'พรรคเศรษฐกิจ' ยก 4 เหตุผล ไทยไม่ควรเปิดให้ 'สหรัฐ' เข้ามามีบทระงับข้อพิพาทกับกัมพูชา

30ก.ค.2568 - นายคริส โปตระนันทน์ ประธานพรรคเศรษฐกิจ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า

ไทยกัมพูชา เคลียร์กันเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งมือต่างชาติ บทความกรณีความขัดแย้งไทย กัมพูชา
อธิปไตยเป็นของชาติไทย เราต้องไม่เปิดประตูให้ชาติอื่นเข้ามาแทรกแซง
ภายใต้หลักการในการรักษาไว้ซึ่ง “อธิปไตยไทย” และหลักการ “รัฐเล็กที่ทรงพลัง”
พรรคเศรษฐกิจขอย้ำว่า ประเทศไทยมีสิทธิในการจัดการความขัดแย้ง และอนาคต ได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาชาติอื่น
เมื่อวันที่ผ่านมา การที่สหรัฐอเมริกานำโดย ประธานาธิปดี เข้ามาเป็นผู้เจรจาสันติภาพนั้น พรรคเศรษฐกิจขอยืนยันว่า “ไม่จำเป็น” อีกทั้งการเจรจาเพื่อภาพแห่งสันติดังกล่าวยังถือว่าล้มเหลว กัมพูชายังไม่หยุดก่อสงคราม ทั้ง ๆ ที่มีการเจราจา หยุดยิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
กัมพูชากำลัง “เล่นใหญ่” เพื่อเชิญต่างชาติเข้ามา

กัมพูชากำลังใช้เกมดราม่าทางการทูตเพื่อทำให้ความขัดแย้งดูใหญ่โตเกินจริง ตั้งแต่การให้สัมภาษณ์กับสื่อ ตัดต่อภาพ ไปจนถึงการเล่นบทเหยื่อในเวทีระหว่างประเทศ ทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเดียวกันคือ “ดึงชาติใหญ่มาเลือกข้าง” และเปลี่ยนปัญหาทวิภาคีให้กลายเป็นเรื่องภูมิรัฐศาสตร์
นี่คือพฤติกรรมที่บั่นทอนสายสัมพันธ์ระหว่างสองชาติ และทำให้เราต้องตั้งคำถามว่า กัมพูชาอยากแก้ปัญหาจริง ๆ หรืออยากให้ใครเข้ามาเป็นเจ้าของพื้นที่ความขัดแย้งกันแน่

ในฐานะพรรคการเมืองที่ยึดแนวทาง “เอกราชของชาติ” และ “รัฐขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพ” เราขอแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า ประเทศไทยไม่ควรต้อนรับการเข้ามามีบทบาทของสหรัฐอเมริกาในการระงับข้อพิพาทกับกัมพูชา ด้วยเหตุผลสำคัญ 4 ประการ:

1. ความเสี่ยงต่อการทลายสมดุลของอำนาจของชาติมหาอำนาจ
การเปิดสนามให้ประเทศมหาอำนาจอื่นเข้ามาเล่นเกมแห่งอิทธิพลในภูมิภาค – การเปิดประตูให้อเมริกาเข้ามาเกี่ยวข้อง จะส่งผลให้ประเทศมหาอำนาจอื่นอย่างจีนและรัสเซียไม่อาจนิ่งเฉยได้ ทั้งสองประเทศต่างมีผลประโยชน์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่ออเมริกาเข้ามา ก็ยิ่งกระตุ้นให้จีนและรัสเซียต้องเข้ามามีบทบาทเช่นกัน ความขัดแย้งที่เริ่มจากกรณีพิพาทระดับทวิภาคีอาจบานปลายกลายเป็นการแข่งขันอำนาจระหว่างชาติมหาอำนาจ ทำให้ปัญหารุนแรงขึ้นโดยไม่จำเป็น
ตัวอย่างจากต่างประเทศ: สงครามกลางเมืองซีเรียเป็นกรณีตัวอย่างที่ชัดเจน เมื่อความขัดแย้งภายในประเทศซีเรียบานปลายไปถึงขั้นที่มหาอำนาจภายนอกทั้งสหรัฐฯ รัสเซีย ตลอดจนชาติอื่น ๆ เข้ามาแทรกแซง ซีเรียก็กลายเป็นสมรภูมิให้บรรดาประเทศใหญ่ขับเคี่ยวแข่งอิทธิพลกันในภูมิภาค ผลคือสงครามยิ่งทวีความรุนแรง และก่อวิกฤตด้านมนุษยธรรมครั้งใหญ่ (ประชากรกว่าครึ่งหนึ่งจาก 22 ล้านคนก่อนสงครามต้องพลัดถิ่นฐาน)

2. ต่างชาติเข้ามาเพราะต้องการผลประโยชน์ ไม่ใช่เพราะต้องการสันติภาพ
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ทั้งในด้านทรัพยากรและการทหาร ขณะที่จีนมีฐานทัพเรือที่เกาะกง ฝ่ายสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศสก็มีสัมปทานสำรวจพลังงานในอ่าวไทย โดยเฉพาะแหล่งน้ำมันนอกชายฝั่ง ซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองในช่วงนี้
หากไทยเปิดโอกาสให้สหรัฐฯ เข้ามาเป็น “ผู้ไกล่เกลี่ย” อาจกลายเป็นการเปิดทางให้เกิด “เงื่อนไขแอบแฝง” ที่ทำให้ไทยต้องแลกเปลี่ยนทรัพยากรและนโยบายกับความช่วยเหลือที่ดูเหมือนจะไร้ข้อผูกมัด แต่แท้จริงกลับแฝงผลประโยชน์ของเขาเต็มรูปแบบ
จากกรณีที่ผ่าน ๆ มา “ความช่วยเหลือ” จากต่างชาติมักแลกมาด้วยผลประโยชน์ที่ประเทศเล็กต้องเสียไป สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (DRC) เป็นกรณีศึกษา เมื่อสหรัฐฯ เสนอข้อตกลงด้านความมั่นคงแลกกับสิทธิในการเข้าถึงแหล่งแร่สำคัญในช่วงสงครามกลางเมือง หากไทยยอมเปิดทางให้มหาอำนาจเข้ามาเจรจาแทน ก็อาจพบว่าการคุ้มครองทรัพยากรของเราถูกเจรจาอยู่เบื้องหลังโดยไม่มีเสียงของประชาชน

3. ความเชื่อมโยงส่วนตัวระหว่างผู้นำกับคนกลางของอาเซียนที่น่ากังวล
การที่นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย แต่งตั้งนายทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจอาเซียน เป็นเรื่องที่ต้องตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมาว่า การจัดการปัญหาภายในอาเซียนกำลังถูกนำไปสู่ทิศทางใด และจะมีผลต่อการเจรจาระหว่างไทยกับกัมพูชาในอนาคตหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางสถานการณ์ของการแบ่งชิ้นเค้ก ที่ข้อสงสัยว่าอาจะมีการวางแผนระหว่างพ่อนายกทั้งสองประเทศ ในการแบ่งทรัพยกร ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทย

4. ไทยกับกัมพูชาคุยกันเองได้ ไม่ต้องมี “ผู้สอดแทรกจากภายนอก”
ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจมายาวนาน ไทยและกัมพูชาสามารถเจรจากันได้โดยตรงผ่านกลไกทวิภาคี ซึ่งเป็นแนวทางที่ทั้งสองประเทศเคยใช้มาโดยตลอด และประสบผลสำเร็จในหลายวาระ
การนำข้อพิพาทไปพึ่งอำนาจที่สาม นอกจากไม่ยุติข้อขัดแย้งแล้ว ยังอาจกลายเป็นชนวนให้ความขัดแย้งบานปลายจากระดับภูมิภาคสู่เวทีโลก โดยประชาชนในประเทศต้องเป็นผู้แบกรับผลกระทบทั้งด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ
ข้อเสนอของพรรคเศรษฐกิจ คือ ยึดแนวทางการแก้ไขปัญหาแบบทวิภาคี ไม่เชื้อเชิญมหาอำนาจภายนอก ไม่เปิดช่องให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซง ไม่เปลี่ยนความขัดแย้งของชาติให้กลายเป็นสมรภูมิแห่งการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจอีกครา

ประเทศไทยต้องยืนอยู่บนฐานของเสรีภาพ เอกราช และศักดิ์ศรี ไม่ว่ามหาอำนาจจะชื่อว่าอเมริกา จีน หรือรัสเซีย เราไม่อาจปล่อยให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของเราได้ นี่คือจุดยืนที่ไม่อาจต่อรองของพรรคเศรษฐกิจ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ความจริงที่อยู่เบื้องหลังสงครามไทย-กัมพูชา สงครามหมากล้อมระหว่างจีนและลุงแซม

ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก เรื่อง ความจริงที่อยู่เบื้องหลังสงครามไทย-กัมพูชา มีเนื้อหาดังนี้

‘สุริยะใส’ ชี้ไทยกล้าพูด ‘ไม่’ กับสหรัฐฯ คือสัญญาณเปลี่ยนเกมภูมิรัฐศาสตร์

รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยรังสิต วิเคราะห์ท่าทีผู้นำไทยที่ไม่ยอมอ่อนข้อด้านความมั่นคงตามแรงกดดันจากสหรัฐฯ มองเป็นการขยับสถานะประเทศจากผู้ตามสู่รัฐที่มีอำ

'อดีตสว.' ขอบคุณรัฐบาลจีน วางตัวเป็นกลาง หนุนแก้ข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ในระดับทวิภาคี

นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา อดีตประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนฯอดีตที่ปรึกษาและอดีตรองประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า #ขอบคุณจีน #ทวิภาคี

‘อันวาร์’ ขอบคุณ ‘อนุทิน’ ผลักดันสันติภาพชายแดนด้วยวิถีทางการทูต

ศูนย์การประชุมกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และการประชุมที่เกี่ยวข้อ

‘บิ๊กเล็ก’ ฮึ่มกัมพูชา! ถ้าถกจีบีซี-เจบีซีไม่คืบ ไทยไม่ลงนามสันติภาพ

รมว.กลาโหม ยื่นคำขาดกัมพูชา หากไม่ให้ความร่วมมือแก้ปัญหาชายแดน จีบีซีรอบนี้ถือเป็นครั้งสุดท้าย ระบุไทยทำเต็มที่ตามสากลแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าจะแก้ทุกอย่างด้วยสันติวิธี ลั่น “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด”