ผู้คนนับพันเดินขบวนขับไล่ประธานาธิบดีในเปรู

ผู้ประท้วงหลายพันคนเดินขบวนไปตามท้องถนนในกรุงลิมา เพื่อเรียกร้องให้ถอดถอนประธานาธิบดีเปโดร กัสติโย ซึ่งถูกสอบสวนเรื่องการทุจริตมากถึง 6 กรณี

ผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลเดินขบวนตามท้องถนน เพื่อประท้วงขับไล่และกดดันประธานาธิบดีเปโดร กัสติโย ของเปรูให้ลาออกจากตำแหน่ง ในกรุงลิมา ประเทศเปรู เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน (Photo by ERNESTO BENAVIDES / AFP)

เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน 2565 กล่าวว่า ชาวเปรูรวมตัวกันบนท้องถนน เพื่อเดินประท้วงให้มีการถอดถอนประธานาธิบดีเปโดร กัสติโย ผู้นำประเทศที่เผชิญข้อหาทุจริตหลายกระทง

ขบวนประท้วงซึ่งนำโดยพรรคฝ่ายค้านฝั่งตรงข้ามของรัฐบาลกัสติโย เดินลงถนนใจกลางกรุงลิมาพร้อมธงชาติเปรูผืนใหญ่ ขณะที่ตำรวจปราบจลาจลหลายสิบนายพยายามสกัดกั้นด้วยการใช้แก๊สน้ำตา เพื่อป้องกันไม่ให้ขบวนประท้วงไปถึงรัฐสภาและทำเนียบรัฐบาล

การเดินขบวนประท้วงไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในเมืองหลวงเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นในเมืองอื่นๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มการเมืองและสมาคมพลเรือน

ในเวลาเดียวกัน ก็มีการรวมกลุ่มของสหภาพแรงงานที่ออกมาเดินขบวนเพื่อสนับสนุนประธานาธิบดีกัสติโยด้วยเช่นกัน ที่จัตุรัสซานมาร์ตินในกรุงลิมา

ตั้งแต่คว้าชัยอย่างพลิกล็อกจากการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว เปโดร กัสติโย อดีตครูโรงเรียนชนบท ก็ถูกโจมตีอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มการเมืองเดิมของเปรู

เขารอดจากกรณีฟ้องร้อง 2 ครั้งนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งประธานาธืบดีในเดือนกรกฎาคมปี 2564 และเป็นเป้าหมายของการสอบสวนทางอาญา 6 ครั้งในข้อหารับสินบนและลอกเลียนวิทยานิพนธ์ระดับมหาวิทยาลัย

นอกจากนี้ เมื่อเดือนที่แล้วอัยการสูงสุดของเปรูได้ยื่นคำร้องตามรัฐธรรมนูญ และตั้งข้อกล่าวหาว่ากัสติโยเข้าข่ายเป็นหัวหน้าองค์กรอาชญากรรม รวมทั้งครอบครัวและพันธมิตรของเขาก็โดนข้อหาดังกล่าวด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ดี กัสติโยซึ่งมีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปีซึ่งสิ้นสุดในปี 2569 จะไม่ถูกดำเนินคดีทางอาญาขณะอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดี เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ฉนั้นหากต้องการให้มีการลงโทษคดีอาญาใดๆต่อประธานาธิบดี จะต้องทำให้มีการพ้นจากตำแหน่งเสียก่อน ไม่ว่าจะลาออกหรือถูกถอดถอนก็ตาม

กัสติโยกล่าวที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันเสาร์ว่า เขาจะไม่ลาออก และจะอยู่จนครบวาระ เพราะได้รับฉันทามติจากคะแนนเสียงเลือกตั้งของประชาชน พร้อมทั้งยืนยันว่าเขาตกเป็นเหยื่อของการรณรงค์ให้ถอดถอนจากอำนาจ โดยกลุ่มการเมืองฝั่งตรงข้าม.