'ศิลปินมรดกอีสาน' ชำแหละกลุ่มการเมือง 'ทุน-ทาส' 3ปัจจัยหลัก การเป็นนักการเมือง

'ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งสมัยนี้ถือว่า 'เราไปเลือกคุณให้มีเกียรติ มีตำแหน่ง มีเงินเดือน มีสวัสดิการ สถานที่เลือกตั้งจะใกล้หรือไกล ถือว่าเป็นการลงทุน ต้องจ่ายค่าฉันเดินทางไป' ไม่ได้ไปเพราะจิตสำนึกในระบอบประชาธิปไตยแต่อย่างใด นี่คืออุปสรรคการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยอันเกิดจากประชาชน'

26 ก.พ. 2568 - นายวีระ สุดสังข์ หรือ "ฟอน ฝ้าฟาง" ศิลปินมรดกอีสาน ปี 2558 น อดีตครูสอนภาษาไทย นักเขียนอิสระ ผู้ก่อตั้งกลุ่มวรรณกรรมลำน้ำมูลและสโมสรนักเขียนภาคอีสาน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า

การเป็นนักการเมืองไม่ว่าระดับไหน ไม่ใช่จะเป็นกันง่ายๆ การที่จะเป็นนักการเมืองครองใจมหาชน ต้องมีองค์ประกอบ 3 อย่างนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หมายความว่า ถ้าใครไม่มี 3 ข้อนี้ ย่อมเป็นนักการเมืองไม่ได้

1.บารมี คำว่า บารมี นี้หมายถึงความดีความงาม น่าศรัธา น่าเกรงขามแก่บุคคลทั่วไป บารมีหรือความดีความงามนี้จะเกิดขึ้นกับใครไม่ได้ ถ้าไม่มีศีลธรรม ไม่มีคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งเรื่องนี้ต้องค่อยๆสร้างค่อยๆสะสม มีความรู้ความสามารถ มีความซื่อสัตย์ ความเป็นกันเองกับทุกคนทุกฝ่าย มีบุคลิกภาพ ภาพลักษณ์ที่ดีงามจนเป็นที่ยอมรับนับถือ อันถือได้ว่ามีผลงานและบารมี

2.ทีมงานและเพื่อน เมื่อจะลงรับสมัครเลือกตั้งใดๆ เพื่อรับใช้ประชาชนและสังคม ไม่มีใครทำได้ด้วยตัวเองเพียงลำพัง มันต้องอาศัยคนอื่นเป็นปัจจัยหลัก แม้แต่วันไปสมัครยังต้องมีผู้ติดตาม มีขบวนแหนแห่ สมัครแล้วยังอาศัยทีมงานแจกใบปลิว ติดโปสเตอร์ ขับรถโฆษณาหาเสียง ลงพื้นที่พบปะประชาชน ติดต่อประสานงาน จัดตั้งทีมงานระดับพื้นที่ เพราะฉะนั้น จึงต้องมีทีมงานระดับวางแผน ทีมงานวิเคราะห์คู่แข่ง ทีมงานระดับปฏิบัติงาน ทีมงานดีย่อมมีชัยไปแล้วกึ่งหนึ่ง

3.ทุน ในโลกนี้มีอะไรไม่ลงทุน ลงทุนทางจิตใจ ลงทุนทางรูปกายและลงทุนด้านการเงิน ปัจจัยจากข้อ 2 นั้น ถ้าไม่มีเงินทุนย่อมเป็นไปไม่ได้ ถ่ายรูปติดใบสมัคร ถ่ายรูปติดป้าย ใบปลิว ขบวนแหนแห่ ขบวนหาเสียง ต้องมีเงินสำหรับใช้จ่าย ไหนจะค่าอาหาร ค่าน้ำมันรถ ค่าแรงคนขับรถ ค่าจ้างเหมารถ ค่าทีมงานปฏิบัติงาน จนสุดท้ายต้องจ่ายเป็นค่ากระสุน

ปัจจัยข้อ 3 นี้สำคัญที่สุด ใครจะเป็นคนดีมีบารมีแค่ไหน มีทีมงานดีแค่ไหน ถ้าไม่มีเงินย่อมผ่านยาก เงินจึงเป็นปัจจัยหลัก

เรื่องแจกจ่ายเงินซื้อเสียง บอกตรงๆว่า "ไม่มีผู้สมัครคนใดต้องการทำ" แต่มันเป็นค่านิยมของคนไทยไปแล้ว "คนดีต้องมีเงินด้วย" ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งสมัยนี้ถือว่า "เราไปเลือกคุณให้มีเกียรติ มีตำแหน่ง มีเงินเดือน มีสวัสดิการ สถานที่เลือกตั้งจะใกล้หรือไกล ถือว่าเป็นการลงทุน ต้องจ่ายค่าฉันเดินทางไป" ไม่ได้ไปเพราะจิตสำนึกในระบอบประชาธิปไตยแต่อย่างใด นี่คืออุปสรรคการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยอันเกิดจากประชาชน

มีนักการเมืองน้อยคนที่มีความพร้อมทั้ง 3 ปัจจัยหลัก นักการเมืองประเภทนี้มีความเป็นตัวของตัวเองสูง เพราะไม่ได้พึ่งพาอาศัยใคร นอกจากทีมงานและทุนของตน ถ้าใครมีปัจจัยแค่ข้อ 1 และผ่านการเลือกตั้งโดยทีมงานและเงินทุนของคนอื่นก็จะเป็นได้แค่ "ทาสของคนอื่นที่เป็นเจ้าของคอกเจ้าของมุ้งหรือเจ้าของพรรค" เมื่อตกเป็นทาสย่อมไม่มีสิทธิ์ ไม่มีเสียงอะไร รอแต่คำสั่งจากเจ้าของคอกบอกว่า จะให้แสดงอย่างไร? ให้ออกความเห็นว่าอย่างไร? อภิปรายประเด็นใด? ให้มีมติว่าอย่างไร? ให้ยกมือหรือไม่อย่างไร? ให้เดินออกจากห้องประชุมหรือไม่? ไม่ว่าใครคนนั้นจะเป็น ส.ท., ส.อบต., ส.อบจ., ส.ส.หรือ ส.ว.

กลุ่มนักการเมือง
มีคนถามผมว่า "ไม่นึกอยากเล่นการเมืองบ้างหรือ?"

ผมกลั้นเสียงหัวเราะไว้ก่อนจะตอบว่า "จะเอาอะไรมาเล่นล่ะครับ ความดีผมพอจะมีอยู่บ้าง ความรู้ผมเป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ, กระทรวงวัฒนธรรมได้ ทีมงานเก่งๆอาจพอหาได้ แต่เงินล่ะ ! เงินอยู่ไหน? เงินนั้นสำคัญมาก แค่พบปะประชุมเสวนา วางแผนกันก็ต้องจ่ายค่าอาหารและเครื่องดื่มไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ค่าสมัครอาจจะพอมี แต่เงินหาเสียงอยู่ไหน สมัคร ส.ส.เขตอย่างน้อยต้องมี 50 ล้าน จึงจะพอมีโอกาสชนะ มันต้องแจกตามความต้องการของประชาชน ถ้าไม่แจกเอาแค่ 100 คะแนนก็ยังยาก การเมืองไทยต้องเป็นอย่างนี้ ส่วนพรรคที่คุยว่าไม่ได้แจกนั้น เพราะกระแสมาแรง แต่ก็ต้องใช้เงินอยู่ดี ค่าสมัคร ค่าป้าย ค่าใบปลิว ค่าเดินทางหาเสียง ต้องใช้เงินเป็นล้านเหมือนกัน ถ้าผมมีขนาดนั้น ผมพอแล้ว ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

เรื่องนักการเมืองมีอยู่ 2 ประเภท

1.กลุ่มทุน ร่วมลงขันกันตั้งพรรคการเมือง เป็นเจ้าของพรรค เจ้าของนโยบาย เจ้าของ ส.ส. กำหนดให้ใครสักคนเป็นหัวหน้าพรรค คณะกรรมการบริหารพรรค เลขาธิการพรรค คนเหล่านี้ต้องมีบทบาททางสังคมสักหน่อย มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก มีผลงาน มีประสบการณ์ เล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองจัดจ้าน ปฏิภาณไหวพริบดี ใจถึง ใจกว้าง มีบารมี มีอิทธิพล ทุนเท่าไหร่ดี? แค่พันล้านได้ ส.ส.ไม่เกิน 20 คน จะเป็นพรรคขนาดกลางขนาดใหญ่ต้องมีไม่น้อยกว่าห้าพันถึงหมื่นล้าน การลงทุนนี้เป็นธุรกิจ ทำอย่างไรจึงจะไม่ขาดทุนทั้งโดยตรงและโดยอ้อม นี่คือจุดเริ่มต้นของธุรกิจการเมือง กำไรที่จะได้คือเงินงบประมาณจากรัฐ ได้โดยวิธีใด ลองพิจารณากันดู

2.กลุ่มเสมือนทาส นักการเมืองกลุ่มนี้ที่ได้เป็น ส.ส.สังกัดพรรคการเมืองนั้น เป็นคนที่มีคุณสมบัติอยู่บ้าง มีชื่อเสียง มีผลงาน ได้รับความเชื่อถือจากเขตเลือกตั้งอยู่บ้าง สังกัดพรรคที่มีภาพลักษณ์ดี อาศัยผลงานตัวเองบวกกระแสพรรคบวกทุนจากพรรคก้อนโต จึงได้เป็น ส.ส.และเมื่อเป็น ส.ส.แล้วต้องอยู่ภายใต้โอวาทของพรรค อย่าดื้อ อย่าแตกแถว สั่งให้ทำอะไรต้องได้อย่างนั้น ใครฝ่าฝืนถูกเฉดหัวออกไป "ส.ส.ต้องปฏิบัติตนเป็นเสมือนทาสผู้ซื่อสัตย์เท่านั้น" เป็น ส.ส.ตลอดชีวิตย่อมหมายความว่า เป็นเสมือนทาสตลอดชีวิต

"เป็นพรรคฝ่ายค้านมันอดอยากปากแห้ง" ต้องหาวิธีทางร่วมรัฐบาลให้ได้ แม้จะตระบัดสัตย์ก็ตาม ต้องใช้จำนวน ส.ส.ต่อรองกัน ต้องได้ตำแหน่งรัฐมนตรีกี่กระทรวง กระทรวงนั้นกระทรวงนี้ กระทรวงใหญ่เกรดเองบประมานปีละสองสามแสนล้าน กินนิ่มๆ ไม่มูมมามแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ เงินที่ลงทุนตั้งพรรคหมื่นล้านก็ได้กำไรกลับมาแล้ว ไม่มีนักธุรกิจใดเอาเงินมาถลุงเล่นให้สูญเปล่า

ส่วนนักการเมืองกลุ่มเสมือนทาส แม้จะเป็นเสมือนทาส แต่เป็นเสมือนทาสที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีประวัติแก่วงศ์ตระกูล มีเส้นมีสาย แม้ใครจะว่าเป็นเสมือนทาสก็ช่างเถอะ ! ชีวิตนี้ขอได้เป็น ส.ส.สักสมัยก็ยังดี แต่สำหรับผมคงไม่หรอกครับ ขอแค่มีนักการเมืองดีๆสักคนไว้คบนับว่าเป็นบุญวาสนาแล้ว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ครูวีระ' อบรมพวกโลกสวย แยกไม่ออก 'รักชาติ' กับ 'ชาตินิยม' แตกต่างกันอย่างไร

'ครูวีระ' ชี้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา คนไทยเพียงต้องการรักษาแผ่นดินไทยเท่านั้น มิได้ต้องการรุกรานชาติกัมพูชา แต่หลายกลุ่มแยกไม่ออก 'รักชาติ' กับ 'ชาตินิยม' แตกต่างกันอย่างไร จึงมีคนโลกสวยเป็นจำนวนมาก

เดือด! 'ครูวีระ' ร่ายกลอนฟาด 'นายพลสีส้ม' ขี้ขลาดนักก็ปิดปากไปอยู่หลุมหลบภัย

จากกรณี พล.ท.พงศกร รอดชมภู หรือ เสธ.โหน่ง อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และอดีตแกนนำพรรคอนาคตใหม่ ได้ออกมาตำหนิผู้เชียร์ให้ทำสงครามใหญ่กับกัมพูชา ว่าเป็นพวกคลั่งชาติ มีส่วนทำให้ประเทศไทยสูญเสียงบประมาณมหาศาล

'ครูวีระ' ฟาดฝ่าย 'เสรีนิยม' ถ้าไม่เห็นด้วยกับเสียงส่วนใหญ่ ก็ไม่แตกต่าง 'เผด็จการทางความคิด'

นายวีระ สุดสังข์ หรือ "ฟอน ฝ้าฟาง" ศิลปินมรดกอีสาน ปี 2558 อดีตครูสอนภาษาไทย นักเขียนอิสระ ผู้ก่อตั้งกลุ่มวรรณกรรมลำน้ำมูลและสโมสรนักเขียนภาคอีสาน โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า

'ศิลปินมรดกอีสาน' ฟาด 'สส.พท.' โจมตีไทยในเวทีโลก สวนทางความรู้สึกปชช.ข้องใจยังภักดีต่อเขมรอีกหรือ

นายวีระ สุดสังข์ หรือ "ฟอน ฝ้าฟาง" ศิลปินมรดกอีสาน ปี 2558 อดีตครูสอนภาษาไทย นักเขียนอิสระ ผู้ก่อตั้งกลุ่มวรรณกรรมลำน้ำมูลและสโมสรนักเขียนภาคอีสาน โพสต์เฟซบุ๊กถึงเรื่องดังกล่าว ว่า

จากยุค3 นิ้ว ผ่านไป 3-4ปี เยาวชนหันมาชื่นชมทหาร เหตุพรรคการเมืองตกใจ พยายามโจมตี

นายวีระ สุดสังข์ หรือ "ฟอน ฝ้าฟาง" ศิลปินมรดกอีสาน ปี 2558 อดีตครูสอนภาษาไทย นักเขียนอิสระ ผู้ก่อตั้งกลุ่มวรรณกรรมลำน้ำมูลและสโมสรนักเขียนภาคอีสาน โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า

'ครูวีระ' โอด! สงครามยังไม่สงบ ยังไม่ได้เลือกตั้งซ่อมสส.ศรีสะเกษ ถ้ายุบสภาจะเลือกกันอย่างไร

นายวีระ สุดสังข์ หรือ "ฟอน ฝ้าฟาง" ศิลปินมรดกอีสาน ปี 2558 อดีตครูสอนภาษาไทย นักเขียนอิสระ ผู้ก่อตั้งกลุ่มวรรณกรรมลำน้ำมูลและสโมสรนักเขียนภาคอีสาน โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า