตน้ำประปาเพิ่มจากเดิมได้อีกถึงวันละ 45,000 ลูกบาศก์เมตร ประชาชนได้รับประโยชน์กว่า 350,000 ครัวเรือน โครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำ ส่วนต่อขยาย จากบึงหนองบอนถึงคลองประเวศบุรีรมย์ และคลองสี่ กรุงเทพมหานคร ระยะเวลาดำเนินการ 7 ปี (พ.ศ.2569-2575) เมื่อแล้วเสร็จจะมีพื้นที่ได้รับการป้องกันน้ำท่วม 95,625 ไร่ และโครงการปรับปรุงคลองชักน้ำแม่น้ำยมฝั่งขวา จ.สุโขทัย ระยะเวลาดำเนินการ 6 ปี (พ.ศ. 2568-2573) เมื่อแล้วเสร็จจะมีพื้นที่ป้องกันน้ำท่วม 170,189 ไร่ และยังเป็นแหล่งเก็บกักน้ำในแนวคลอง เพื่อการอุปโภค-บริโภคและการเกษตร มีพื้นที่รับประโยชน์ราว 35,000 ไร่ เป็นต้น
ในส่วนของการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศในพื้นที่ต้นน้ำ สทนช. ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ “การอนุรักษ์ ฟื้นฟูระบบนิเวศ และป้องกันการชะล้างพังทลายของดินแบบบูรณาการ ภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี” หรือ MoU “ดิน น้ำ ป่า” เพื่อให้เกิดการจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่ต้นน้ำของประเทศอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 15 หน่วยงาน จัดทำแผนขับเคลื่อนน้ำสะอาดเพื่อการอุปโภคบริโภค (พ.ศ. 2566–2580) ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ 20 ปี (ปรับปรุงช่วงที่ 1 พ.ศ. 2566 – 2580) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่ให้ทุกคนเข้าถึงน้ำดื่มที่ปลอดภัยและมีราคาที่สามารถซื้อหาได้ภายในปี 2573
การขับเคลื่อนภารกิจด้านกฎหมาย
ตามที่พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 กำหนดให้ สทนช. มีหน้าที่จัดทำผังน้ำเสนอ กนช.
ให้ความเห็นชอบและประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ประกอบเป็นแนวทางในการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำต่อไปนั้น ในปี 2567 กนช. เห็นชอบผังน้ำจำนวน 5 ลุ่มน้ำ และปี 2568เห็นชอบอีก 7 ลุ่มน้ำ สทนช.ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเร่งรัดดำเนินการจัดทำผังน้ำส่วนที่เหลือให้แล้วเสร็จครบ 22 ลุ่มน้ำ ภายในปี 2568 ในส่วนของการจัดทำกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 รวมจำนวน 35 ฉบับ ขณะนี้ได้มีการออกกฎหมายลำดับรองแล้ว 33 ฉบับ และอยู่ระหว่างดำเนินการอีก 2 ฉบับ

การขับเคลื่อนภารกิจด้านต่างประเทศ
สทนช. ได้สร้างความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี สำหรับการบริหารจัดการน้ำเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมทั้งขับเคลื่อนการบริหารจัดการน้ำในภูมิภาคเอเชียผ่านกรอบความร่วมมือต่าง ๆ รวมถึงการขับเคลื่อนงานสำคัญในฐานะประเทศสมาชิกแม่น้ำโขงด้วย โดยมีผลการดำเนินงาน ประกอบด้วย ด้านแผนงานทรัพยากรแม่น้ำโขง โดยได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ "การปรึกษาหารือและแลกเปลี่ยนความเห็นระดับพื้นที่ในการบริหารจัดการลุ่มน้ำโขง" ประจำปีงบประมาณ 2567 ครั้งที่ 1 เพื่อเสริมศักยภาพของกลุ่มเป้าหมายโดยแลกเปลี่ยนข้อมูลการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังน้ำในแม่น้ำโขงสายประธาน พร้อมรับฟังความคิดเห็น ข้อกังวลของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ รวมทั้งยังได้มีการประชุมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาอาชีพระดับชุมชนในลุ่มน้ำโขง ประจำปีงบประมาณ 2567 เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของประชาชนในพื้นที่และแนะนำแนวทางในการประกอบอาชีพรองรับการเปลี่ยนแปลงจากสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาลุ่มน้ำโขงตอนล่างอีกด้วย
ด้านการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมแม่น้ำโขง โดยมีการริเริ่มจัดตั้งกองทุนเพื่อการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในลุ่มน้ำโขง (ช่วงการทดลอง) โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นต้นแบบนำไปสู่กองทุนแม่น้ำโขง (Mekong Fund) รวมทั้งยังได้ผลักดันให้มีระบบในการติดตามด้านสิ่งแวดล้อม 5 ด้าน ประกอบด้วย ด้านอุทกวิทยา ตะกอนวิทยา คุณภาพน้ำ ความสมบูรณ์ของระบบนิเวศและประมง
ด้านอำนวยการและประสานงานคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ในปี 2567 “ประเทศไทย” ได้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมคณะกรรมการร่วม คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 57 โดยมี สทนช.เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการ การประชุมดังกล่าว จัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-25 มิถุนายน 2567 ณ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา และ สทนช. ยังได้เข้าร่วมประชุม Asean-MRC Water Security Dialogue ครั้งที่ 2 ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว โดยได้แสดงจุดยืนด้านความมั่นคงด้านน้ำของไทย และสะท้อนถึงความท้าทายที่ประเทศทั่วโลกประสบปัญหาอยู่ในขณะนี้ ดังนั้น ประเทศสมาชิกแม่น้ำโขงจำเป็นต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อที่จะสร้างความเข้มแข็งในภูมิภาคอาเซียนอย่างยั่งยืนต่อไป
นอกจากนี้ สทนช.ยังได้ขับเคลื่อนงานด้านความร่วมมือระหว่างประเทศในระดับทวิภาคี อาทิ การลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ กับสถาบันวิจัยทรัพยากรน้ำและพลังงานน้ำแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเป็นกลไกการขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่าง 2 หน่วยงานอย่างเป็นรูปธรรม การลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยมี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย และนายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ร่วมเป็นสักขีพยาน เพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนความร่วมมือด้านน้ำระหว่างไทยและ สปป.ลาวให้มีประสิทธิภาพต่อไป
สทนช.ได้จัดงานวันน้ำโลกประจำปี 2567 ภายใต้แนวคิด “เพราะน้ำคือชีวิต” มาร่วมมือกันดูแลน้ำอย่างสร้างสรรค์ เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ให้กับโลก สอดรับนโยบายขององค์การสหประชาชาติ “Leveraging Water for Peace” หรือ “น้ำเพื่อสันติภาพ” พร้อมเปิดฉายวีดิทัศน์การแถลงสารจากนายกรัฐมนตรี เพื่อประกาศนโยบายและเจตนารมณ์ในการสร้างสันติภาพด้านน้ำให้เกิดขึ้นในแผ่นดินไทยและขยายผลสู่ประชาคมโลก โดยมีผู้ร่วมงานจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เอกอัครราชทูตและผู้แทนจากองค์กรระหว่างประเทศที่มีความร่วมมือด้านน้ำ คณะกรรมการลุ่มน้ำ รวมถึงภาคประชาชน จำนวนกว่า 300 คน เข้าร่วมงาน
ก้าวย่างเข้าสู่ปีที่ 8 สทนช. ได้ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักของประเทศในการบูรณาการเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สมดุลในทุกมิติ และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน เพื่อมุ่งหน้าก้าวสู่การเป็นองค์กรชั้นนำในอาเซียนด้านการบริหารทรัพยากรน้ำอย่างบูรณาการบนหลักธรรมาภิบาลภายในปี 2570
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สทนช. เตือนระดับน้ำลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภาสูงทุบสถิติ วันนี้ระดับน้ำในหาดใหญ่ยังเพิ่มขึ้นอีก
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า สทนช. ในฐานะคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ (ศชภ.)
10 จังหวัดภาคใต้เสี่ยงฝนตกหนัก สะสมมากกว่า 200 มม. ช่วงวันที่ 23 – 24 พ.ย.
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 23 พ.ย. 68 เวลา 7.00 น.
เตือน11จังหวัด ท้ายเขื่อนรับมือ สถานการณ์นํ้า
"ภราดร" ยกเครื่องระบบ สทนช. ทำงานให้ถึงท้องถิ่น บี้ปรับปรุงระบบสารสนเทศเตือนภัย Cell Broadcast ให้ทันสถานการณ์ดูแล ปชช.พื้นที่เสี่ยง ขีดเส้นเงินเยียวยาห้ามต่ำกว่าเพดานรัฐบาลก่อน "กรมชลประทาน" เตือน 11 ลุ่มน้ำเจ้าพระยาเตรียมรับมือ "ปภ." ผละบัวลอยจับตา "แมตโม" ใกล้ชิด


