เลือกตั้งทั่วไปมาเลเซียเริ่มขึ้นแล้ว คาดได้รัฐบาลผสม

ประชาชนมาเลเซียออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยพรรคอัมโนของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันมีคะแนนสูสีกับพรรคฝ่ายค้านที่นำโดยอันวาร์ อิบราฮิม คาดท้ายที่สุดไม่มีพรรคใดได้คะแนนเสียงข้างมาก

อิสมาอิล ซาบรี ยาคอบ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของมาเลเซีย โชว์นิ้วเปื้อนหมึกให้กล้องถ่ายภาพขณะลงคะแนนเสียงที่หน่วยเลือกตั้งระหว่างการเลือกตั้งทั่วไปในเมืองเบรา รัฐปะหัง ของมาเลเซีย เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน (Photo by Mohd RASFAN / AFP)

เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2565 กล่าวว่า พรรคอัมโนของอิสมาอิล ซาบรี ยาคอบ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ได้รับการคาดหมายว่าจะขับเคี่ยวอย่างสูสีกับอันวาร์ อิบราฮิม ผู้นำฝ่ายค้านคนปัจจุบันจากพรรคยุติธรรมประชาชน โดยมีอดีตนายกรัฐมนตรีมหาธีร์ โมฮัมหมัด วัย 97 ปี จากพรรคโฮมแลนด์ ไฟท์เตอร์ เป็นตัวสอดแทรกในการเลือกตั้งทั่วไปของมาเลเซียเมื่อวันเสาร์

เสถียรภาพของรัฐบาลชุดปัจจุบันต้องถูกสั่นคลอนจากคดี 1MDB ของอดีตนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัก จากพรรคอัมโน จนทำให้เกิดการเลือกตั้งใหม่เร็วขึ้นกว่ากำหนดการณ์ตามปกติถึง 10 เดือน และพรรคฝ่ายค้าน นำโดยอันวาร์ อิบราฮิม ได้ใช้ประเด็นดังกล่าวในการรณรงค์หาเสียง พร้อมให้คำมั่นสัญญาต่อต้านการทุจริต ซึ่งส่งผลร้ายต่อระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การทุจริตถูกนำมาใช้เป็นประเด็นหลักในการหาเสียง โดยพรรคฝ่ายค้านได้ย้ำเตือนหลายครั้งว่า หากพรรคอัมโนชนะ อดีตนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซักที่ถูกจำคุกในข้อหาทุจริตกองทุน 1MDB จะได้รับการปล่อยตัวออกมาเป็นอิสระ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้

ประชาชนมาเลเซียให้การตอบรับการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นอย่างดี เห็นได้จากแถวยาวเหยียดหน้าหน่วยเลือกตั้งแต่ละแห่งทั่วประเทศ แม้จะมีฝนโปรยปรายในหลายพื้นที่ก็ตาม

มาเลเซียมีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเพิ่มขึ้นมา 6 ล้านคนในการเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะได้แก้กฏหมายลดอายุผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจากเริ่มต้นที่อายุ 21 ปี ลงมาเหลือ 18 ปีในปีที่แล้ว ทำให้ครั้งนี้มีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด 21 ล้านคน

นักวิชาการคาดกันว่า ถึงแม้จะมีคะแนนเสียงคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้นมากในการเลือกตั้งครั้งนี้และอาจเทคะแนนให้อันวาร์ อิบราฮิม แต่พรรคอัมโนซึ่งเป็นพรรครัฐบาลปัจจุบันมีฐานคะแนนเสียงแน่นหนาทั้งในเขตชนบท และในวงธุรกิจ จะทำให้คะแนนเบียดสูสี และผลที่ได้คือจะไม่มีพรรคใดพรรคหนึ่งได้คะแนนเสียงเกินครึ่งเพื่อจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว แต่จะกลายเป็นรัฐบาลผสม ซึ่งอาจกลับเข้าสู่ปัญหาด้านเสถียรภาพเหมือนในรัฐบาลที่ผ่านๆมา.