
23เม.ย.2568- ดร.นันท์วิสิทธิ์ ตั้งแสงประทีป (นิพนธ์) อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และสื่อมวลชนอิสระ โพสต์บทความ เรื่อง "ความแตกต่างของ สื่อมวลชน กับ คนทำสื่อ" ผ่าน เพจเฟซบุ๊ก Teejournalist มีเนื้อหาดังนี้
ปัจจุบันหลายคนเริ่มสับสน หลายคนเริ่มแยกแยะไม่ออกถึงความแตกต่างระหว่าง "สื่อมวลชน" กับ "คนทำสื่อ” เพราะถ้าหากจะย้อนกลับไป ยุคอนาล็อคแล้วไม่ใช่ใครก็จะมาทำ"ข่าว"ได้ แต่เป็นคนที่ต้องยึดถือกฎเกณฑ์ระเบียบวิธีการปฏิบัติในวิชาชีพนี้อย่าง “เคร่งครัด” เพราะอาชีพสื่อมวลชน มีหลักการในมุมวิชาการที่สำคัญคือ การทำบทบาทและหน้าที่ในการเป็น “กระจกหรือหมาเฝ้าบ้าน” ให้กับสังคม ที่ต้องนำเสนอเรื่องราวที่เป็นประเด็นสำคัญมีประโยชน์ต่อสาธารณะจึงเป็นที่มาที่ “กระบวนการผลิตข่าว” แต่ละสำนักข่าวในยุคอดีตจำเป็นต้องมีสิ่งที่เรียกว่า “กองบรรณาธิการข่าว”(News Room)ที่ประกอบไปด้วยบรรณาธิการ โปรดิวเซอร์ ผู้สื่อข่าว ช่างภาพฯ เป็นต้น กองบรรณาธิการข่าวจะทำหน้าที่เป็นประตูข่าวสาร(GateKeeper) กลั่นกรองตรวจสอบข้อมูลก่อนนำเสนอสู่สาธารณะ ยังไม่นับรวมเรื่องที่สื่อมวลชนต้องมีความเข้าใจเรื่อง "คุณค่าข่าว"(News Value) "จริยธรรมสื่อ"(Ethics) ที่การันตีรับรองการนำเสนอข่าวสารโดยคำนึงถึง “ความรับผิดชอบต่อสังคม”สูงสุด
แต่ทว่าปัจจุบันในยุคดิจิทัลดิสรัปชั่น คำพูดที่เราได้ยินเสมอคือ “ใครๆก็เป็นสื่อได้” ที่เรียกว่า Prosumer(Producer + Consumer) เช่น การเกิดขึ้นของ คอนเทนต์ครีเอเตอร์ อินฟลูเอนเซอร์ ยูทูบเบอร์จำนวนมาก ส่งผลให้คนคำว่า สื่อมวลชนกับคนทำสื่อ กลายเป็นคนเดียวกัน
@ไม่มีวาระข่าวสารมีแต่วาระโซเชียล
ในวงการสื่อมวลชนโดยเฉพาะคนข่าวรุ่นอายุตั้งแต่ 40 ปี ต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าปัจจุบันการทำข่าวเปลี่ยนแปลงไปจากบริบทและบทบาทหน้าที่ของสื่อมวลชนที่ยึดมั่นในวิชาชีพต้องทำ เพียงแต่จะพูดหรือไม่เท่านั้น ความเปลี่ยนแปลงที่ว่าพอยกตัวอย่างได้คือ
1.สื่อมวลชนและสำนักข่าวจำนวนมาก “ไม่ผลิตข่าว”เองอีกต่อไป แต่เลือกไปเอาข่าวจาก “โซเชียลมีเดีย”ต่างๆมานำเสนอโดยไม่มีกระบวนการตรวจสอบกลั่นกรองข้อมูลผ่านระบบกองบรรณาธิการเดิม ซึ่งถ้าหากข่าวโซเชียลที่นำเสนอไปมีความผิดพลาดก็แค่นำเสนอใหม่หรือแก้ไขข่าวไปเรื่อยๆ โดยสื่อมวลชนจะมุ่งเน้นเฝ้ามอนิเตอร์ “เพจดังๆหรืออินฟลูเอนเซอร์”ที่มีคนติดตามจำนวนมาก เนื้อหาที่หยิบมาจึงหนีไม่พ้นเรื่อง ดราม่า ดารา อาชญากรรม ความเชื่อฯอย่างไม่ต้องแปลกใจ เพราะบรรดาเพจหรืออินฟลูฯนิยมเรียกเอนเกจเม้นท์โดยการนำเสนอเรื่องราวเหล่านี้
2. “การกำหนดประเด็น”เพื่อนำเสนอข่าวจากกองบรรณาธิการข่าวหายไป จากที่กองบรรณาธิการข่าวเคยเป็นผู้กำหนดประเด็น ในทางวิชาการเรียกว่าการกำหนดวาระข่าวสาร(Agenda Setting) เพื่อการคัดเลือกประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะโดยแท้จริงได้ “หายไป” กลายมาเป็นประเด็นที่นำมาจากโซเชียลมีเดียดังที่กล่าวไปข้างต้น โดยใช้กระบวนการทำข่าวส่วนหนึ่งไปติดตามเจาะลึกขยายผลจากประเด็นทางโซเชียลที่สังคมสนใจ มีการไปเจาะรายละเอียดจากข่าวที่เกิดขึ้น เช่น กรณีข่าวชู้สาวดาราล่าสุดสื่อมวลชนช่องหนึ่งก็มีการไปหาข่าวติดต่อสัมภาษณ์ “ข้างห้อง”ในคอนโดแห่งหนึ่งที่ถูกระบุว่า เป็นสถานที่ที่ดารากับฝ่ายหญิงไปด้วยกันพร้อมขึ้นซีจีบนหน้าจอโทรทัศน์ว่า “หลักฐานใหม่” เช่นนี้ในทางวิชาชีพไม่ได้เรียกว่า เป็นการทำข่าวในเชิงสืบสวนสอบสวน(Investigative News Reporting)แต่อย่างใด เราจะพบเห็นในลักษณะนี้สื่อมวลชนสำนักข่าวแข่งขันกันอยู่ 2 แห่ง ที่เมื่อได้ข้อมูลมาก็จะอ่านข่าวพร้อมขึ้นข้อความว่า Exclusive หลักฐานใหม่หรือ ข้อมูลใหม่ โดยสำนักข่าวไม่ได้สนใจว่าข่าวดังกล่าวจะมี “คุณค่าข่าว” หรือไม่อย่างไรต่อสังคมหรือผิดหลัก “จริยธรรมจรรยาบรรณ”หรือไม่
3.การล่มสลายของกองบรรณาธิการข่าวเพราะต้องเปลี่ยนรูปแบบไปตามการแข่งขันที่รวดเร็ว จึงถูกแยกออกเป็นการผลิตรายการข่าวในแต่ละช่วงข่าวแทน ที่เห็นได้ชัดคือสื่อมวลชนที่เป็นโทรทัศน์ที่มีทีวีดิจิทัลเกิดขึ้น แต่ละรายการข่าวหรือภาคข่าวถูกปรับเปลี่ยนให้มีบก.ประจำรายการข่าว มีโปรดิวเซอร์ข่าว และทีมข่าวประจำที่สลับหมุนเวียนตามกะรายการข่าว จากเดิมที่แต่ละสำนักข่าวจะมีนักข่าวบรรณาธิการข่าวโต๊ะข่าวที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเช่นสายการเมือง เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม จึงค่อยๆหายไป ผลที่เกิดขึ้นคือการขาดความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและไม่สามารถหาข้อมูลในเชิงลึกเพื่อนำเสนอได้อย่างถูกต้อง
@ผู้ประกาศข่าวไม่เท่ากับพิธีกรข่าว
ในขณะเดียวกัน ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในวงการสื่อมวลชนได้เริ่มมี ดารานักแสดงหันมาทำหน้าที่ “ผู้ประกาศข่าว” (News Anchor) ที่แต่เดิมการขึ้นมาเป็นผู้ประกาศข่าวได้คนในวงการสื่อมวลชนรู้ดีว่าจะต้องผ่านกระบวนการขั้นตอนตั้งแต่การฝึกฝนการทำข่าว เรียนรู้ผ่านกองบรรณาธิการข่าว บางครั้งถึงขนาดต้องขยับขึ้นมาเป็นบรรณาธิการข่าวหรือผู้ช่วยบรรณาธิการ เพื่อให้เข้าใจในระบบการทำงานมีความสามารถในการวิเคราะห์ สังเคราะห์งานข่าว การตรวจสอบฯ ก่อนจะขึ้นมาเป็น ผู้ประกาศข่าวได้ แต่เมื่อถึงปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้ได้หายไป เราจึงเห็น “พิธีกรดารานักแสดงดีเจ” มาเป็นผู้ประกาศข่าวหรือสมัยใหม่เรียกว่า “คนเล่าข่าว” การที่คนในวิชาชีพอื่นจะมาเป็นผู้ประกาศข่าว “พิธีกรข่าว”หรือคนเล่าข่าวไม่ใช่สิ่งที่ทำไม่ได้หรือคนในวิชาชีพจะเก็บไว้เป็นงานเชี่ยวชาญเฉพาะทางคนเดียว แต่ทว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ที่มาทำหน้าที่จะต้องมีความน่าเชื่อถือเพราะ ข่าว ไม่ใช่เรื่อง “กอสซิป”(Gossip) ที่จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ได้ แต่ข่าวจะต้องผ่านการกลั่นกรองตรวจสอบตามที่บอกไป ผู้ประกาศข่าวจึงเปรียบเสมือน ตัวแทนของสื่อมวลชนหรือสำนักข่าวนั้นๆที่จะแสดงความน่าเชื่อถือและรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้นำเสนอไป
@อย่าโยนบาปให้คนดู
ช่วงหลังเรามักจะได้ยินคำนี้เสมอๆว่า “ก็คนไทยชอบเสพข่าวแบบนี้ข่าวชาวบ้าน ข่าวดารา ข่าวอาชญากรรม ข่าวความเชื่อ”สื่อมวลชนจึงต้องนำเสนอข่าวตอบสนองต่อคนดู ประโยคนี้เหมือนสื่อมวลชนกำลังโยนบาปให้กับคนดูหรือผู้บริโภค แต่ถ้าหากวิเคราะห์และตั้งคำถามให้ดี ก็จะพบว่าแล้วทำไมในอดีตปริมาณข่าวเหล่านี้จึงน้อยกว่าประเด็นข่าวหลักเป็นอย่างมาก สัดส่วนข่าวที่พูดถึงไม่ได้มากมายนาดนี้ ก็นั่นละสาเหตุเพราะสื่อมวลชนในอดีตยังยึดมั่นในการนำเสนอข่าวที่เป็น “ประโยชน์”ต่อสาธารณะมากกว่า แต่ปัจจัยที่ทำให้สื่อมวลชนยุคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป ช่องทางที่ทำให้ใครๆก็เป็น “คนทำสื่อ”ได้ ปัจจัยด้านธุรกิจที่เป็นผลมากจาการใช้เรตติ้งวัด ทำให้สื่อมวลชนกระแสหลัก ไม่ยึดถือในสิ่งที่ทำเมื่อโดนวิพากษ์วิจารณ์หนักเข้าจึงโยนบาปไปให้คนดู สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่เป็นธรรมกับคนดูสักเท่าไหร่
ท้ายที่สุด ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นของสื่อมวลชนปัจจุบันจึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของคนดู แต่การหายไปของระบบกองบรรณาธิการ การไม่ยึดมั่นต่อการนำเสนอข่าวสารเพื่อประโยชน์สาธารณะ การมีผู้เล่นมากขึ้นในวงการวิชาชีพสื่อ แต่ผู้ที่เข้าใจเรื่องวิชาชีพกับไม่แสดงความเป็นมืออาชีพ แต่กลับลดมาตรฐานตัวเองลงไปเท่ากับ คนทำสื่อ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ต้องโทษใครนอกจาก “ตัวสื่อมวลชน”เอง
ปล.รัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2560 มาตรา 35 ระบุ นิยามสื่อมวลชนไว้ว่า “บุคคลซึ่งประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน ย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสาร หรือการแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ”
CR.ภาพ https://www.imdb.com/title/tt1870479/
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จบนะ! 'จ๋า' ภริยานายกฯ ขอโทษสื่อมวลชน แจงไม่มีเจตนาคุกคาม น้อมรับคำวิจารณ์
น.ส.ธนนนท์ นิรามิษ ภริยาของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เขียนข้อความลงบนสตอรี่อินสตราแกรมส่วนตัว ขอโทษสื่อมวลชนกรณีพูดหยอกกับสื่อว่า "ทำไมใจร้ายกับท่านนายกฯ จังเลย เดี๋ยวต่อไปจะจำไว้แล้วนะ เกินไปแล้วนะ" จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์
'นักวิชาการสื่อ' วิพากษ์ 'เสียงล้อเลียนภาษาถึงเสียงผี' กับ หลักวิชาชีพจรรยาบรรณ
ดร.นันท์วิสิทธิ์ ตั้งแสงประทีป (นิพนธ์) อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และสื่อมวลชนอิสระ เผยแพร่บทความ เรื่อง จากเสียงล้อเลียนภาษาถึงเสียงผี ...จากสรยุทธ์ถึงกรรชัย มีเนื้่อหาดังนี้
ทำเนียบฯคึกคัก! สื่อเกาะติด 'คดีอิ๊งค์' จัดห้องโถงตึกไทยคู่ฟ้าแถลงข่าว
คึกคัก! สื่อไทย-นอกแห่เข้าทำเนียบฯ เกาะติด 'คดีอิ๊งค์' เจ้าหน้าที่เตรียมโถงกลางตึกไทยคู่ฟ้า ให้นายกฯ แถลงข่าวหลังศาลตัดสิน จัดห้องม่วงรองรับ รมต. ร่วมลุ้นคำวินิจฉัย
'นักวิชาการสื่อ' ตะลึง! ลอกข่าวแบบไม่เกรงใจ ไม่สนใจจรรยาบรรณ การกำกับดูแลทำไม่ได้จริง
ดร.นันท์วิสิทธิ์ ตั้งแสงประทีป (นิพนธ์) อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และสื่อมวลชนอิสระ เผยแพร่บทความ เรื่อง สงครามข่าวส่งด่วน...ก้าวข้ามจริยธรรม? มีเนื้อหาดังนี้
กลุ่มบริษัทพราว ร่วมกับสื่อมวลชนและอินฟลูเอนเซอร์รัสเซีย เปิดประสบการณ์การท่องเที่ยว 'หัวหิน-ภูเก็ต' สู่ตลาดรัสเซีย ชูไทยเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลกผ่าน Soft Power และความร่วมมือภาครัฐ-เอกชน
กลุ่มบริษัทพราว ผู้นำด้านการพัฒนา Lifestyle Destination ตอกย้ำบทบาทในฐานะผู้นำด้านการท่องเที่ยวระดับโลก เปิดบ้านต้อนรับคณะสื่อมวลชนและอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังจากรัสเซียที่มีผู้ติดตามมากกว่า 2–4 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นครีเอเตอร์รุ่นใหม่ด้านการท่องเที่ยวไลฟ์สไตล์และศิลปะ ภายใต้การนำของคุณศศิวัฒน์ ว่องสินสวัสดิ์ เอกอัครราชทูตไทยประจำสหพันธรัฐรัสเซีย เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว พร้อมประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ในไทย โดยเฉพาะ “หัวหิน–ภูเก็ต” ผ่านแนวคิด Soft Power
'นักวิชาการสื่อ' จวกยับ! ข่าวใต้สะดือดารา สะท้อน 'สื่อเสื่อม' เพราะทำตัวเอง
ดร.นันท์วิสิทธิ์ ตั้งแสงประทีป (นิพนธ์) อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และสื่อมวลชนอิสระ โพสต์บทความผ่าน เพจเฟซบุ๊ก Teejournalist หัวข้อ ข่าวใต้สะดือดาราสะท้อน “สื่อเสื่อม”เพราะทำตัวเอง มีเนื้อหาดังนี้


