
เมื่อถามความเห็นเกี่ยวกับอนาคตของตนเองในประเทศนี้ พวกเขากลับตอบว่า มองไม่เห็นอนาคตของตนเอง ทำให้เรากังวลอย่างมาก และคิดว่าควรเป็นข้อกังวลที่สำคัญของผู้นำในประเทศไทยเช่นกัน
25 เม.ย.2566- หลังจากได้นำเสนอประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนจำนวนมาก ในระหว่างการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก แอกเนส คาลามาร์ด เลขาธิการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า การเดินทางมาเยือนประเทศไทยของดิฉัน เกิดขึ้นในช่วงที่กำลังจะมีการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับรัฐบาลชุดใหม่ที่จะพัฒนาสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ดิฉันประทับใจที่มีผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคการเมืองหลัก ๆ หลายพรรค ได้เข้าร่วมในเวทีวาระสิทธิมนุษยชนกับการเลือกตั้ง โดยร่วมดีเบตในหัวข้อ “วาทะผู้นำ วาระสิทธิมุษยชน” ซึ่งจัดขึ้นโดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย และองค์กรภาคประชาสังคม เมื่อวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นก้าวย่างที่สำคัญสำหรับผู้นำทางการเมือง และหวังว่าจะช่วยให้เกิดการทบทวนถึงพันธกิจร่วมกันเพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
“ในการมาเยือนประเทศไทย เราได้เข้าพบและประชุมกับหน่วยงานภาครัฐ องค์กรภาคประชาสังคม และผู้รอดชีวิตจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ ยังได้ประชุมกับเพื่อนร่วมงานที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย และสำนักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก ทำให้ได้เห็นการทำงานที่น่าเหลือเชื่อของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักกิจกรรมรุ่นใหม่ผู้กล้าหาญ และรู้สึกได้รับแรงบันดาลใจจากการยืนหยัดและความมุ่งมั่นของพวกเขาในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและความเท่าเทียมเป็นอย่างมาก
“สิ่งสำคัญในการเดินทางมาครั้งนี้คือการได้พบกับเด็กและเยาวชนที่มีส่วนร่วมในการชุมนุมประท้วง พวกเขาเชื่อมั่นในประเทศไทย และต้องการสร้างประเทศที่แข็งแรงและเป็นธรรม แต่เมื่อถามความเห็นเกี่ยวกับอนาคตของตนเองในประเทศนี้ พวกเขากลับตอบว่า มองไม่เห็นอนาคตของตนเอง ทำให้เรากังวลอย่างมาก และคิดว่าควรเป็นข้อกังวลที่สำคัญของผู้นำในประเทศไทยเช่นกัน เด็กและเยาวชนจำนวนมากรู้สึกเช่นนี้ เพราะพวกเขาถูกปราบปราม ทั้งยังมีความไม่เท่าเทียม การทุจริต และความอยุติธรรม พวกเขาจึงมองไม่เห็นอนาคตของตนเองที่นี่ ดังนั้นสถานการณ์เช่นนี้จะต้องถูกเปลี่ยนแปลง
“เด็กและเยาวชนหลายร้อยคน รวมทั้งนักกิจกรรมทางการเมืองและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ถูกดำเนินคดีอาญาในประเทศไทย เพียงเพราะการใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงโดยสงบ เสรีภาพของหลายคนถูกพรากไป และอาจมีประวัติอาชญากรติดตัว รวมถึงเด็กวัย 15 ปี ซึ่งถูกควบคุมตัวในสถานพินิจเด็กและเยาวชนเป็นเวลาหลายสัปดาห์แล้ว”
“เด็กและเยาวชนมีบทบาทสำคัญต่อสังคม เราได้ให้ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลไทยในการยุติการข่มขู่เด็กผู้ชุมนุมประท้วง และยุติการสอดแนมข้อมูลของพวกเขา รวมถึงต้องยุติการดำเนินคดีต่อเด็กผู้ชุมนุมประท้วงโดยสงบ และให้แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายและนโยบาย ซึ่งเป็นอุปสรรคที่ทำให้เด็กไม่สามารถเข้าถึงสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงโดยสงบได้อย่างเต็มที่
“เรายังได้แสดงข้อกังวลด้านสิทธิมนุษยชนอีกหลายประการระหว่างการเดินทางมาครั้งนี้ รวมทั้งการที่เจ้าหน้าที่ใช้กำลังเกินกว่าเหตุระหว่างการชุมนุมประท้วง และการควบคุมตัวผู้ชุมนุมประท้วงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนโดยพลการ เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลไทยประกาศใช้กฎหมายป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย แต่ก็น่าเสียใจที่มีมติให้ชะลอการบังคับใช้กฎหมายนี้ไปจนถึงเดือนตุลาคม เราไม่อาจอ้างปัญหาทางเทคนิคเพื่อชะลอการดำเนินงานตามพันธกิจเช่นนี้ได้ กฎหมายต้องถูกบังคับใช้โดยไม่ล่าช้า เรายังได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของผู้อพยพ ผู้ลี้ภัย และผู้ขอลี้ภัย โดยเฉพาะผู้ที่มาจากประเทศเมียนมา
“พลเมืองชาวเมียนมาซึ่งหลบหนีข้ามพรมแดน ต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวว่าจะถูกส่งกลับหรือถูกลักพาตัว หลายคนหลบหนีจากบ้านเกิดของตนเองภายหลังการทำรัฐประหารในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 เพื่อให้ตัวเองปลอดภัยจากการถูกปราบปรามอย่างรุนแรงต่อผู้ชุมนุมประท้วงโดยกองทัพเมียนมา ทางการไทยต้องปฏิบัติตามหลักการไม่ส่งกลับ และต้องไม่ส่งกลับพลเมืองชาวเมียนมาไปยังประเทศใด หากมีความเสี่ยงว่าพวกเขาอาจถูกควบคุมตัวโดยพลการ ถูกทรมาน หรืออาจได้รับโทษประหารชีวิตตามคำสั่งของกองทัพเมียนมา
“ประเทศไทยมีประวัติมายาวนานในการรองรับ และให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกับผู้ลี้ภัยในภูมิภาค และต้องทำเช่นนั้นต่อไป เราขอเรียกร้องให้ทางการไทยประกาศพันธกิจที่จะให้การสนับสนุนที่จำเป็นอย่างยิ่ง ต่อบุคคลที่หลบหนีจากการปราบปรามทั่วทั้งภูมิภาค รวมทั้งที่มาจากเมียนมา เวียดนาม กัมพูชา และลาว ประเทศไทยสามารถและควรเป็นต้นแบบของผู้นำด้านสิทธิมนุษยชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิภาคอื่น
“แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลขอขอบคุณกระทรวงยุติธรรม กระทรวงการต่างประเทศ และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่ยินดีพูดคุยในประเด็นสิทธิมนุษยชนที่สำคัญร่วมกับเราในระหว่างการเดินทางมาครั้งนี้ และต้องขอบคุณภาคประชาสังคม เด็กและเยาวชนผู้ชุมนุมประท้วงในประเทศไทย รวมทั้งองค์การสหประชาชาติและตัวแทนสถานทูต ซึ่งสละเวลามาพบกับเรา และขอขอบคุณทีมงานผู้ทุ่มเทและทำงานอย่างหนักจากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย และสำนักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก
“แม้ดิฉันได้เดินทางออกจากประเทศไทยแล้ว แต่พันธกิจที่มีต่อสิทธิมนุษยชนของเรายังอยู่ในประเทศนี้ และอยู่ในภูมิภาคนี้อย่างเข้มแข็ง เราต้องทำงานร่วมกันเพื่อสร้างโลกซึ่งให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนเป็นลำดับแรก ไม่ใช่เป็นเพียงประเด็นรองอีกต่อไป”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ปชป. ปลื้ม! คนรุ่นใหม่-โปรไฟล์ดี แห่สมัครชิงสส. 7 วัน ทะลุ 300
สมัครล้นหลาม! 'โฆษกปชป.' เผยยอดผู้เสนอตัวลง สส. ทั่วประเทศ 7 วัน ทะลุ 300 คน 'คนรุ่นใหม่-โปรไฟล์ดี' แห่เข้าพรรคคึกคัก สัญญาณดีในกรุงเทพฯ 90 คน ชิง 33 เขต เปิดรับถึง 30 พ.ย.
ปชป. เปิดแผน 3 นโยบายหลัก 'เศรษฐกิจ-สู้สแกมเมอร์-บุกเวทีโลก'
'กรณ์' หัวโต๊ะ เคาะแผน 3 นโยบายหลัก 'เศรษฐกิจ-สู้สแกมเมอร์-เวทีโลก' ชูคนรุ่นใหม่ 'เนเน่ – ดร.อ้อ – อาร์ท' นำทีมขับเคลื่อนประเทศทันที
เปิดถ้วยให้แทง! 'นิพิฏฐ์' หนุน 'มาร์ค' คัมแบ็คฟื้นฟูปชป. เลือกผิดพรรคล่มสลายนิรันดร์
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความว่าสนับสนุน คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ตีปี๊บ 'กรุงเทพฯ' ครองใจ Gen Z ทั่วโลก
'กรุงเทพฯ' ครองใจ Gen Z ทั่วโลก อันดับ 1 เมืองน่าอยู่ สะท้อนเสน่ห์ ความคึกคัก และโอกาสหลากหลายของไทย
'ศิลปินมรดกอีสาน' รำพึง กว่าจะเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมล้าหลัง ใช้เวลากว่า 30 ปี ต้องเป็นเสรีนิยมก้าวหน้าก่อน
นายวีระ สุดสังข์ หรือ "ฟอน ฝ้าฟาง" ศิลปินมรดกอีสาน ปี 2558 อดีตครูสอนภาษาไทย นักเขียนอิสระ ผู้ก่อตั้งกลุ่มวรรณกรรมลำน้ำมูลและสโมสรนักเขียนภาคอีสาน โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า

