ทรัมป์ปลื้มต้อนรับอบอุ่นในการเยือนสหราชอาณาจักร แม้มีม็อบต้าน

นายกรัฐมนตรีอังกฤษให้การต้อนรับโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นที่ยากลำบากต่างๆ รวมถึงการค้า, ยูเครน และฉนวนกาซา ขณะที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยกย่องการเยือนครั้งนี้ว่าเป็นเกียรติอันสูงสุด

นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ ของอังกฤษ และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา หารือทวิภาคี ณ เช็กเกอส์ ในเมืองเอลส์เบอรี ทางตอนกลางของอังกฤษ เมื่อวันที่ 18 กันยายน (Photo by ANDREW CABALLERO-REYNOLDS / AFP)

เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน 2568 กล่าวว่า หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ร่วมพิธีเฉลิมฉลองอันโอ่อ่าที่พระราชวังวินด์เซอร์ในการเยือนสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการครั้งที่สองของตนเอง เขาได้ใช้โอกาสในการพบปะเพื่อเจรจาในหลายประเด็นกับผู้นำอังกฤษ

นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ให้การต้อนรับผู้นำสหรัฐที่เช็กเกอส์ (Chequers) ซึ่งเป็นคฤหาสน์ที่พำนักอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร

ผู้นำอังกฤษได้ประกาศข่าวดีเกี่ยวกับการลงทุนมูลค่า 150,000 ล้านปอนด์ในสหราชอาณาจักรจากบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงไมโครซอฟท์และแบล็กสโตน

"งาน, การเติบโต และโอกาส คือสิ่งที่ผมสัญญาไว้สำหรับคนทำงาน และนั่นคือสิ่งที่การเยือนอย่างเป็นทางการครั้งนี้มอบให้" สตาร์เมอร์กล่าว

เขาได้วางตำแหน่งตัวเองเป็นสะพานเชื่อมระหว่างผู้นำสหรัฐกับพันธมิตรยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสงครามยูเครน เพื่อโน้มน้าวให้ทรัมป์มอบความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่รัฐบาลเคียฟ

บุคลิกอันอบอุ่นของสตาร์เมอร์ที่มีต่อทรัมป์ ทำให้สงครามการค้าของประธานาธิบดีมีท่าทีผ่อนปรนลงบ้าง โดยทั้งสองประเทศได้ลงนามใน "ข้อตกลงความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ" ที่ทำเนียบขาวในเดือนพฤษภาคม

สหราชอาณาจักรหวังว่าจะได้รับสัมปทานเพิ่มเติม และกระตือรือร้นที่จะเห็นการลดภาษีนำเข้าอะลูมิเนียมและเหล็ก 25% ลงเหลือศูนย์ แต่ข้อตกลงดังกล่าวยังไม่น่าจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้

อย่างไรก็ตาม การเจรจาอาจกลายเป็นเรื่องน่าอึดอัดในหลายประเด็น โดยสตาร์เมอร์กำลังเผชิญกับปัญหาทางการเมืองภายในประเทศหลังจากปลดปีเตอร์ แมนเดลสัน เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำกรุงวอชิงตัน ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากความโกลาหลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของนักการทูตท่านนี้กับเจฟฟรีย์ เอปสไตน์ อดีตผู้กระทำความผิดทางเพศในสหรัฐฯ

เอปสไตน์ยังคงหลอกหลอนทรัมป์ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีการเปิดเผยเพิ่มเติมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ในช่วงทศวรรษ 1990 และประเด็นนี้อาจปรากฏขึ้นในการแถลงข่าวในวันพฤหัสบดีนี้

แต่ในวันพุธ ผู้นำสหรัฐฯ มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสตลอดวัน เมื่อเขาได้รับความตระการตาและบรรยากาศอันโอ่อ่าของอังกฤษ

พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ทรงต้อนรับทรัมป์ ณ พระราชวังวินด์เซอร์ ด้วยการแสดงอันยิ่งใหญ่ที่มีทั้งการยิงสลุต, การขี่ม้า และการเป่าปี่สก็อต

ม้าราว 120 ตัว และทหารอังกฤษ 1,300 นาย ซึ่งบางคนสวมชุดสีแดงและหมวกปีกสีทอง ได้ร่วมแสดงความยินดีกับทรัมป์ในพิธีกองเกียรติยศ ซึ่งเจ้าหน้าที่อังกฤษเรียกว่าเป็นการเยือนอย่างเป็นทางการครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

ประธานาธิบดีสหรัฐและกษัตริย์อังกฤษปิดท้ายวันด้วยงานเลี้ยงอาหารค่ำแบบผูกไทด์ขาวที่มีแขก 160 คนเข้าร่วม รวมถึงเชื้อพระวงศ์ระดับสูง, มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ, รูเพิร์ต เมอร์ด็อก เจ้าพ่อสื่อ, ทิม คุก ซีอีโอของแอปเปิล และนิค ฟัลโด นักกอล์ฟ

ก่อนงานเลี้ยงอาหารค่ำ ทรัมป์กล่าวกับแขกเหรื่อว่าการเยือนอย่างเป็นทางการครั้งนี้ "เป็นหนึ่งในเกียรติยศสูงสุดในชีวิตของผมอย่างแท้จริง" โดยบรรยายถึงสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาว่าเป็น "สองโน้ตในคอร์ดเดียว และแต่ละโน้ตล้วนไพเราะในตัวเอง แต่แท้จริงแล้วควรค่าแก่การเล่นร่วมกัน"

ในพระราชดำรัส กษัตริย์ทรงยกย่อง "ความมุ่งมั่นของทรัมป์ในการหาทางออกให้กับความขัดแย้งที่ยากจะแก้ไขได้ของโลก"

แต่พระองค์ยังทรงเน้นย้ำถึงพันธกรณีด้านสิ่งแวดล้อมที่ผู้นำพึงมีต่อลูกหลานและผู้สืบทอด

เมลาเนีย ทรัมป์ สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ยังคงอยู่ในวินด์เซอร์ในเช้าวันพฤหัสบดี ซึ่งเธอมีกำหนดจะเยี่ยมชมบ้านตุ๊กตาของพระราชินีแมรีพร้อมกับพระราชินีคามิลลา

อย่างไรก็ตาม การมาเยือนของทรัมป์กลับได้รับการต่อต้านจากสาธารณชนชาวอังกฤษ โดยมีผู้คนประมาณ 5,000 คนเดินขบวนผ่านใจกลางกรุงลอนดอนเมื่อวันพุธ พร้อมโบกธงปาเลสไตน์และถือป้ายที่มีข้อความ เช่น "ยินดีต้อนรับผู้อพยพ แต่ไม่ยินดีต้อนรับทรัมป์".

เพิ่มเพื่อน