
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสตรัสระหว่างการประชุมผู้นำศาสนาต่างๆ ในคาซัคสถานเมื่อวันพุธว่า พระเป็นเจ้าไม่ได้ทรงชี้นําศาสนาไปสู่สงครามซึ่งเป็นการวิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่ต้องสงสัยไปถึงพระอัครบิดรคีริลล์ ประมุขของคริสตจักรรัสเซียออร์โธดอกซ์ซึ่งสนับสนุนการรุกรานยูเครนและคว่ำบาตรไม่เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้
รอยเตอร์รายงานเมื่อวันพุธที่ 14 กันยายน 2565 ว่าในวันที่สองของการเสด็จเยือนคาซัคสถานของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส พระองค์ตรัสในการประชุมสภาผู้นำศาสนาสำคัญของโลกครั้งที่ 7 (Seventh Congress of Leaders of World and Traditional Religions) ซึ่งเป็นการประชุมของผู้นำศาสนาคริสต์, ศาสนายิว, ศาสนาอิสลาม, ศาสนาพุทธ, ศาสนาฮินดูและผู้มีความเชื่ออื่นๆ
การประชุมครั้งนี้เป็นที่จับตาเนื่องจากพระอัครบิดรคีริลล์ประมุขของคริสตจักรรัสเซียออร์โธดอกซ์มีกำหนดเข้าร่วมประชุมด้วย แต่ต่อมาแถลงว่าไม่เดินทางมาร่วมประชุม โดย คริสตจักรรัสเซียออร์โธดอกซ์ส่งตัวแทนร่วมประชุม
โป๊ปฟรังซิสตรัสในที่ประชุมโต๊ะกลมขนาดใหญ่ที่พระราชวังอิสรภาพในกรุงนูร์-สุลตันของคาซัคสถานซึ่งเคยเป็นดินแตนของสหภาพโซเวียตว่า พระเป็นเจ้าเป็นองค์สันติสุข พระองค์นําทางเราเสมอในหนทางของสันติภาพ พระองค์ไม่เคยนำเราไปสู่สงคราม
พระองค์ตรัสด้วยว่า ขอให้เราให้คำมั่นสัญญากับตัวเราเองว่า เราจะยืนยันในความจําเป็นที่จะแก้ไขความขัดแย้งโดยไม่ใช้วิธีการที่ไม่เป็นผลของการใช้อํานาจ, ด้วยอาวุธและการข่มขู่คุกคาม แต่โดยวิธีเดียวที่ได้รับพรจากสวรรค์และคู่ควรของมนุษย์นั้นคือการมาพบหน้ากัน, การสานเสวนาและการเจรจาต่อรองอย่างอดทน
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสซึ่งเมื่อต้นปีนี้กล่าวพาดพึงถึงพระอัครบิดรคีริลล์ว่าไม่สามารถเป็น "เด็กช่วยพิธีมิสซา" ของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย ตรัสกับที่ประชุมเมื่อวันพุธว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องไม่เป็นเครื่องมือสําหรับอํานาจและอํานาจต้องไม่เป็นเครื่องมือให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
พระอัครบิดรคีริลล์ให้การสนับสนุนอย่างกระตือรือร้นต่อการรุกรานยูเครนของรัสเซียซึ่งมองว่ายูเครนเป็นป้อมปราการต่อต้านชาติตะวันตกที่คีริลล์เรียกว่าสิ่งเสื่อมโทรม
จุดยืนในเรื่องนี้ของพระอัครบิดรคีริลล์ทําให้เกิดความแตกแยกกับสำนักวาติกันและปลดปล่อยกบฏภายในของคริสตจักรรัสเซียออร์โธดอกซ์ นําไปสู่การตัดความสัมพันธ์ของคริสตจักรออร์โธดอกซ์ท้องถิ่นบางแห่งกับคริสตจักรรัสเซียออร์โธดอกซ์
โป๊ปฟรังซิสตรัสด้วยว่าขณะที่การก่อความรุนแรงด้วยการอ้างพระนามของพระเป็นเจ้า เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่ “ไวรัส” แห่งความเกลียดชังและการก่อการร้ายจะไม่ถูกกําจัดให้หมดไปหากปราศจากการขจัดความอยุติธรรมและความยากจนเสียก่อน และเสรีภาพในการนับถือศาสนาเป็นสิ่งจําเป็นสําหรับการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในสังคมใดๆ ไม่มีลัทธิใดมีสิทธิที่จะบีบบังคับผู้อื่นให้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่น
คาซักสถานประเทศในเอเชียกลางที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ มีผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกประมาณ 125,000 คนจากประชากรทั้งหมด 19 ล้านคน ราว 70% ของชาวคาซัคเป็นมุสลิมและประมาณ 26% นับถือศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสเป็นประธานในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณสำหรับชุมชนคาทอลิกในคาซัคสถานเมื่อบ่ายวันพุธ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
อดีตบิ๊กศรภ. ชี้เหตุผลสำคัญไม่ต้องกลัว 'สหรัฐ' ทิ้ง 'ไทย' แนะรัฐบาลมีจุดยืนมั่นคง
สำหรับพี่ไทยนั้น แม้จะไม่ยอมให้สหรัฐ เข้ามาตั้งฐานทัพ แต่สหรัฐ ก็หวงแหนประเทศไทยมาก เพราะภูมิศาสตร์ที่ตั้งของไทย สหรัฐยังใช้ประโยชน์ได้อีกหลายเรื่อง
'หลวงพ่ออลงกต' จากสมณเพศแห่งธรรม สู่ผ้าเหลืองในตลาดศรัทธา!
สมณเพศ ที่ควรสูงส่งดัง ระฆังศรัทธากลับแตกกังวานเป็นเสียง บัญชีและตัวเลข “หลวงพ่ออลงกต” คือภาพฉายว่าเมื่อ บาตร กลายเป็น ภาชนะรั่วไหล และ ผ้าเหลือง ถูกแขวนขายกลาง ตลาดบุญ สิ่งที่สังคมสูญเสียมิใช่พระรูปเดียวแต่คือรอยร้าวใหม่ที่สั่นคลอนความเชื่อในพุทธศาสนา
โฆษกรัฐบาล ตามแก้เฟกนิวส์เขมร กุข่าวไทยประกาศสงคราม หวั่นประชาชนหลงเชื่อ
รัฐบาล ยืนยันไม่มีเรียกประชุมรัฐสภา เพื่อประกาศสงครามกับกัมพูชา แจงสภาฯประชุม สว.เป็นปกติอยู่แล้ว ขอประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวเท็จบิดเบือน
'ช่อ พรรณิการ์' กับ 'เวลาของฮีโร่' ใครได้ประโยชน์จากสงครามไม่จบ?
“มีคนไม่อยากให้สงครามจบ เพราะช่วงเวลาที่เกิดสงคราม คือเวลาที่ตนเป็นฮีโร่หรือไม่” ถ้อยคำของ ช่อ พรรณิการ์ สะดุดใจทันทีที่ได้ยิน เพราะมันไม่ใช่เพียงประโยคถามเล่นๆ แต่คือการท้าทายที่ชวนให้สังคมต้องหยุดคิด ว่าใครกันแน่ที่ได้ประโยชน์จาก สงครามไม่จบ?
อดีตบิ๊กข่าวกรองซัดรัฐบาลคิดไม่เหมือนคนไทยทั้งชาติ!
นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
'รัฐบาล-ฝ่ายค้าน' หายไปไหน! คนไทยถึงไว้ใจกองทัพมากกว่า
นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ "ศรัทธาต่อประชาธิปไตยหายไปไหน"


