จังหวัดอาเจะห์ของอินโดนีเซียจัดการลงโทษโบยต่อหน้าธารกำนัลเมื่อวันพฤหัสบดี ผู้กระทำผิดฝ่ายหญิงซึ่งมีสามีแล้วรับสารภาพว่าคบชู้และโดนลงโทษโบย 100 ครั้ง ส่วนฝ่ายชายชู้ปฏิเสธจึงโดนโบยแค่ 15 ครั้ง

รายงานเอเอฟพีเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม 2565 กล่าวว่า จังหวัดอาเจะห์ของอินโดนีเซียจัดการลงโทษด้วยการเฆี่ยนโบยตามหลักกฎหมายอิสลามอีกครั้ง ถึงแม้ว่าวิธีการลงโทษกลางที่สาธารณะดังกล่าวจะถูกกลุ่มสิทธิมนุษยชนวิจารณ์ว่าโหดร้าย และประธานาธิบดีโจโก วิโดโด เคยขอร้องให้ยุติก็ตาม แต่ประชากรอาเจะห์ยังคงสนับสนุน โดยการลงโทษเมื่อวันพฤหัสบดีมีคนหลายสิบคนมาดู ถ่ายภาพและวิดีโอแล้วนำไปเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดียด้วย
อีวาน นัจจาร์ อลาวี หัวหน้าแผนกสอบสวนทั่วไปของสำนักงานอัยการอาเจะห์ตะวันออก กล่าวว่า ศาลตัดสินลงโทษฝ่ายหญิงหนักกว่า เนื่องจากเธอรับสารภาพต่อพนักงานสอบสวนว่าเธอมีเพศสัมพันธ์นอกสมรส ส่วนฝ่ายชายซึ่งเคยเป็นหัวหน้าสำนักงานประมงอาเจะห์ตะวันออกนั้น ผู้พิพากษายากจะตัดสินว่าเขาผิด เพราะเขาปฏิเสธทุกข้อหา
"ระหว่างการพิจารณาคดี เขาไม่ยอมรับอะไรเลย ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เหตุนี้ (ผู้พิพากษา) จึงไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขามีความผิด" อลาวีกล่าวกับนักข่าวภายหลังการลงโทษตามกฎหมายชารีอะห์เมื่อวันพฤหัสบดี
เมื่อเอาผิดไม่ได้ ผู้พิพากษาจึงตัดสินลงโทษเขาด้วยข้อหาอื่น โดยระบุว่าเขามีความผิดฐานแสดงความรักใคร่ต่อหญิงอื่นที่มิใช่ภรรยา หลังจากมีชาวบ้านหลายคนพบเห็นทั้งคู่ที่สวนปาล์มน้ำมันเมื่อปี 2561 เดิมศาลลงโทษโบยเขา 30 ที แต่เขาอุทธรณ์ต่อศาลชารีอะห์สูงสุดสำเร็จ และได้ลดโทษโบยเหลือ 15 ที

ผู้สื่อข่าวเอเอฟพีในพื้นที่กล่าวว่า การลงโทษโบยผู้หญิงคนนี้เมื่อวันพฤหัสบดีต้องหยุดพักช่วงสั้นๆ ด้วย เพราะเธอทนความเจ็บปวดไม่ไหว
อาเจะห์เป็นภูมิภาคเดียวในอินโดนีเซียที่ใช้กฎหมายอิสลาม โดยเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงปกครองตนเองเมื่อปี 2548 ที่ทำไว้กับรัฐบาลกลาง เพื่อยุติการต่อสู้แบ่งแยกดินแดนยาวนานหลายทศวรรษ กฎหมายนี้ใช้วิธีการลงโทษด้วยการโบยสำหรับโทษเช่น เล่นการพนัน, คบชู้, ดื่มสุรา และมีเพศสัมพันธ์แบบเพศเดียวกัน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
“ทีมไทยแลนด์”
พูดถึงบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ทุกคนล้วนนึกถึงเรื่องการท่องเที่ยว ภาพชายหาดทอดยาวสุดลูกตา ความสวยงามที่ธรรมชาติสรรค์สร้าง
'กรณ์' เตือนรัฐบาลเตรียมรับมือราคาน้ำมันปาล์มพุ่ง
'กรณ์' เตือนรัฐบาลอย่ากระพริบตาหลังอินโดฯ ประกาศงดส่งออกน้ำมันปาล์ม หวั่นผู้บริโภคถูกซ้ำเติมจากภาวะแพงทั้งแผ่นดินอีกระลอก