
30ก.ค.2568 - น.ส.นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว นักเขียนสารคดีชื่อดัง บุตรสาวอาจารย์ล้อม เพ็งแก้ว ปราชญ์เมืองเพชร ผู้เชี่ยวชาญทางภาษา วรรณคดี ประวัติศาสตร์ และภูมิปัญญาไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ #พ่อล้อมเล่าเรื่องปราสาทหินเขมรกับการหลุดพ้นจากแรงงานทาส มีเนื้อหาดังนี้
.
ในปีพ.ศ.๒๕๔๔ หรือประมาณ ๒๔ ปีที่แล้ว พ่อล้อม เพ็งแก้ว ได้เดินทางไปประเทศกัมพูชา และเขียนงานสารคดีเที่ยวชมปราสาทหินเอาไว้ งานชุดนี้ของพ่อล้อมได้รวมเล่มเป็นพ็อคเก็ตบุค ร่วมกับงานเขียนเรื่องเมืองเขมรของดิฉัน ชื่อปก #เที่ยวชมปราสาทหินยลถิ่นกัมพูชา
.
มาวันนี้สงครามระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา ได้เกิดขึ้นอย่างรุนแรง ให้สลดใจในความวิบัตินี้อย่างยิ่ง ดิฉันพลิกดูงานเก่าเรื่องกัมพูชา ที่พ่อล้อมเขียนไว้ มีหลายประเด็นน่าสนใจ จึงคัดลอกมาแบ่งปันให้ได้อ่านกันในวันนี้
.
ดังที่พ่อล้อมเล่าถึงปราสาทพระขรรค์ไว้ว่า
.
ตามประวัติว่าพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ได้ปราบปรามทำลายอาณาจักรของจามลงได้อย่างราบคาบ อาณาจักรจามนั้นถือเป็นศัตรูคู่แค้นของขอมในสมัยโบราณ ปราสาทพระขรรค์จึงเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งในตอนหลัง ประชาชนชาวจามหันมานับถือศาสนาอิสลาม และยังกระจัดกระจายอยู่ในเวียดนาม เขมร และไทย ที่เราเรียกกันว่าแขกครัว
.
ชัยวรมันที่ ๗ เป็นมหาราชองค์สุดท้ายแห่งอาณาจักรเขมรโบราณ ถือเป็นกษัตริย์ที่ใช้หินเปลืองที่สุดในบรรดามหาราชของอาณาจักรขอม ทั้งนี้เพราะมีการสร้างปราสาทหินมากมาย และมีการสร้างศาลาที่พักรายทางนับร้อยแห่ง ตามแนวถนนจากพระนครหลวงถึงเมืองพิมาย ปราสาทพระขรรค์เป็นเสมือนพุทธสถาน และในปราสาทองค์ประธาน ได้สร้างเป็นพระเจดีย์ทรงลังกาบรรจุพระอัฐิพระราชบิดาของพระองค์ คือพระเจ้าธรณินทรวรมันที่ ๒ จึงกลายเป็นหลักฐานสำคัญว่า พุทธศาสนาจากลังกาได้เข้าไปเผยแผ่ในอาณาจักรขอมแล้วระหว่างรัชกาลของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ (พ.ศ.๑๗๒๔-๖๓) ก่อนกรุงสุโขทัยของไทย นั่นคือลังกากับขอมมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น
.
ดีไม่ดี แม่ของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ อาจเป็นราชนารีจากลังกาก็ได้
.
อนึ่ง ที่ลังกา ยุคร่วมสมัยกับพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ มีการค้นพบซากวัดโปตคุลวิหารที่มีรูปแบบสถาปัตย์เขมร และมีเพียงแห่งเดียวในลังกา และตามประวัติว่าวัดดังกล่าวนั้นเริ่มมีการก่อสร้างในสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุ (พ.ศ.๑๖๙๖-๑๗๒๙) และเมื่อพระองค์สวรรคตแล้ว พระมเหสีทั้งสองของพระองค์ได้สร้างต่อจนสำเร็จ เชื่อกันว่าพระมเหสีที่กล่าวถึงนี้ เป็นราชนารีจากอาณาจักรขอม
.
ตามหลักฐานทางโบราณคดี สถาปัตย์แบบลังกาไม่นิยมสร้างในลักษณะสมมาตรหรือคู่ขนานซ้ายขวา แต่จะกำหนดแผนผังตามธรรมชาติ ส่วนสถาปัตย์เขมรนั้นเป็นสี่เหลี่ยมและมีสมมาตรอย่างเคร่งครัด ฉะนั้นการมีสถาปัตย์แบบเขมรเพียงแห่งเดียวในลังกา และมีเจดีย์ลังกาเป็นประธานในปราสาทเขมร จึงเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงถึงความสัมพันธ์ของรัฐในเอเชียใต้ช่วงนั้น
.
ธรรมเนียมการส่งราชนารีไปเป็นใหญ่ในต่างอาณาจักร ก็มีตัวอย่างอยู่แม้ในสมัยหลัง ดังเช่นกษัตริย์ขอมส่งลูกสาวให้อภิเษกกับพ่อขุนผาเมืองครั้งสุโขทัย ส่งให้เจ้าฟ้างุ้มแห่งล้านช้าง จนแม้อาณาจักรอยุธยาส่งพระสุพรรณกัลยาให้พม่า ส่งพระแก้วฟ้าให้พระเจ้าไชยเชษฐา ก็เป็นหลักฐานพยานอยู่ ซึ่งแสดงถึงวิถีแห่งการครองอำนาจในสมัยก่อน ดังนั้นการที่พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ หันมาถือพุทธ บรรพชนทางฝ่ายพระมารดาจึงน่าจะมีส่วนอยู่มาก
.
บัดนี้ปราสาทพระขรรค์ยังรกเรื้อ เราจึงสามารถชมได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ไม่มีใครกล้าซอกแซกออกนอกเส้นทาง #เพราะยังไม่มีใครรับรองว่าทางการได้เก็บกู้กับระเบิดออกหมดแล้ว #เพราะในสมัยสงครามบรรดาปราสาทหินเป็นที่ตั้งของกองกำลังที่สู้รบกัน ความอยากชมปราสาทอย่างละเอียดจึงย่อมมีน้อยกว่าความกลัวกับระเบิดเป็นธรรมดา
.
ครับ ชีวิตใครใครก็รัก #ยิ่งชิ้นส่วนแขนขาก็ยังต้องการความถนอมไม่ใช่หรือ
.
เกือบจะทุกแห่งทุกที่ที่มีที่ว่าง ช่างเขมรแต่ก่อนจะต้องแกะสลักภาพไว้เสมอ ที่ปราสาทนี้ก็เช่นกัน มีทั้งภาพอัปสร ภาพพระพุทธรูปอยู่มากมาย ดังเช่นทับหลังประตู ที่มักนิยมแกะเป็นเรื่องราวในคติฮินดู แต่ที่นี่แกะเป็น
อัปสรเริงระบำ มีท่วงท่าเคลื่อนไหวอย่างงดงาม ก็ตามแบบยอดนิยมของขอมเขานั่นแหละครับ
.
ไม่ต้องสงสัย ที่เห็นซุ้มเบื้องบนว่างอยู่ เพราะซุ้มเหล่านั้นเคยมีพระพุทธรูปอยู่ทุกซุ้ม แต่ถูกทำลายไปเสียในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๘ ที่หันกลับไปนับถือฮินดู และเกิดความขัดแย้งแย่งชิงอำนาจกันอย่างขนานใหญ่ ชักจูงเอากองทัพไทยเข้าไปจัดการให้สงบราบคาบ ตามที่ปรากฏเรื่องราวอยู่ในพระราชพงศาวดาร
.
การเข้าไปของกองทัพไทยนี้ แม้หลายคนจะกล่าวเป็นทำนองว่า ได้ทำให้นครหลวงของเขมรร้างเป็นป่ารก แต่มีนักปราชญ์ที่มีใจสูงคือศาสตราจารย์หลุยส์ ฟิโนต์ ได้กล่าวไว้ในปาฐกถา (พ.ศ.๒๔๕๑) มีความตอนหนึ่งว่า
.
“ไม่มีหลักฐานว่าประชาชนเหล่านี้ต่อต้านการรุกรานด้วยความเข้มแข็ง บางทีพวกเขาอาจจะเห็นด้วยซ้ำไปว่า การสงครามเป็นเสมือนความหลุดพ้น...หลังจากถูกปกครองเป็นเวลาหลายศตวรรษด้วยระบอบนี้ ประชาชนที่ต้องทำงานหนักมาตลอด ต้องล้มตายลง และเหนื่อยล้าเพียงไร แน่นอนพวกเขาย่อมไม่พยายามที่จะปกป้องบรรดาเทพเจ้าที่โลภมากทั้งหลาย รวมทั้งผู้คุมทาสต่าง ๆ และผู้เก็บภาษี ด้วยความรู้สึกที่พึงพอใจนัก
.
ดังนั้นผู้พิชิตในอีกแง่หนึ่ง จึงเป็นเสมือนผู้ที่ให้สิ่งตอบแทนที่มีคุณค่าอย่างยิ่งแก่ผู้พ่ายแพ้ คือศาสนาที่มีความอ่อนโยน และมีหลักธรรมที่มีความสมถะ จึงเป็นสิ่งเหมาะสมแก่หมู่ประชาชนที่กำลังอ่อนล้าและหมดกำลังใจ”
.
นี้น่าจะเป็นคำตอบในตัวเอง ว่าเหตุใดชาวเขมรจึงยอมรับพุทธศาสนาหินยาน ละทิ้งภาระแห่งความรุ่งโรจน์ อนุสรณ์แห่งน้ำตาในอดีต ปล่อยให้รกร้างไปตามวิถีโลก
คือ สัพเพ สังขารา อนิจจา ปล่อยวางเสียได้เป็นความสุข
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'นักเขียนสารคดี' เปิดสมุดตำราโบราณ ทำนาย 'พระอาทิตย์ทรงกลด-รุ้งกินน้ำ ' เหนือม็อบพลังแผ่นดิน
น.ส.นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว นักเขียนสารคดีชื่อดัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ บททำนายรุ้งกินน้ำในสมุดตำราดาว มีเนื้อหาดังนี้ .


