
วันที่10 เมษายน 2568 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดการสัมมนารับฟังความเห็นการจัดทำความตกลงการค้าเสรี ไทย-สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (เอฟตา) เพื่อรับฟังความเห็นต่อผลการเจรจาเอฟทีเอ ไทย – เอฟตา ณ โรงแรมโนโวเทล มารินา ศรีราชา จังหวัดชลบุรี หลังจากที่ไทย และ เอฟตา ได้ร่วมลงนามความตกลงการค้าเสรีระหว่างกัน เมื่อเดือนมกราคม 2568 ณ เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์
นายสุชาติ เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยท่านนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้ให้ความสำคัญกับการใช้เวทีความตกลงการค้าเสรี (FTA) ในการส่งเสริมการค้าการลงทุน จัดสัมมนาในวันนี้ เป็นการคิกออฟ (Kick off) กิจกรรมรับฟังความเห็นสาธารณะต่อความตกลงฉบับนี้ ซึ่งกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ มีแผนงานจะจัดขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และภูมิภาคต่างๆ ซึ่งเริ่มจัดที่จังหวัดชลบุรีเป็นแห่งแรกเนื่องจากเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจเศรษฐกิจการค้าการลงทุนในภาคตะวันออกของไทย เป็นจังหวัดที่มีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ เขตนิคมอุตสาหกรรมในหลายพื้นที่ และเป็นที่ตั้งของท่าเรือน้ำลึกที่เป็นเส้นทางผ่านสำคัญ ในการนำเข้า-ส่งออกสินค้าระหว่างไทยกับประเทศอื่น ๆ
นายสุชาติ กล่าวว่า การจัดสัมมนาครั้งนี้ผลตอบรับดีมาก มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 150 คน จากผู้เข้าร่วมการสัมมนาทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม เกษตรกร ผู้ประกอบการ ที่อยู่ในจังหวัดชลบุรี และจังหวัดใกล้เคียงในภาคตะวันออก ตลอดจนผู้เข้าร่วมผ่านระบบออนไลน์ทาง Facebook Live ของกรมฯ ซึ่งมีจำนวนกว่า 150 ท่าน “ผมอยากให้ผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่รายเล็กให้ความสนใจศึกษารายละเอียดของความตกลงฉบับนี้ เนื่องจากเอฟทีเอ ไทย - เอฟตา เป็นเอฟทีเอฉบับแรก ที่ไทยทำกับกลุ่มประเทศในยุโรป ถือเป็น FTA ที่มีความทันสมัยและมีมาตรฐานสูงที่สุดของไทยในขณะนี้ ประกอบด้วยการเปิดตลาดสินค้า การค้าบริการและการลงทุน ตลอดจนความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์กับไทย ซึ่งจะเป็นเครื่องมือช่วยให้สินค้าไทยเจาะตลาดประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเทนสไตน์ ได้ดีขึ้น
ทั้งนี้ ความตกลงฉบับนี้คาดว่าจะมีผลใช้บังคับในปี 2569 ซึ่งคาดว่าไทยจะได้รับประโยชน์ในการขยายตลาดส่งออกทั้งสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม เช่น ข้าว ผักผลไม้สด อาหารทะเลแปรรูป อัญมณีและเครื่องประดับ นาฬิกาและส่วนประกอบ เครื่องนุ่งห่ม ผลิตภัณฑ์พลาสติก ยานยนต์และชิ้นส่วน อาหารสัตว์เลี้ยง รวมถึงลดต้นทุนนำเข้าวัตถุดิบ เช่น ชีส เนยแข็ง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการส่งออกกลุ่มอาหารแปรรูป
ในปี 2567 เอฟตา เป็นคู่ค้าที่สำคัญอันดับที่ 14 ของไทย มีมูลค่าการค้ากับไทย 11,788.37 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 1.94 ของการค้าทั้งหมดของไทยกับโลก ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 19.22 โดยไทยส่งออกไป EFTA 4,225.01 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ร้อยละ 3.77 และไทยนำเข้าจาก EFTA 7,563.35 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ร้อยละ 37.59 ไทยเสียเปรียบดุลการค้า 3,338.34 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สินค้าส่งออกหลักของไทยไปเอฟตา ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ นาฬิกาและส่วนประกอบ เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เครื่องใช้สำหรับเดินทาง เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล แผงสวิทซ์และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว และผลิตภัณฑ์พลาสติก
สินค้าที่ไทยนำเข้าจากเอฟตา ได้แก่ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ นาฬิกาและส่วนประกอบ เนื้อสัตว์สำหรับการบริโภค ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม ปุ๋ย และยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ การแพทย์ สัตว์น้ำสด แช่เย็น แช่แข็ง แปรรูปและกึ่งสำเร็จรูป และเครื่องประดับอัญมณี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เสธ ทบ. เผยพบร่างทหาร 2 นาย เหตุปะทะพื้นที่ปราสาทตาควาย 'เนิน 350' แล้ว
พล.อ.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เสนาธิการทหารบก เปิดเผยความคืบหน้ากรณีการปะทะในพื้นที่ปราสาทตาควาย และบริเวณเนิน 350 จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการสู้รบอย่างหนั
โคราชเดือด! ถล่มยิงเป้าผู้นำเขมร
สโมสรกีฬายิงธนูโคราชเปลี่ยนเป้าซ้อมเป็นรูปผู้นำกัมพูชา ทั้งฮุน เซน–ฮุน มาเนต รวมถึงโฆษกกองทัพและอินฟลูเอนเซอร์เขมร ลูกค้าแห่ทดลองยิง ระบุเป็นกิจกรรมผ่อน
ทัพเรือเผยเหตุเขมรบุกหนัก เคยใช้สไนป์เปอร์ลอบยิง ผบ.หน่วย ก่อนเปิดฉากรบ
โฆษกกองทัพเรือเปิดเผย ช่วงก่อนการโจมตีบ้านเรือน 3 หลัง ฝ่ายกัมพูชามีความพยายามยั่วยุหลายครั้ง รวมถึงเหตุใช้พลซุ่มยิงลอบยิงผู้บังคับหน่วยระดับผู้นำ ก่อนสถานการณ์พัฒนาไปสู่การสู้รบ
ทภ.2 สรุปชายแดนไทย-กัมพูชา ปะทะเป็นระยะ โดรนฝ่ายตรงข้ามหนาแน่น
กองทัพภาคที่ 2 รายงานภาพรวมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พบการปะทะต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ฝ่ายตรงข้ามใช้งานโดรนและอาวุธหนักหนาแน่น ขณะฝ่ายไทยยิงตอบโต้ทำลายที่ตั้งยิงและยานพาหนะได้หลายครั้ง สถานการณ์ยังอยู่ในการควบคุม
ทภ.2 มีหลักฐานเขมรละเมิดอนุสัญญาเจนีวา-กฎหมายมนุษยธรรม 3 ประการ
กองทัพภาคที่ 2 เปิดข้อมูลการสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชาตลอด 13 วัน ระบุพบพฤติกรรมทางทหารของฝ่ายกัมพูชาที่เข้าข่ายละเมิดอนุสัญญาเจนีวาและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ชี้ชัดการใช้โบราณสถานเป็นฐาน การดึงพลเรือนร่วมปฏิบัติการ และการนำพลเรือนเข้าสู่พื้นที่การรบ
สถานะเมืองรัตนโกสินทร์หลังศึกเขมรรอบสอง
ผู้เขียนขอพักบทความลีลาชีวิตท่านที่ลัคนาสถิตราศีมีนปี 2569 ซึ่งเป็นลัคนาสุดท้ายที่จะเขียนไว้พลางก่อน เพราะเมืองคับขันเกิดการสู้รบ

