(ภาพจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม)
6 ปี กับการต่อสู้ของครอบครัว 'ชัยภูมิ ป่าแส' ไม่สูญเปล่า สุดท้ายแล้วความยุติธรรมที่รอคอยก็มาถึง เมื่อศาลฎีกาสั่งกองทัพบกจ่ายเงิน 2 ล้านกว่า ให้กับครอบครัวฯ เผยจำเลยมีข้อพิรุธเพียบ
17 พ.ย.2566 - มูลนิธิผสานวัฒนธรรม แจ้งข่าวว่า เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 16 พ.ย.2566 ทีมทนายความจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จาก Protection International (PI) และกลุ่มดินสอสี ได้เดินทางเข้าฟังคำพิพากษาของศาลฎีกา ณ.ศาลแพ่ง(ถนนรัชดาภิเษก) ในคดีที่ มารดาของ นายชัยภูมิ ป่าแส เยาวชนนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ชาติพันธุ์ลาหู่ ที่ถูกฆาตกรรมโดยเจ้าหน้าที่ทหาร ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากกองทัพบก
คดีนี้สืบเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2560 เจ้าหน้าที่ทหารซึ่งประจำอยู่ที่ด่านตรวจบ้านรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ได้ตรวจค้นรถยนต์นายชัยภูมิ ป่าแส ที่ขับมาพร้อมเพื่อนอีกหนึ่งคน เมื่อผ่านด่านตรวจดังกล่าว นายชัยภูมิ ชัยภูมิ ป่าแสได้ถูกเจ้าหน้าที่ทหารประจำด่านตรวจค้นแล้วใช้อาวุธปืนยิงจนเสียชีวิตโดยเจ้าหน้าที่อ้างว่านายชัยภูมิขัดขืนและพยายามทำร้ายเจ้าหน้าที่จึงจำเป็นต้องใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง
ต่อมานางนาปอย ป่าแส มารดาของนายชัยภูมิ ป่าแส โดยขอความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายต่อมูลนิธิผสานวัฒนธรรม(CrCF) สมาคมนักฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส) และ Protection Internationl (PI) แต่งตั้งทนายความเป็นโจทก์ ฟ้องกองทัพบก เป็นจำเลย เพื่อเรียกค่าเสียหายตามพระราชบัญญัติความผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 เมื่อปี 2562 ที่ผ่านมาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายกฟ้อง โดยเห็นว่า เจ้าหน้าที่ทหารกระทำไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว มารดาของนายชัยภูมิ ป่าแส จึงได้ฎีกา โดยศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรรับไว้วินิจฉัย จึงมีคำสั่งรับฎีกาไว้พิจารณา และได้มีคำพิพากษาในวันนี้สั่งให้กองทัพบกชดใช้ค่าเสียหายให้กับมารดาของนายชัยภูมิ ป่าแส เป็นเงินจำนวน 2,072,400 บาท พร้อมดอกเบี้ย หลังจากที่ครอบครัวของชัยภูมิ ป่าแสได้ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมมานานกว่า 6 ปี
โดยในคำพิพากษาระบุว่า ศาลฎีกาได้ตรวจพิเคราะห์พยานหลักฐานของจําเลยโดยตลอดแล้ว พบว่าพยานหลักฐานของ จําเลยมีข้อพิรุธหลายประการ กล่าวคือ
ประการแรก เกี่ยวกับเหตุการณ์สําคัญก่อนเกิดเหตุ ข้อเท็จจริงแห่งคดีได้ความว่า ก่อนที่จะตรวจค้นพบยาเสพติดซุกซ่อนอยู่ที่หม้อกรองอากาศ และไส้กรองอากาศภายในกระโปรงหน้ารถ จ่าสิบโทณัฐพลกับพวกได้ทําการตรวจค้นรถยนต์ของผู้ตายอย่างละเอียดโดยเปิดประตูรถทั้งสี่บานและฝากระโปรงท้าย แต่ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย หากมีเหตุการณ์ว่าผู้ตายได้หยิบมีดพร้า และวัตถุระเบิดไปจากห้องสัมภาระท้ายรถจริงเหตุใด จ่าสิบโทณัฐพลกับพวกจึงตรวจค้นไม่พบสิ่งของดังกล่าวตามที่กล่าวอ้างมา นอกจากนี้พลอาสาสมัครอมรเทพเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า ตัวของพลอาสาสมัครอมรเทพแย่งมีดพร้าจากผู้ตายที่ห้องเก็บสัมภาระท้ายรถส่วนพลทหารสุรศักดิ์เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่าพลอาสาสมัครอมรเทพควบคุมตัวผู้ตายและแย่งมีดพร้ากับผู้ตายอยู่ที่ท้ายรถด้านนอกตัวรถไม่ใช่ภายในห้องเก็บสัมภาระท้ายรถ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่แตกต่างกัน อีกทั้งเมื่อพิจารณาตาม บันทึกคําให้การในชั้นสอบสวนของนาย ก.(นามสมมุติ) แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่ได้ไปหยิบวัตถุระเบิดจากห้องสัมภาระท้ายรถตามที่จําเลยกล่าวอ้าง คําพยานจําเลยในเรื่องนี้ จึงขาดน้ำหนักความน่าเชื่อถือ
ประการที่สอง เมื่อพิจารณาเกี่ยวกับวัตถุระเบิดของกลาง ระบุว่า ตรวจพบดีเอ็นเอของบุคคลมากกว่าหนึ่งคน ซึ่งมีดีเอ็นเอของผู้ตายด้วยที่ตัวระเบิด ส่วนที่บริเวณด้ามจับวัตถุระเบิดพบดีเอ็นเอของบุคคลมีปริมาณน้อยไม่สามารถใช้ตรวจเปรียบเทียบหรือยืนยันตัวบุคคลได้ แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากผู้เชี่ยวชาญด้านตรวจ และเก็บวัตถุระเบิดของสํานักงานศาลยุติธรรม ซึ่งเป็นพยานฝ่ายโจทก์ และได้ความจากพนักงานสอบสวนว่า วัตถุระเบิด ของกลางยังไม่ถูกใช้งาน ทําให้มีข้อน่าสงสัยอย่างมากว่า หากผู้ตายถือวัตถุระเบิดของกลางวิ่งหนีเป็นระยะทางถึง ๕๐ เมตรดังที่จําเลยกล่าวอ้างก็น่าจะมีลายนิ้วมือ และดีเอ็นเอของผู้ตายติดอยู่ที่ด้าม ระเบิดในปริมาณมากพอที่จะตรวจพบได้ และหากผู้ตายทําท่าจะขว้าง วัตถุระเบิดของกลางใส่พลทหารสุรศักดิ์ตามที่จําเลยกล่าวอ้าง ผู้ตายก็น่าที่จะต้องเปิดฝาเกลียว ออกและใช้นิ้วมือคล้องห่วงเหล็กเพื่อใช้งาน คําพยานจําเลยเกี่ยวกับเหตุการณ์ตอนนี้จึงขัดต่อ เหตุผลธรรมดาของเรื่องราวที่กล่าวอ้าง
ประการที่สาม พลทหารสุรศักดิ์เบิกความตอบคําถามค้าน ของทนายโจทก์ว่า หลังเกิดเหตุพยานพบระเบิดของกลางตกอยู่ห่างตัวผู้ตายประมาณ 10 ถึง 20 เซนติเมตร ส่วนจ่าสิบโทณัฐพลซึ่งขับรถจักรยานยนต์ตามไปที่จุดเกิดเหตุเบิกความ ตอบคําถามค้านของทนายโจทก์ว่า พยานเห็นระเบิดอยู่ที่มือขวาของผู้ตาย พยานจําเลย ทั้งสองปากนี้เห็นเหตุการณ์ในเวลาใกล้เคียงกัน แต่เบิกความในข้อสาระสําคัญที่แตกต่างกัน จึงเป็นข้อพิรุธอีกประการหนึ่ง
ประการที่สี่ ข้อเท็จจริงได้ความจากพนักงานสอบสวนว่า ในบริเวณสถานที่เกิดเหตุมีกล้องวงจรปิด 9 ตัว ใช้การได้ 5 ตัว พยานตรวจสอบในวันเกิดเหตุพบว่ากล้องบันทึกภาพเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุไว้ได้ ในชั้นสอบสวนพยานขอให้เจ้าหน้าที่ทหาร ส่งภาพบันทึก เหตุการณ์ในจุดเกิดเหตุ แต่เจ้าหน้าที่ทหารไม่ส่งให้ ต่อมาเดือนเมษายน 2560 เจ้าหน้าที่ทหารส่งเครื่องบันทึกข้อมูลภาพกล้องวงจรปิดไปให้ พยานซึ่งได้ถูกส่งไปตรวจพิสูจน์ปรากฏว่า เครื่องบันทึกภาพตั้งค่าวันเวลาเป็นปัจจุบัน พบแฟ้มข้อมูลภาพที่บันทึกเหตุการณ์ระหว่าง วันที่ 20 มีนาคม 2560 ถึงวันที่ 25 มีนาคม 2560 ไม่พบภาพเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ แต่พบประวัติการทําสําเนาแฟ้มข้อมูลบันทึกภาพเหตุการณ์ดังกล่าวเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2560 การกระทำดังกล่าวทําให้น่าสงสัยว่ามีการปิดบังข้อเท็จจริงบางอย่างหรือไม่
ส่วนพยานโจทก์ปากมีนาย ข. (นามสมุติ)นั้นแม้นาย ข.ไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็ตาม แต่นาย ข. เบิกความว่า เห็นเหตุการณ์ตอนที่ผู้ตายวิ่งหนีไปผู้ตายไม่ได้หยิบสิ่งของใดจากภายในกระโปรงท้ายรถไปซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวสอดคล้องกับพยานแวดล้อมกรณีในเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากกว่า คําพยานจําเลย ทั้งนี้ไม่ปรากฏว่านาย ข. มีส่วนได้เสียกับฝ่ายใด อีกทั้งหลังเกิดเหตุ พยานโจทก์ปากนี้ได้ให้สัมภาษณ์ต่อนักข่าวในทันที ตามบันทึกภาพเคลื่อนไหวพยานวัตถุทําให้น่าเชื่อว่าพยานโจทก์ปากนี้เบิกความไปตามความเป็นจริงที่ได้รู้เห็นมา ดังนั้น พยานหลักฐานของจําเลยไม่มีน้ำหนักมากเพียงพอที่ศาลฎีกา จะเชื่อถือได้มากกว่าพยานหลักฐานของโจทก์
หลังจากตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้วนั้น ศาลฎีกาจึงได้พิพากษากลับ ให้จําเลยชําระเงิน 2,072,400บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 มีนาคม 2560 ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ที่ปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ ๒ ต่อปี ตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง แต่ต้องไม่เกินร้อยละ7.5 ต่อปี ตามคําขอของโจทก์ ไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ คําขออื่นนอกจากนี้ให้ยกและให้จําเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลในนามของโจทก์ โดยกําหนดค่าทนายความให้ 50,000 บาท
นี่เป็นหนึ่งในความในความสำเร็จและความยุติธรรมที่ครอบครัวของชัยภูมิ ป่าแส รอคอย มูลนิธิผสานวัฒนธรรม จึงอยากเชิญชวนสื่อมวลชนและประชาชนที่สนใจในคดีนี้ ร่วมส่งกำลังใจให้กับครอบครัวของนายชัยภูมิ ป่าแส รวมถึงครอบครัวอื่นๆที่อาจจะเผชิญเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันและยังอยู่ในการต่อสู้เรียกร้องหาความเป็นธรรม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ทบ.โต้กัมพูชาบิดเบือน ยันกระสุนคลัสเตอร์มีเป้าหมายทหาร ไม่ใช่ทุ่นระเบิดสังหารพลเรือน
พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงกรณีกระทรวงสารสนเทศกัมพูชา ได้เผยแพร่ภาพวัตถุระเบิด และถ้อยแถลงของ นายลี ทุจ รองผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดกัมพูชา CMAA โดยกล่าวอ้างว่า ไทยมีการใช้กระสุนปืนใหญ่แบบกระสุนคลัสเตอร์ M-46 ในหลายประเด็นดังนี้
กองทัพภาค 2 แจงเฮลิคอปเตอร์ลงจอดฉุกเฉินที่สุรินทร์ ทหารบาดเจ็บ 4 นาย
อากาศยานเฮลิคอปเตอร์แบบ ฮ.ท.212 ของกองทัพบก ได้ประสบเหตุจำเป็นต้องลงฉุกเฉิน ขณะปฏิบัติการร่อนลง ณ สนามบินสุรินทร์ภักดี จังหวัดสุรินทร์ ส่งผลให้กำลังพลประจำอากาศยาน
บันลือโลก! กองกำลังบูรพา ทำลายอาคารฝั่งปอยเปต แหล่งซ่องสุม สแกมเมอร์-พลซุ่มยิง (ชมคลิป)
ทบ. เผยชายแดน จ.สระแก้ว ฝ่ายไทยปฏิบัติการเข้มข้น เผยกัมพูชาโจมตีใส่บ้านเรือน อ.โคกสูง กกล.บูรพา ทำลายอาคาร 2 หลังฝั่งปอยเปต หลังพิสูจน์ทราบเป็นที่ตั้งเครือข่ายสแกมเมอร์-เขมรตั้งพลซุ่มยิง
คืนอธิปไตยสู่มาตุภูมิ! 'แม่ทัพกุ้ง' ผู้แทน ผบ.ทบ. ตรวจแนวรบปราสาทตาควาย-เนิน 350
พลโท บุญสิน พาดกลาง ผู้แทนผู้บัญชาการทหารบก ลงพื้นที่ตรวจแนวหน้าการสู้รบ ณ ปราสาทตาควาย และบริเวณ เนิน 350 ในพื้นที่อำเภอ พนมดงรัก จังหวัด สุรินทร์ เพื่อตรวจสภาพพื้นที่จริง หลังถูกใช้เป็นฐานที่มั่นของฝ่ายตรงข้าม พร้อมติดตามผลการปฏิบัติการที่กองกำลังไทยสามารถผลักดันผู้รุกรานและยึดคืนพื้นที่อธิปไตยได้อย่างสมบูรณ์
กองทัพบกประณามกัมพูชา ใช้กำลังโจมตีพลเรือนชายแดน
โฆษกกองทัพบกระบุ การโจมตีชุมชนและบ้านเรือนประชาชนใกล้แนวชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นการใช้กำลังไม่เลือกเป้าหมาย ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรม ส่งผลกระทบรุนแรงต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนไทยจำนวนมาก
'หลิว จงอี้' พบกองทัพบก จีนชี้รัฐบาลกัมพูชาเอี่ยวขบวนการ 'สแกมเมอร์' หลายมิติ
หลิว จงอี้ ร่วมหารือกองทัพบก ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาไซเบอร์สแกม เผยรัฐบาลกัมพูชามีความเชื่อมโยงและมีผลประโยชน์ร่วมกับขบวนการสแกมเมอร์ในหลายมิติ

