
มหกรรมซีเกมส์ ครั้งที่ 33 บูมกระแสกีฬาไทยคึกคัก และยังสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ไม่ต่ำกว่า 12,000 ล้านบาท ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการ กกท. ชี้เป็นตัวเลขที่สูงที่สุดตั้งแต่ไทยเคยจัดมหกรรมกีฬามา พร้อมเผยยอดผู้ชมเข้าสนามแข่งขันต่าง ๆ สะสมเกือบ 400,000 คนแล้ว
ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เปิดเผยว่า สำหรับการเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ระหว่างวันที่ 9-20 ธันวาคม 2568 ได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจตั้งแต่เริ่มเตรียมการก่อนการแข่งขัน จนมาถึงตอนนี้ที่เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการแข่งขัน มีตัวเลขเงินสะพัดแล้วกว่า 12,000 ล้านบาท ทั้งมูลค่าที่เกิดจากการแข่งขันโดยตรง และมูลค่าด้านอื่น ๆ ประกอบกัน โดยเชื่อว่าเมื่อจบการแข่งขันมูลค่าทางเศรษฐกิจน่าจะพุ่งสูงถึง 14,000 ล้านบาท
ผู้ว่าการ กกท. กล่าวต่อว่า ตัวเลขดังกล่าวนับเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูงมาก ซึ่งหากเทียบจากการจัดมหกรรมกีฬาอื่น ๆ ที่ผ่านมาถือว่ามากที่สุด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะซีเกมส์ครั้งนี้มีการบรรจุกีฬาแข่งขันมากถึง 50 กีฬา ทำให้มีนักกีฬาและเจ้าหน้าที่เข้าร่วมมากกว่า 12,000 คน เทียบกับซีเกมส์ ครั้งที่ 32 เมื่อปี 2566 ที่ประเทศกัมพูชา มีนักกีฬาและเจ้าหน้าที่เข้าร่วมประมาณ 7,000 คน นอกจากนี้ ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ก็ยังมีผู้ติดตาม ครอบครัว แฟน ๆ กีฬาของแต่ละชาติ ตลอดจนนักท่องเที่ยวอีกจำนวนมากที่เดินทางเข้ามาเชียร์นักกีฬาของชาติตัวเองด้วย
ดร.ก้องศักด กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในส่วนของการเข้าชมกีฬาของชาวไทยมีความคึกคักและตื่นตัวเป็นอย่างมาก โดยสถิติกองเชียร์ที่เดินทางไปชมที่สนามแข่งขัน ตัวเลขสะสมจากที่ลงทะเบียนในระบบและวอล์คอินเข้าสนามต่าง ๆ จนถึงวันที่ 18 ธันวาคม 2568 มีเกือบ 400,000 คนแล้ว และคาดว่าเมื่อจบการแข่งขันตัวเลขจำนวนผู้ชมเข้าสนามจะเพิ่มมากขึ้นกว่านี้อีก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ในหลวง'พระราชทานเหรียญรางวัลกีฬาเรือใบ 'พระราชินี'ทรงรับเหรียญทองประวัติศาสตร์ ซีเกมส์ครั้งที่33
วันที่ 18 ธ.ค. เวลา 12.45 น. สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี และทีมเรือใบ (SSL 47) ทีมชาติไทย เริ่มการแข่งขันเรือใบในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568 รอบชิงชนะเลิศ ร่วมกับร่วมกับนักกีฬาจาก 4 ชาติ ที่เข้าร่วมการแข่งขัน ได้แก่ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และเมียนมา

