เปิดข้อเสนอ “ครูทหารเรือ”ให้เจรจาเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาให้จบก่อน มองสูตรของกัมพูชาเจรจาขุมทรัพย์ก่อนทำได้ยาก ชี้2เรื่องละเอียดอ่อน-ซับซ้อน ปลายทางอาจจบที่ศาลโลก
14 ธ.ค.2567 - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีการเผยแพร่คลิปสั้น เรื่อง “เกาะกูดเป็นของไทย” พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย- กัมพูชา โดยมีทหารเรือออกมาอธิบาย ประกอบการนำเสนอเป็นกราฟฟิคแบบง่ายๆ โดยระบุว่าปี 2515 กัมพูชาอ้างสิทธิ์โดยลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 โดยในส่วนของเกาะกูดถูกลากเส้นแบ่งอย่างชัดเจน ทั้งๆที่เกาะกูดเป็นของไทยอย่างถูกต้องตามสนธิสัญญาไทย-ฝรังเศษ ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 จนปี2516 ประเทศไทยลากเส้นไหล่ทวีปทางทะเลขึ้น จึงเกิดพื้นที่ทับซ้อนกับทางกัมพูชา โดยปี 2544 ทางไทยและกัมพูชา แบ่งการเจรจาเป็นสองส่วน คือเหนือพื้นที่เส้นแลตติจูดที่11 โดยมีการลากเส้นอ้อมใต้เกาะกูด และเส้นที่สองคือพื้นที่ใต้เส้นแลตติจูดที่11คือพื้นที่แสวงหาผลประโยชน์ร่วมกัน ดังนั้นเมื่อเกาะกูดเป็นของไทยพื้นที่ใต้เกาะกูดออกไป 200 ไมล์ทะเล หรือพื้นที่ส่วนใหญ่เหนือเส้นแลตติจูดที่ 11 ต้องเป็นของไทยตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล
นอกจากนั้น ในกองทัพเรือเอง ยังมีการส่งต่อบทความของ พล.ร.อ.ถนอม เจริญลาภ ทหารเรือผู้ล่วงลับ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการเจรจาเขตแดนทางทะเล จนมีการหยิบยกข้อมูลการศึกษาของทหารเรือคนดังกล่าวไปอ้างอิงในงานวิชาการหลายสถาบัน ทั้งนี้ บทความของพล.ร.อ.ถนอม ชิ้นนี้ เป็นเอกสารประกอบการบรรยายที่หองประชุมกองทัพเรือเมื่อวันที่ 2 ส.ค.2554 หัวช้อ “การเจรจาปัญหาการอ้างเขตไหล่ทวีปทับซ้อนในอ่าวไทยของประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน”
โดยเนื้อความตอนหนึ่งได้พูดถึง การเจรจาปัญหาการอ้างเขตไหล่ทวีปทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งเริ่มต้นครั้งแรกเมื่อพ.ศ.2513 ซึ่งขณะนั้นกัมพูชายังไม่ได้ประกาศเขตไหล่ทวีป ไทยมีประกาศพื้นที่สัมปทานของกรมทรัพยากรธรณีเมื่อปี พ.ศ. 2510
พล.ร.อ.ถนอม เขียนในบทความว่า การเจรจาครั้งแรกเป็นเพียงการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเขตไหล่ทวีปไทย-กัมพูชา ซึ่งตกลงว่าจะได้มีการเจรจากันในโอกาสต่อไป หลังการเจรจาครั้งแรกแล้ว ต่อมาไม่นาน การเมืองภายในของกัมพูชาก็มีปัญหารุนแรงถึงขั้นเปลี่ยนระบอบการปกครองไปเป็นสาธารณรัฐภายใต้การปกครองของประธานาธิบดีลอนนอล ในสมัยรัฐบาลลอนนอลนี้เอง เมื่อ พ.ศ. 2515 กัมพูชาก็มีประกาศเขตไหล่ทวีป รัฐบาลไทยขณะนั้นได้พยายามประสานรัฐบาลลอนนอลเพื่อขอให้มีการเจรจาเกี่ยวกับเขตไหล่ทวีป เพราะหน่วยงานและประชาชนคนไทยเป็นอันมากข้องใจเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ลากจากหลักเขตแดนที่ 73 ผ่านเกือบกลางเกาะกูดออกไปในทะเล
พล.ร.อ.ถนอม ระบุว่า เมื่อกัมพูชาประกาศเขตไหล่ทวีปเดือนกรกฎาคม 2515 ในเดือนมกราคม 2516 ได้มีการปรับปรุงโครงสร้างคณะกรรมการเจรจาสิทธิและขอบเขตไหล่ทวีป โดยจอมพลประภาส จารุเสถียร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานคณะกรรมการ องค์ประกอบอื่นๆ มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ภายหลังที่รับหน้าที่ประธานได้ระยะหนึ่ง จอมพลประภาสฯ ได้เล่าให้ฟังว่า ท่านได้หารือโดยตรงกับลอนนอล ขอให้มีการเจรจาเรื่องเขตแดนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา เพราะเส้นเขตไหล่ทวีปกัมพูชาที่ประกาศเมื่อ พ.ศ. 2515 ทำให้ไทยข้องใจในท่าทีของรัฐบาลลอนนอลเกี่ยวกับเกาะกูด
ท่านเล่าว่า ลอนนอลเรียนท่านว่า เส้นเขตไหล่ทวีปที่กัมพูชาประกาศเป็นไปตามการเสนอของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและบริษัทเอกชนที่เสนอขอรับสัมปทานแสวงประโยชน์จากปิโตรเลียมในเขตไหล่ทวีปกัมพูชา ลอนนอน ไม่มีความมุ่งประสงค์ใดๆ เกี่ยวกับเกาะกูดทั้งสิ้นและพร้อมมีการปรับปรุงเส้นดังกล่าว แต่ขณะนั้นการเมืองภายในของกัมพูชาคับขันมาก ฝ่ายค้านและฝ่ายต่อต้านรัฐบาลพยายามหาประเด็นที่จะปลุกระดมประชาชน และต่อต้านรัฐบาลอยู่ตอดเวลา หากมีการเจรจาเรื่องเส้นเขตแดนไม่ว่าผลการเจรจจะออกมาเช่นไร ก็คงจะเป็นประเด็นที่จะนำไปโจมตีรัฐบาลได้ เพราะฉะนั้นเป็นตายอย่างไรก็คงจะให้มีการเจรจาขณะนี้ไม่ได้ ขอชลอไปก่อนจนกว่าทุกอย่างจะดีขึ้นกว่านี้ แต่ปรากฏว่าไม่มีอะไรดีขึ้นสำหรับลอนนอล จนกัมพูชาถูกยึดครองโดยเขมรแดงไปในที่สุด ลอนนอลก็ลี้ภัยไปอยู่สหรัฐอเมริกา
บทความชิ้นนี้ ยังระบุว่า ในสมัยเขมรแดง เมื่อ เอียง ซารี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐบาลเขมรแดงมาเยือนประเทศไทย ปัญหาเขตแดนทางทะเลก็ถูกยกขึ้นเป็นประเด็นการสนทนา แต่ไม่มีความตกลงชัดเจนเพราะเขมรแดงก็ยังไม่พร้อมที่จะมีการเจรจาปัญหาที่มีความชับช้อนทางเทคนิค เป็นอันว่าเรื่องการเจรจาปัญหาเขตแดนทางทะเลไทยกัมพูชาชงักไปยาวนานถึง 24 ปี โดยมีการเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่เมื่อสมัยรัฐบาลรณฤทธิ์-ฮุนเซน เมื่อ พ.ศ. 2538 และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน การเจรจาเมื่อ ท.ศ. 2538 ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญกับกับการเจรจามาก หัวหน้า คณะเป็นรัฐมนตรีถึง 3 ท่าน (ไทย 1 ท่าน กัมพูชา 2 ท่าน) ผลการเจรจาครั้งแรกได้มีการตกลงตั้งกรรมการเทคนิคร่วม (Joint Technical Committee) เพื่อดำเนินการเจรจาประเด็นเทคนิคต่อไป
“ปัญหาเขตแดนทางทะเลในอ่าวไทยกับกัมพูชามีความซับซ้อนและละเอียดอ่อนเป็นอันมาก มีประเด็นทางเทคนิดทั้งในทางกฎหมายและทางประวัติศาสตร์ ที่จะต้องพิจาจารณาหาความตกลง คณะกรรมการฯ ได้มีการตั้งอนุกรรมการฯ และคณะทำงานเข้าช่วยแก้ปัญหา แต่ไม่ประสบผลเท่าที่ควร ปัญหาที่สำคัญประการหนึ่งคือ อำนาจการตัดสินใจของผู้เจรจาระดับต่างๆ ดูเหมือนจะมีน้อยมาก วิธีการที่จะนำปัญหามาเจรจาก็ไม่ตรงกันตั้งแต่เริ่มต้น”
เมื่อเริ่มการเจรจา ฝ่ายไทยเห็นว่าการเจรจาทำความตกลงกำหนดเส้นเขตไหล่ทวีปของทั้งสองฝ่ายตลอดพื้นที่ทับช้อน ตั้งแต่หลักเขตแดนทางบกที่ 73 บนฝั่งที่หาดสารพัดพิษจนไปบรรจบเส้นเขตแดนทางทะเลไทย-เวียดนามทางตอนใต้ของอ่าวไทยน่าจะเหมาะสมที่สุด แต่กัมพูชาไม่เห็นด้วย อ้างว่าจะใช้เวลาเจรจานานมาก กัมพูชาต้องการแสวงประโยชน์ (ปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ) ร่วมกันตลอดพื้นที่ทับช้อน ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถตกลงและหาผลประโยชน์ได้เร็วกว่า ปัญหานี้เจรจากันหลายรอบ หลายปี ทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการ โดยมีฝ่ายการเมืองระดับสูงของทั้งสองฝ่ายติดตามผลการเจรจาอย่างใกล้ชิด และให้ข้อเสนอแนะเป็นบางครั้งเนื่องจากการเจรจามีทีท่าว่าจะถึงทางตันตั้งแต่เริ่มต้น
ในที่สุดในปี พ.ศ. 2545 ก็มีความตกลงพบกันครึ่งทาง โดยให้มีการเจรจากำหนดเขตแดนทางทะเลประมาณหนึ่งในสามของพื้นที่ คือตั้งแต่ แลต 11 องศาเหนือขึ้นไปจนถึงหลักเขตเดนทางบกไทย-กัมพูชาที่ 73 ส่วนที่เหลืออีกประมาณสองในสามของพื้นที่ตั้งแต่ แลต 11 องศาเหนือ ลงมาถึงพื้นที่ไทย-เวียดนาม จะเจรจาแสวงประโยชน์ร่วมกัน ที่จะจัดตั้งเป็นองค์กรร่วมไทย-กัมพูชาความตกลงนี้ทำให้มีการตั้งอนุกรรมการทางเทศนิคเพื่อจะเจรจาปัญหาแต่ละพื้นที่ ซึ่งจะมีประเด็นทางเทคนิคที่แตกต่างกัน
การเจรจากำหนดเส้นเขตแดนทางทะเลในพื้นที่ทางตอนเหนือ ทั้งสองฝ่ายมีการเสนอเส้นแบ่งเขตแดนทางทะเลจากหลักเขตแดนที่ 73 ลงมาถึงเส้นขนาน แลตที่ 11 องศาเหนือ แต่เส้นที่เสนอยังมีความแตกต่างกันมาก จากนั้นมาก็ไม่มีการขยับเส้นที่เสนอนั้นอีกเลย แม้จะมีการเจรจากันอีกหลายรอบ ผู้เขียนไม่บังอาจที่จะวิจารณ์ถึงเหตุผลของทั้งสองฝ่าย แต่ที่เห็นได้ชัดคือ ความระมัดระวังของท่าทีแต่ละฝ่ายสูงมาก ในที่สุดได้มีการเสนอที่จะให้มีการจัดกลุ่มเจ้าหน้าที่ทางเทคนิคของแต่ละฝ่ายขึ้น เพื่อหารืออย่างไม่เป็นทางการ เพื่อนำผลการหารือเข้าหารือกับฝ่ายตนอีกครั้งหนึ่ง ผู้เขียนเห็นว่าน่าจะเป็นทางออกที่ดีและอาจนำไปสู่ความตกลงได้ในที่สุด แต่จนถึงขณะนี้ซึ่งเวลาล่วงเลยมาเกือบปี การดำเนินการดังกล่าวก็ยังไม่ได้เริ่มต้น
สำหรับการเจรจาเกี่ยวกับพื้นที่ทับช้อนใต้แลต 11 องศาเหนือลงมา ที่ว่าจะแสวงประโยชน์ร่วมกันจนถึงวันนี้อาจกล่าวได้ว่ายังมีความก้าวหน้าในประเด็นที่สำคัญน้อยมาก ประเด็นสำคัญที่ว่าคือ การกำหนดสัดส่วนการแบ่งปันผลประโยชน์และการลงทุน ปัญหานี้มีความชับช้อนเกี่ยวกับข้อมูลของศักยภาพทางธรณีวิทยาของพื้นที่ ซึ่งไม่ง่ายเหมือนพื้นที่แสวงประโยชน์ร่วมไทย-มาเลเซีย เพราะเมื่อ พ.ศ. 2522 ขณะที่เจรจานั้น ทั้งไทยและมาเลเซียไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพทางธรณีของพื้นที่ จึงตกลงกันง่ายๆ 50:50แต่เมื่อปัญหาไทย-กัมพูชามีข้อมูลเพิ่มขึ้น ความยุ่งยากซับซ้อนก็ติดตามมาว่าจะจัดสรรกันอย่างไร ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจึงจะไม่มีความเสี่ยงเป็นผู้เสียเปรียบในเงื่อนไของความตกลงผู้เขียนคงจะกล่าวถึงเรื่องนี้เพียงเท่านี้ การมีการวิพากษ์วิจารณ์จากสาธารณะมากเท่าใด ก็ยิ่งเพิ่มควานกดดันให้กับผู้รับผิดชอบในการเจรจาจากสองฝ่ายมากเท่านั้น
ในตอนท้ายของบทความ พล.ร.อ.ถนอม มีข้อเสนอแนะว่า จากการที่กัมพูชาเชื่อว่าการเจรจาแสวงประโยชน์ร่วมกันในพื้นพื้นชัอน จะทำให้ช่วงเวลาการเจรจาสั้นกว่าการเจรจาลากเส้นเขตแดนทางทะเลระหว่างกันให้จบสิ้นไปเลยนั้นไม่จริงตามที่เชื่อเมื่อแรกเริ่มการเจรจา พ.ศ. 2538 มาจนถึงขณะนี้ย่างเข้าปีที่ 13 แล้วยังไปไม่ไม่ได้สักเท่าใดเลย ถ้าเจรจากำหนดเส้นเขตแดนป่านนี้อาจไปได้ไกลแล้ว
โดยความเห็นส่วนตัวของผู้เซียน เห็นว่าน่าจะไม่มีประโยชน์ที่จะพยายายามให้มีการแสวงประโยชน์ร่วมกัน เพราะดูจากท่าทีของทั้งสองฝ่ายแล้ว เห็นว่ามีจุดยืนที่ห่างกันมาก ถ้าเป็นไปได้ หัวหน้าคณะเจรจาทั้งสองน่าจะหารือกันยกเลิกวิธีการเดิม แล้วเริ่มเจรจาแบ่งเส้นเขตแดนทางทะเลตลอดแนวไปเลย หากภายในระยะเวลาหนึ่ง เช่น 5 หรือ 10 ปี ยังไม่ประสบผลสำเร็จควรหารือกันอีกครั้งว่าน่าจะเหมาะสมหรือไม่ที่จะตกลงร่วมกันใช้บริการ ศาลโลก
การนำคดีขึ้นสู่ศาลโลกใช่ว่าจะต้องทะเลาะกัน จะเห็นว่าในปัญหาเขตแดนทางทะเลเมื่อฝ่ายที่เกี่ยวข้องเห็นว่าการเจรจาถึงทางตัน ก็นำคดีขึ้นสู่ศาลโลกให้ช่วยดำเนินการให้ ดังเช่นคดีไหล่ทวีปทะเลเหนือ 1969ระหว่างเยอรมัน เดนมาร์ก กับ เนเธอร์แลนด์ เป็นต้น คนไทยอาจจะมีความรู้สึกไม่ค่อยดีกัศาลโลก เนื่องจากคำตัดสินคดีปราสาทเขาพระวิหาร แต่โดยความเป็นจริง เท่าที่ติดตามผลงานของศาลโลกเกี่ยวกับการตัดสินคดีเขตแดนทางทะเลต่างๆ ผู้เขียนเห็นว่าศาลโลกมีความยุติธรรมและ เชื่อถือได้ คำชี้แจงของศาลโลกในคดีต่างๆ ยังถูกนำมาอ้างอิงเป็นบรรทัดฐานในการเจราได้เสมอเมื่อมีประเด็นที่สามารถอ้างอิงได้และฝ่ายตรงข้ามจะยอมรับเป็นส่วนมาก
ผู้เขียน เขียนบทความนี้ด้วยความมุ่งหวังที่จะให้เป็นข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับการเจรจาเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในอ่าวไทย และแสดงความเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับปัญหาที่กำลังเจรจาอยู่กับกัมพูชาขณะนี้ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับท่านที่สนใจเกี่ยวข้องตามสมควร


ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ทำสำเร็จ! ทหารนาวิกโยธิน ยึดคืนพื้นที่บ้านท่าเส้น-กาสิโนทมอดา จ.ตราด ฝ่ายไทยปลอดภัยไม่สูญเสีย
พลเรือตรี ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า กองทัพเรือ โดยกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) ได้ดำเนินการเข้าควบคุมและยึดคืนพื้นที่บริเวณ บ้านท่าเส้น ตำบลชำราก อำเภอเมืองตราด รวมถึงพื้นที่อาคาร
ทัพเรือเผยเหตุเขมรบุกหนัก เคยใช้สไนป์เปอร์ลอบยิง ผบ.หน่วย ก่อนเปิดฉากรบ
โฆษกกองทัพเรือเปิดเผย ช่วงก่อนการโจมตีบ้านเรือน 3 หลัง ฝ่ายกัมพูชามีความพยายามยั่วยุหลายครั้ง รวมถึงเหตุใช้พลซุ่มยิงลอบยิงผู้บังคับหน่วยระดับผู้นำ ก่อนสถานการณ์พัฒนาไปสู่การสู้รบ
'บิ๊กเล็ก' สั่งคุมเข้ม! รับเขมรอาจจ้องก่อวินาศกรรม 'แท่นขุดเจาะน้ำมัน'
'รมว.กห.' ยอมรับกัมพูชาอาจพยายามก่อวินาศกรรมแท่นขุดเจาะน้ำมัน หลังพบโดรนบินอ่าวไทย สั่งทุกเหล่าทัพเพิ่มความเข้มงวดมาตรการดูแลความปลอดภัย ชี้เขมรทำลายโดรน D-20 เป็นเรื่องน่าเสียดาย
ทร.ส่งทีมติดตามความคืบหน้า 'เรือดำน้ำ S26T' ด้าน 'จีน' ยันเสร็จตามกรอบระยะเวลา
ทร.ส่งทีมติดตามความคืบหน้าโครงการจัดหา 'เรือดำน้ำS26T' ด้าน 'จีน' ยืนยันควบคุมคุณภาพ และเสร็จสิ้นตามกรอบระยะเวลา
ประกาศพื้นที่ควบคุมเพิ่ม 5 จังหวัดอาณาเขตทางทะเล สกัดน้ำมัน-ยุทธปัจจัย เข้ากัมพูชา
“เสธ.ทร.” ยัน ไทย ไม่ยึด เกาะกง-เกาะยอ แค่ทำลายภัยคุกคาม เผย “สภากลาโหม” ประกาศ เพิ่ม 5 จังหวัด จำกัดอาณาเขตทางทะเล 12 ไมล์ สะกัดน้ำมัน-ยุทธปัจจัย เข้ากัมพูชา ย้ำ เฉพาะเรือไทย
เปิดภาพทิ้งบอมบ์ ทหาร BHQ-ผบ.หน่วยของเขมร เสริมกำลังพื้นที่บ้าน 3 หลัง ชายแดนตราด
กองทัพเรือ เปิดเผยว่า กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) โดย หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด (ฉก.นย.ตราด) ตรวจพบ กัมพูชาเพิ่มกำลังบริเวณพื้นที่บ้านหนองรี ใกล้พื้นที่บ้านสามหลัง จ.ตราด เป็นทหารหน่วย BHQ

