ภาคปชช.พบฮั้วเลือก สว.ทั่วปท. ชี้พรรคการเมืองใหญ่ ‘ใช้เงิน-อำนาจ’ หวังยึดสภาบน

23 มิ.ย.2567-ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ถ.ราชดำเนิน กรุงเทพฯ คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป,) และเครือข่ายภาคประชาชน ได้จัดเวทีแถลงข่าวข้อสังเกตการณ์เลือก สว. 67 ในหัวข้อ “วุฒิสภา-ประชามติ-รัฐธรรมนูญ” นำแถลงโดย นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. นายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอรัปชัน และนายเมธา มาสขาว ที่ปรึกษาและรักษาการเลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ร่วมด้วยผู้สมัคร สว.กลุ่มต่างๆ ในระดับจังหวัด

นายเมธากล่าวว่า ประเด็นที่ 1 หลักการได้มาของ สว.ตามรัฐธรรมนูญ 60 กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญและระเบียบที่ กกต.ออกมาไม่สอดคล้องกัน และการเขียนให้ สว.เป็นผู้แทนกลุ่มสาขาอาชีพต่างๆ 20 กลุ่มไม่สามารถหาผู้แทนแต่ละกลุ่มได้อย่างชอบธรรมเพราะเป็นการเลือกไขว้จากสาขาอาชีพอื่น แม้ศาลพิจารณาประเด็นกฎหมายไม่ขัดแต่ระเบียบหลายข้อที่ กกต.ออกมานั้นไม่สอดคล้องกันอย่างชัดเจน ซึ่งกำลังมีการร้องเรียนกันอยู่

ประเด็นที่สอง การเลือก สว.ครั้งนี้ มีการฮั้วกันอย่างชัดเจน โดยกลุ่มแรกคือพรรคการเมืองใหญ่ทางเหนือ ส่งคนลงเพื่อเป็นประธานวุฒิสภา และให้ สส.ระดมกำลังส่งหัวคะแนนลงทุกกลุ่มทุกอำเภอ กลุ่มสองพรรคการเมืองใหญ่ทางอิสานก็ส่งหัวคะแนนลงแทบทุกอำเภอทุกจังหวัด ที่มี สส.อยู่ ซึ่งหลายคนมีประสบการณ์ไม่ตรงกับสาขาอาชีพที่ลง เป็นการส่งคนสมัครโดยขาดเจตจำนงและประสบการณ์ นอกจากนี้ยังพบกว่า กมีการจ่ายเงินให้ลงสมัคร ซึ่งหากต้องส่งคนลงทุกกลุ่มๆ ละ 3 คนๆ ละ 5,000 บาทก็จะใช้เงินเพียงแค่ 3 แสนบาท ถ้าจังหวัดหนึ่งมี 10 อำเภอก็ใช้เงินเพียง 3 ล้านบาทเท่านั้น รวมถึงมีการใช้กลไกมหาดไทย และ อสม.สนับสนุนการเลือก สว.ครั้งนี้ให้เป็นไปตามแผน ดังนั้น ตนเชื่อว่ามีการลงทุนทางการเมืองเพื่อให้ได้มาซึ่ง สว. กลุ่มที่สามคือพรรคทางใต้ มีข้อกล่าวหาว่ามีการพยายามลงทุนจังหวัดละ 8 ล้านบาท ส่วนกลุ่มที่สี่คือกลุ่มอำนาจเก่า และกลุ่มที่ห้าคือกลุ่มอิสระและภาคประชาชนในแต่ละสาขาอาชีพ ซึ่งส่วนใหญ่ถูกปัดตกเพราะไม่มีคะแนนจัดตั้ง

ประเด็นที่สาม ด้วยปัญหาที่กล่าวว่า ปัจจุบันจึงมีการฟ้องร้องดำเนินคดีจำนวนมาก ทั้งร้องต่อ กกต. ร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน และฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีการเลือกตั้ง ซึ่งเรื่องยังค้างอยู่เพื่อการพิจารณาหลายเคส และสะท้อนความหละหลวมของ กกต. ที่จัดการเลือกที่ขาดประสิทธิภาพ และสะท้อนให้เห็นข้อผิดพลาดของรัฐธรรมนูญ 60 อย่างชัดเจน

“อยากเรียกร้องให้ทุกพรรคการเมืองเร่งผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญ 60 ให้แล้วเสร็จเพื่อให้ได้ สสร.มาจากการเลือกตั้งเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะประเด็นเรื่อง สว.ได้สะท้อนกับดักอำนาจนิยมที่ถูกเขียนขึ้น และไม่สามารถแก้ปัญหาวัฎจักรการเมืองแบบเก่าได้ และไม่สามารถพัฒนาประชาธิปไตยต่อไปได้ นอกจากนี้การมีเรื่องร้องเรียนจำนวนมากอาจทำให้การเลือก สว.ครั้งนี้เป็นโมฆะได้”

ส่วนนายวีระ กล่าวว่า เจตนารมณ์การเลือก สว.ต้องสุจริต เที่ยงธรรม แต่ กกต.ไม่ได้ทำให้เกิดขึ้นจริงตามนั้น จนเหมือนการเลือก สว.ครั้งนี้ มีธงอยู่แล้วว่าจะจัดการอย่างไร และที่ผ่านมาหลายปีตนคิดว่าพรรคการเมืองเตรียมส่งผู้สมัคร สว. ทุกพรรค เพราะเงื่อนไขต่างๆ เอื้อประโยชน์ให้กับพรรคการเมืองและบ้านใหญ่ ที่ต้องใช้เงินในการส่งผู้สมัคร ดังนั้น โดยภาพรวมแก้ปัญหายากเพราะเขามีธงหมดแล้วและเตรียมการมานาน ผู้สมัครอิสระทั้งหลายจึงถูกหมายหัวและไม่ถูกเลือกเข้าสภาอย่างแน่นอน

ปัญหาที่ร้องเรียนได้มีเพียงแค่เรื่องคนที่มาลงขาดคุณสมบัติร้องได้ และปัญหาการทุจริตที่พบเห็นเป็นรายประเด็น แต่ภาพใหญ่ที่เราพบว่ามีการเตรียมพร้อมส่งคนลงนั้นก็แก้ปัญหายาก และภาคประชาชนเห็นภาพนี้มาตั้งนานแล้ว ขอฝากกกต.ด้วย อยากให้ประชาชนไปดูว่า กกต.ทำตามธงของใครหรือไม่ ตนเชื่อว่ามีธงแน่นอน ธงบอกว่าวันที่ 2 กรกฎาคมนี้ต้องจบ เพื่อยกเลิก สว.ชุดป่ารอยต่อ โดยการส่งอดีตนายกฯ ลดชั้นลงมาเพื่อสมัคร สว. เรื่องนี้ชัดเจน เพื่อกินรวบ สว.ชุดใหม่ทั้งหมด ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การปล่อยให้ตำรวจเลวทำหน้าที่อยู่เพื่อรักษาอำนาจและเพื่อรับใช้อำนาจรัฐบาล ดังนั้น เขาไม่ปล่อยให้พวกเราเข้าไปเป็น สว.เด็ดขาด แต่เราอย่าปล่อยให้ประเทศย่ำเท้าอยู่กับที่

ด้านสมชัย กล่าวว่า เวทีวันนี้เป็นเวทีแถลงข้อเท็จจริงที่ค้นพบระหว่างการเลือกตั้ง เสียดายที่ อ.มีชัย ไม่มาลงสมัครเลือก สว. จะได้รู้ปัญหาข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และไม่ตรงกับเจตนารมณ์ที่ท่านร่างมา ผมมีข้อเสนอ 10 ข้อ

 1.วัตถุประสงค์ให้มี สว.แบบนี้ เป็นผู้แทน สว.ตามสาขาอาชีพ 20 กลุ่ม แต่การแบ่งกลุ่ม ไม่ได้สะท้อนสัดส่วนประชากรในประเทศและความสำคัญของกลุ่มอาชีพอย่างแท้จริง

2.การกำหนดเงื่อนไขการรับสมัครอาชีพนั้น ทำโดยระเบียบ กกต.ทำไปโดยอนุโลมและหละหลวม จนเกิดปัญหาในปัจจุบัน เพราะมีการลงสมัครไม่ตรงตามสาขาอาชีพจำนวนมาก และผ่านการเลือกตั้งไป 2 รอบแล้ว บางคนขาดคุณสมบัติมีการตรวจสอบและตกไปแต่ กกต.ยังไม่มีมาตรการเยียวยาการถูกตัดสิทธิ์ดังกล่าว เพราะเสียโอกาสไปแล้ว

3.มีการจ้างคนมาสมัคร เกณฑ์คนมาสมัคร ทุกกลุ่มทั้งระดับอำเภอ และระดับจังหวัด มีการขนคน มีคนเห็นกันทั้งประเทศ แต่ กกต.ไม่เห็น 

4.การเลือกในรอบกลุ่มอาชีพเห็นชัดเจนว่ามีการล็อคสเป็คเพื่อเข้ารอบไปในระดับอำเภอ และระดับจังหวัด ในรอบนี้ฮั้วกันได้ ใช้เงินได้ นี่คือปัญหา วันนี้ สว.เลวกว่าทุกระบบแล้ว บัตรใบเดียวมี 2 ช่องตรวจสอบการลงคะแนนได้

5.การออกแบบให้มีการเลือกกันเองในกลุ่ม ทำให้เกิดเกมการเลือก เลือกอย่างไรไม่ให้คนชนะมาเป็นคู่แข่งในรอบไขว้

6.มีพฤติกรรมการแลกคะแนนทั้งจริงและเท็จ ผิดกฎหมายเพราะตีมูลค่าได้ และเป็นการสัญญาว่าจะให้

7.การเลือกในรอบไขว้ ไม่เปิดโอกาสให้มีการจัดวงแนะนำตัวได้ จึงเป็นการเลือกที่ขาดคุณภาพ

8.การไม่รวมหีบบัตรในแต่ละกลุ่มของหีบบัตรในรอบเลือกไขว้ ทำให้การเลือกไม่เป็นความลับ ทำให้ทราบว่าให้เลือกใครบ้าง

9.การร้องเรียนไม่มีผลในรอบต่อไป แต่ไม่มีคำตอบว่าการเลือกที่ผ่านมาที่ไม่ชอบธรรมจะแก้ปัญหาอย่างไร

10.กกต.ยังมีความสม่ำเสมอในการจัดการเลือกตั้งให้เสร็จ แต่ไม่ใช่การเลือกให้ดี กกต.ไม่คิดป้องกันการทุจริต ทั้งที่ใช้งบประมาณไม่น้อย

สุดท้าย มาตรา 107 ตามรัฐธรรมนูญ 60 กำหนดไม่ให้ผู้สมัครในแต่ละกลุ่มเลือกผู้สมัครในกลุ่มเดียวกัน หรือจะกำหนดให้มีการคัดกรองผู้สมัครรับเลือกด้วยวิธีอื่นใดก็ใดที่ผู้สมัครมีส่วนร่วมก็ได้ ในหลักการเหตุผลหมายความว่าการกำหนดในรัฐธรรมนูญบอกให้หาวิธีแก้ปัญหาการฮั้ว จึงต้องออกแบบให้ไม่ให้มีการเลือกกลุ่มเดียวกันที่เป็นปัญหาดังกล่าว แต่ กกต.ไม่ได้จัดการเพื่อแก้ปัญหานี้แต่อย่างใด 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

83 ปี พคท. กับบทเรียนของสังคมไทย:สังคมนิยมอัตลักษณ์ไทยทางออกของสังคมไทย

วันที่ 1 ธันวาคม 2568 วาระครบรอบ 83 ปี การก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ประวัติศาสตร์การเมืองไทยได้หวนกลับมาอยู่ในพื้นที่สนทนาอีกครั้ง

กกต.ขยับรับสมัครอบต.ใต้เป็น 8-12 ธ.ค. เหตุอุทกภัยกระทบหลายจังหวัด

กกต.ปรับรอบรับสมัครเฉพาะ 5 จังหวัดน้ำท่วม ส่วนจำนวน อบต.ทั่วประเทศลดเหลือ 4,985 แห่งจากการยกฐานะเป็นเทศบาล ต้องแบ่งเขตใหม่ก่อนจัดเลือกตั้งช่วงเมษายน 2569 หลายพื้นที่เปิดรับสมัครวันแรกคึกคัก

กกต. แจงนักการเมือง-พรรค บริจาคช่วยน้ำท่วมได้เต็มที่ แต่ระดับท้องถิ่นต้องระวังช่วง 180 วันก่อนครบวาระ

กกต. ชี้ "บริจาคช่วยภัยพิบัติ" สส.-สมาชิกพรรคทำได้เต็มที่ไม่เกินครั้งละ 3 แสนบาท แต่จะบริจาคกี่ครั้งก็ได้ ส่วนพรรคการเมืองไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อเหตุการณ์ ย้ำโปร่งใส–โฆษณาได้ 

กกต. ขอเชิญชวนสมัครรับเลือกตั้ง สมาชิกสภา อบต. และนายก อบต. ระหว่างวันที่ 1 - 5 ธันวาคม 2568

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจสมัครรับเลือกตั้งสมาชิก สภาองค์การบริหารส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ระหว่างวันที่ 1 – 5 ธันวาคม 2568 เวลา 08.30 – 16.30 น. (ไม่เว้นวันหยุดราชการ) ณ สถานที่ที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอประชาสัมพันธ์ผู้ที่สนใจสมัครรับเลือกตั้งสามารถตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม และเตรียมหลักฐานและเอกสารประกอบการ ยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง พร้อมทั้งค่าธรรมเนียมการสมัครรับเลือกตั้ง โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 1.1 มีสัญชาติไทยโดยการเกิด 1.2 ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องมีอายุ ไม่ต่ำกว่า 25 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง สำหรับผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง 1.3 มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลที่สมัครรับเลือกตั้ง ในวันสมัครรับเลือกตั้ง เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปี นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง 1.4 วุฒิการศึกษา • สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ไม่ได้กำหนดวุฒิการศึกษา • ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า หรือเคยเป็นสมาชิกสภาตำบล สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมาชิกรัฐสภา 2. ลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 2.1 ติดยาเสพติดให้โทษ 2.2 เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต 2.3 เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ 2.4 เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 39 (1) เป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวช (2) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่ หรือ (4) วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ 2.5 อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวหรือ ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 2.6 ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล 2.7 เคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึง 5 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ 2.8 เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริต ต่อหน้าที่หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ 2.9 เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็น ของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเพราะกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2.10 เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงาน ในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติด ในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน 2.11 เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง 2.12 เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ 2.13 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น 2.14 เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ 2.15 เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ 2.16 อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 2.17 เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลฎีกาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาว่าเป็นผู้มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ หรือกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง 2.18 ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 ไม่ว่าจะได้รับโทษหรือไม่ โดยได้พ้นโทษหรือ ต้องคำพิพากษามายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง แล้วแต่กรณี 2.19 เคยถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือกฎหมายว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น แล้วแต่กรณี มายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง 2.20 อยู่ในระหว่างถูกจำกัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 หรือตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2.21 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเดียวกันหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น 2.22 เคยพ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะเหตุมี ส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการที่กระทำหรือจะกระทำกับหรือให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น หรือมีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการ ที่กระทำกับหรือจะกระทำกับหรือให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น โดยมีพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าเป็นการต่างตอบแทน หรือเอื้อประโยชน์ส่วนตนระหว่างกัน และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.23 เคยถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพราะจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ หรือมติคณะรัฐมนตรี อันเป็นเหตุให้เสียหาย แก่ราชการอย่างร้ายแรง และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.24 เคยถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะทอดทิ้งหรือละเลยไม่ปฏิบัติการตามหน้าที่และอำนาจ หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยหน้าที่ และอำนาจ หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือมีความประพฤติในทางที่จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่ศักดิ์ตำแหน่ง หรือแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือแก่ราชการ และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.25 ลักษณะอื่นตามที่กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด 3. หลักฐานและเอกสารประกอบการยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง ให้ผู้สมัครยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลพร้อมทั้งหลักฐานการสมัคร ดังนี้ 3.1 ใบสมัครรับเลือกตั้งตามแบบ ส.ถ./ผ.ถ. 4/1 3.2 รูปถ่ายหน้าตรงไม่สวมหมวก หรือ รูปภาพที่พิมพ์ชัดเจนเหมือนรูปถ่ายของตนเอง ขนาดกว้างประมาณ 8.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 13.5 เซนติเมตร จำนวนตามที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด 3.3 สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน 3.4 สำเนาทะเบียนบ้าน 3.5 ใบรับรองแพทย์ 3.6 หลักฐานการศึกษา 3.7 หลักฐานการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นเวลาติดต่อกัน 3 ปี (2565, 2566, 2567) นับถึงปีที่สมัครรับเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นผู้ไม่ได้เสียภาษีเงินได้ ให้ทำหนังสือยืนยัน การไม่ได้เสียภาษี พร้อมทั้งสาเหตุแห่งการไม่ได้เสียภาษีตามแบบ ส.ถ./ผ.ถ. 4/2 4. ค่าธรรมเนียมการสมัครรับเลือกตั้ง 4.1 นายกองค์การบริหารส่วนตำบล 2,500 บาท 4.2 สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล 1,000 บาท ทั้งนี้ ผู้ใดลงสมัครรับเลือกตั้งโดยรู้อยู่แล้วว่าตนเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 – 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี ตามมาตรา 120 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติม สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหาร ส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบลได้ทางเว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง www.ect.go.th หรือ Application Smart Vote หรือสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประจำจังหวัดทุกจังหวัด หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บริการสายด่วน 1444

ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต

ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)