สันตะปาปาฟรานซิสทรงบรรมทมนิรันดร์ในกรุงโรม ท่ามกลางผู้ร่วมพิธีกว่า 400,000 คน

ผู้คนหลายแสนและบรรดาผู้นำโลกร่วมกล่าวคำอำลาพระสันตะปาปาฟรานซิส ผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตาต่อคนยากไร้และผู้สร้างคริสตจักรคาทอลิกแห่งความกรุณาตลอดระยะเวลาของการดำรงตำแหน่งประมุขแห่งวาติกัน

บรรดาผู้ศรัทธาเข้าร่วมพิธีพระบรมศพของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ณ จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ในนครวาติกัน เมื่อวันที่ 26 เมษายน (Photo by Tiziana FABI / AFP)

โลงพระศพของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสถูกหามเข้าสู่มหาวิหารซานตามาเรียมัจโจเร ในกรุงโรม เมื่อวันที่ 26 เมษายน (Photo by Stefano Costantino / AFP)

พิธีฝังโลงพระศพของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ที่มหาวิหารซานตามาเรียมัจโจเร ในกรุงโรม ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 26 เมษายน (Photo by Handout / VATICAN MEDIA / AFP)

เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันเสาร์ที่ 26 เมษายน 2568 กล่าวว่า ในพิธีพระบรมศพอันยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส มีผู้คนจำนวนมากรวมทั้งบรรดาผู้นำโลกเข้าร่วมเพื่อส่งเสด็จและกล่าวคำอำลาสุดท้ายแด่โป๊บแห่งคริสตจักรคาทอลิกที่เปี่ยมด้วยความเมตตากรุณา

สำนักวาติกันกล่าวว่ามีผู้คนกว่า 400,000 คนรวมตัวกันที่จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์และยืนเรียงรายตามท้องถนนในกรุงโรมเพื่อร่วมพิธีครั้งนี้

หลังเสร็จสิ้นพิธีอันเคร่งขรึม โลงพระศพไม้ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงชีวิตแห่งความสมถะของพระสันตะปาปาแห่งอาร์เจนตินา ถูกเคลื่อนย้ายอย่างช้าๆ ออกจากวาติกันไปยังมหาวิหารซานตามาเรียมัจโจเรในกรุงโรมซึ่งจะเป็นที่บรรทมสุดท้ายของพระองค์ตามที่ทรงสั่งเสียไว้ในพินัยกรรม

เหล่าพระคาร์ดินัลทำเครื่องหมายบนโลงพระศพของพระองค์ด้วยตราประทับขี้ผึ้งสีแดงก่อนฝังลงในหลุมที่ตั้งอยู่ในซอกหลืบ ตามภาพที่เผยแพร่โดยวาติกัน

ผู้แบกโลงพระศพสวมถุงมือสีขาว 14 คนหามโลงพระศพเข้าไปในโบสถ์ ในขณะที่เด็กๆ วางตะกร้าดอกไม้ไว้ที่แท่นบูชา และคณะนักร้องประสานเสียงขับร้องเพลงสวดภาวนา

ที่หลุมพระศพหินอ่อนจารึกด้วยคำเพียงคำเดียวว่า "ฟรานซิสคัส" ซึ่งเป็นพระนามพระสันตะปาปาในภาษาละติน

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯเป็นหนึ่งในบรรดาผู้นำรัฐมากกว่า 50 คนที่เข้าร่วมพิธีพระบรมศพ เขาได้พบกับผู้นำโลกหลายคนในมุมหนึ่งของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ โดยเฉพาะประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน ซึ่งเป็นการพบกันครั้งแรกนับตั้งแต่การปะทะคารมที่ทำเนียบขาวในเดือนกุมภาพันธ์

สันตะปาปาฟรานซิสซึ่งสิ้นพระชนม์ด้วยพระชนมายุ 88 พรรษา ทรงเป็นพระสันตะปาปาท่ามกลางประชาชนผู้มีหัวใจที่เปิดกว้าง, ผู้ซึ่งมุ่งมั่นเพื่อคริสตจักรคาทอลิกที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่นและมีความเอื้ออาทร ตามคำประกาศพระเกียรติโดยพระคาร์ดินัลจิโอวานนี บัตติสตา เร ซึ่งเป็นผู้นำพิธีดังกล่าว

มีเสียงปรบมือจากฝูงชนที่รวมตัวกันภายใต้ท้องฟ้าอันสดใส ขณะที่ผู้นำพิธียกย่องความเชื่อมั่นของพระสันตะปาปาที่ว่า "คริสตจักรเป็นบ้านสำหรับทุกคน เป็นบ้านที่มีประตูเปิดอยู่เสมอ"

สันตะปาปาฟรานซิสทรงพยายามนำคริสตจักรให้มุ่งไปสู่ทิศทางที่ครอบคลุมมากขึ้นในช่วง 12 ปีที่ดำรงตำแหน่ง และการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ได้กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกต่างๆ ทั่วโลก

อิตาลีและวาติกันร่วมกันจัดปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยครั้งใหญ่สำหรับพิธีนี้ โดยมีเครื่องบินขับไล่เตรียมพร้อมและมือปืนประจำการบนหลังคาโดยรอบนครรัฐเล็กๆ แห่งนี้

พระคาร์ดินัลในชุดคลุมสีแดงและบาทหลวงในชุดหมวกสีม่วงนั่งที่ด้านหนึ่งของแท่นบูชาในจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ระหว่างพิธีพระบรมศพ โดยมีบุคคลสำคัญจากทั่วโลกนั่งฝั่งตรงข้าม

ด้านหน้าแท่นบูชา มีเพียงโลงพระศพไม้สนไซเปรสที่เรียบง่ายของพระสันตะปาปาซึ่งฝังด้วยไม้กางเขนสีซีด

พิธีพระบรมศพดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นของการไว้อาลัยอย่างเป็นทางการของวาติกันเป็นเวลา 9 วันให้กับสันตะปาปาฟรานซิสซึ่งเข้ารับตำแหน่งต่อจากสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ที่ทรงสละบัลลังในปี 2013

หลังจากการไว้อาลัย บรรดาพระคาร์ดินัลที่มีอายุต่ำกว่า 80 ปีจะรวมตัวเพื่อเลือกสันตะปาปาพระองค์ใหม่ที่จะมาจากกลุ่มของพวกเขาเอง

ทั้งนี้ การปฏิรูปหลายอย่างของสันตะปาปาฟรานซิสทำให้ผู้ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมไม่พอใจ ในขณะที่การวิพากษ์วิจารณ์ของพระองค์ ตั้งแต่การปฏิบัติต่อผู้อพยพไปจนถึงความเสียหายที่เกิดจากภาวะโลกร้อน ทำให้ผู้นำโลกหลายคนไม่พอใจ

อย่างไรก็ตาม ความเห็นอกเห็นใจและเสน่ห์ของอดีตพระอัครสังฆราชหรืออาร์คบิชอปแห่งบัวโนสไอเรสทำให้พระองค์ได้รับความรักและความเคารพจากทั่วโลก

"ท่าทีและคำเตือนใจของพระองค์ที่สนับสนุนผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นนั้นมีมากมายนับไม่ถ้วน" พระคาร์ดินัลจิโอวานนี บัตติสตา เร กล่าวสรรเสริญ

ผู้นำพิธีเล่าถึงการเดินทางครั้งแรกของพระสันตะปาปาฟรานซิสไปยังเกาะลัมเปดูซาในอิตาลี ซึ่งเป็นท่าจอดเรือแห่งแรกสำหรับผู้อพยพจำนวนมากที่ข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมา ตลอดจนเมื่ออาร์เจนตินาประกอบพิธีมิสซาที่ชายแดนระหว่างเม็กซิโกและสหรัฐอเมริกา

รัฐบาลของทรัมป์ทำให้พระสันตะปาปาโกรธเคืองที่ส่งผู้อพยพจำนวนมากกลับประเทศ แต่ประธานาธิบดีสหรัฐฯกลับยกย่องสรรเสริญพระองค์ว่าเป็น "คนดีที่รักโลก"

ทรัมป์เดินทางต่างประเทศเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งวาระที่สอง โดยนั่งร่วมกับผู้นำมากมายซึ่งหลายคนเลือกบทสนทนาเกี่ยวกับสงครามการค้าที่เขาเป็นผู้ก่อขึ้น รวมถึงหัวข้ออื่นๆ

ทำเนียบขาวกล่าวเมื่อวันเสาร์ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ได้พบกับเซเลนสกีและได้พูดคุยหาทางออกในประเด็นสงครามกับรัสเซีย

ยูเครนเองก็เผยแพร่ภาพถ่ายการพบปะดังกล่าว โดยชายสองคนนั่งเผชิญหน้ากันบนเก้าอี้สีแดงและสีทองในอาสนวิหาร รวมถึงภาพถ่ายอีกภาพหนึ่งที่แสดงให้เห็นเซเลนสกีพูดคุยอยู่กับทรัมป์, นายกฯเคียร์ สตาร์เมอร์ ของอังกฤษ และประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส

ในคำสรรเสริญ ผู้นำพิธีได้เน้นย้ำถึงการเรียกร้องสันติภาพอย่างต่อเนื่องของสันตะปาปาฟรานซิส และกล่าวว่าพระองค์ได้เรียกร้องให้ใช้เหตุผลและการเจรจาที่ซื่อสัตย์ในความพยายามที่จะยุติความขัดแย้งที่กำลังลุกลามไปทั่วโลก

"สร้างสะพาน ไม่ใช่กำแพง" เป็นคำเตือนที่พระองค์ตรัสซ้ำแล้วซ้ำเล่า พระคาร์ดินัลกล่าว

โจ ไบเดน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯเข้าร่วมพิธีพร้อมกับอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ, นายกฯโอลาฟ ชอลซ์ ของเยอรมนี, นายกฯจอร์เจีย เมโลนี ของอิตาลี และประธานาธิบดีโจเซฟ อูน ของเลบานอน

อิสราเอลซึ่งโกรธแค้นต่อการวิจารณ์สงครามในฉนวนกาซาของสันตะปาปาฟรานซิส ได้ส่งเพียงเอกอัครราชทูตเข้าร่วมพิธี ขณะที่จีนซึ่งไม่มีความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับวาติกัน ไม่ได้ส่งตัวแทนมา

สันตะปาปาฟรานซิสสิ้นพระชนม์ด้วยโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจล้มเหลว หลังเสด็จออกจากโรงพยาบาลซึ่งพระองค์ต่อสู้กับโรคปอดบวมนานถึงห้าสัปดาห์

พระสันตะปาปาองค์ที่ 266 ของคริสตจักรทรงรักที่จะอยู่ท่ามกลางฝูงแกะของพระองค์, ถ่ายเซลฟี่กับผู้ศรัทธาและจูบทารก และทรงนิยมการเสด็จเยี่ยมเยือนพื้นที่รอบนอกมากกว่าศูนย์กลางหลักของนิกายโรมันคาทอลิก

การปรากฏพระองค์ต่อสาธารณชนครั้งสุดท้ายก่อนการสิ้นพระชนม์ คือการให้พรแก่โลกเนื่องในวันอีสเตอร์ ซึ่งเป็นการสิ้นสุดตำแหน่งพระสันตะปาปาของพระองค์เช่นเดียวกับที่พระองค์เริ่มต้นขึ้น นั่นคือ การวิงวอนขอให้ปกป้อง "ผู้เปราะบาง, ผู้ถูกละเลย และผู้อพยพ"

ชาวคาทอลิกทั่วโลกรวมตัวกันตามสถานที่ต่างๆเพื่อชมการถ่ายทอดสดพิธีพระบรมศพ รวมถึงในกรุงบัวโนสไอเรสซึ่งเป็นบ้านเกิดของพระองค์

ผู้ที่ศรัทธาต่างสรรเสริญพระองค์ในบทบาทของผู้เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อคริสตจักร และช่วยฟื้นฟูศรัทธาหลังจากหลายทศวรรษที่เกิดเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศของนักบวช

แต่บางคนมองว่าพระองค์เป็นคนหัวรุนแรงที่อนุญาตให้ผู้ศรัทธาที่หย่าร้างและแต่งงานใหม่รับศีลมหาสนิท, เห็นด้วยกับการเข้าพิธีศีลล้างบาปของผู้ศรัทธาที่เป็นคนข้ามเพศ, ให้พรแก่คู่รักเพศเดียวกัน และปฏิเสธที่จะตัดสินชาวคาทอลิกที่เป็นเกย์

ถึงกระนั้น พระองค์ยังคงยึดมั่นในหลักคำสอนที่สืบทอดกันมาหลายศตวรรษ โดยเฉพาะการยืนหยัดอย่างมั่นคงในหลักคำสอนที่คริสตจักรต่อต้านการทำแท้ง

พระองค์ทรงพยายามอย่างหนักมาตลอดเพื่อสร้างคริสตจักรที่มุ่งมั่นในการดูแลปัญหาของผู้คนและขจัดความวิตกกังวลอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้โลกในปัจจุบันแตกสลาย โดยปรารถนาอย่างแรงกล้าในการสร้างคริสตจักรที่สามารถก้มหัวให้กับทุกคน โดยไม่คำนึงถึงความเชื่อหรือสภาพของพวกเขา ตลอดจนหยิบยื่นความช่วยเหลือและรักษาบาดแผลของคนเหล่านั้นโดยไม่เลือกปฏิบัติ.

เพิ่มเพื่อน