โดนัลด์ ทรัมป์เปิดตัวโครงการบัตรทองทรัมป์มูลค่า 1 ล้านดอลลาร์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ชาวต่างชาติผู้มีเงินซื้อวีซ่าในการเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกาได้ง่ายขึ้น และยังอนุมัติเพิ่มค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B เป็น 100,000 ดอลลาร์ สร้างความกังวลเป็นวงกว้างต่อแรงงานทักษะ

โปสเตอร์ "บัตรทองทรัมป์" ถูกตั้งแสดงไว้ข้างโต๊ะของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่กำลังลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร ณ ห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 19 กันยายน (Photo by Andrew Harnik / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / Getty Images via AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน 2568 กล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เปิดตัวโครงการ "บัตรทองทรัมป์" มูลค่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเขาเคยนำเสนอก่อนหน้านี้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ชาวต่างชาติผู้มีเงินสามารถซื้อวีซ่าในการเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกาได้ง่ายขึ้น
การลงนามในคำสั่งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาซึ่งสร้างช่องทางใหม่ในการขอถิ่นที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาอย่างเร่งด่วน ยังเปิดช่องให้หน่วยธุรกิจในสหรัฐสามารถจ่ายเงิน 2 ล้านดอลลาร์ เพื่อแลกกับการเข้าเมืองของแรงงานต่างชาติสำหรับการจ้างงานได้อีกด้วย
"สิ่งสำคัญคือ เราจะมีคนเก่งๆ เข้ามาโดยที่พวกเขาจะจ่ายเงิน และผมคิดว่ามันจะประสบความสำเร็จอย่างมาก" ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวขณะลงนามคำสั่งในห้องทำงานรูปไข่
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้ลงนามอนุมัติเพิ่มค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B สำหรับแรงงานต่างชาติที่มีทักษะ เป็น 100,000 ดอลลาร์ ซึ่งจะส่งผลต่อการจ้างงานแรงงานเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
วีซ่าประเภทนี้อนุญาตให้บริษัทต่างๆ สนับสนุนแรงงานต่างชาติที่มีทักษะเฉพาะทาง เช่น นักวิทยาศาสตร์, วิศวกร และโปรแกรมเมอร์คอมพิวเตอร์ ให้ทำงานในสหรัฐอเมริกา โดยในเบื้องต้นมีระยะเวลา 3 ปี แต่สามารถขยายเป็น 6 ปีได้
สหรัฐอเมริกาอนุมัติวีซ่า H-1B ให้แก่ผู้ยื่นคำขอ 85,000 รายต่อปีผ่านระบบลอตเตอรี โดยอินเดียมีสัดส่วนประมาณสามในสี่ของผู้ได้รับวีซ่าทั้งหมด
หน่วยงานด้านการค้าไอทีชั้นนำของอินเดียกล่าวเมื่อวันเสาร์ว่ามีความกังวลเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมรายปีใหม่ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่อาจส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่มีใบอนุญาตประเภทนี้แพร่หลาย
กระทรวงการต่างประเทศในกรุงนิวเดลียังระบุด้วยว่ามาตรการใหม่นี้ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความท้าทายทางกฎหมาย จะก่อให้เกิดความขัดข้องแก่ครอบครัวของผู้ถือวีซ่า H-1B
"การเคลื่อนย้ายบุคลากรที่มีทักษะมีส่วนช่วยพัฒนาเทคโนโลยี, นวัตกรรม, การเติบโตทางเศรษฐกิจ, ความสามารถในการแข่งขัน และการสร้างความมั่งคั่ง ในทั้งสองประเทศ โดยมาตรการใหม่นี้น่าจะมีผลกระทบด้านมนุษยธรรมจากการรบกวนครอบครัว ซึ่งหวังว่าทางการสหรัฐฯ จะเข้ามาจัดการ และกระทรวงฯ จะประเมินการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว" กระทรวงฯ ระบุในแถลงการณ์
Nasscom ซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำของอุตสาหกรรมไอทีของอินเดีย กล่าวว่ามาตรการใหม่นี้จะส่งผลกระทบต่อ "ความต่อเนื่องทางธุรกิจ" และยังกังวลเกี่ยวกับการบังคับใช้ทันที โดยค่าธรรมเนียมใหม่จะมีผลในวันอาทิตย์นี้
Nasscom กล่าวในแถลงการณ์ว่า "กำหนดเวลาเพียงหนึ่งวันสร้างความไม่แน่นอนอย่างมากสำหรับธุรกิจ, ผู้เชี่ยวชาญ และนักศึกษาทั่วโลก โดยการเปลี่ยนแปลงนโยบายในระดับนี้ควรดำเนินการให้ทันต่อช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านที่เหมาะสม เพื่อให้องค์กรและบุคคลต่างๆ สามารถวางแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดผลกระทบให้น้อยที่สุด"
ทั้งนี้ บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ต้องพึ่งพาแรงงานชาวอินเดียที่ย้ายถิ่นฐานไปยังสหรัฐอเมริกาหรือเดินทางไปมาระหว่างสองประเทศ
ธนาคารเจพีมอร์แกนของสหรัฐฯ ยืนยันว่าได้ส่งบันทึกข้อความถึงพนักงานที่ถือวีซ่า H-1B เพื่อแนะนำให้พำนักอยู่ในสหรัฐอเมริกาและหลีกเลี่ยงการเดินทางระหว่างประเทศจนกว่าจะมีคำแนะนำเพิ่มเติม
ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี รวมถึงอีลอน มัสก์ อดีตพันธมิตรของทรัมป์ ได้ออกมาเตือนว่าไม่ควรพุ่งเป้าไปที่วีซ่า H-1B โดยระบุว่าสหรัฐอเมริกาไม่มีบุคลากรที่มีความสามารถในประเทศเพียงพอที่จะเติมเต็มตำแหน่งงานว่างในภาคเทคโนโลยีที่สำคัญ
ทรัมป์ได้เล็งเป้าหมายไปที่โครงการ H-1B มาตั้งแต่สมัยแรกที่เขาดำรงตำแหน่ง แต่ต้องเผชิญกับการโต้แย้งในศาลเกี่ยวกับแนวทางของเขาซึ่งมุ่งเน้นไปที่ประเภทของงานที่มีคุณสมบัติเหมาะสม
รูปแบบปัจจุบันนี้กลายเป็นมาตรการล่าสุดในการปราบปรามผู้อพยพครั้งใหญ่ในสมัยที่สองของเขา
จำนวนการยื่นขอวีซ่า H-1B เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีการอนุมัติสูงสุดในปี 2022 ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต
ในทางตรงกันข้าม อัตราการปฏิเสธวีซ่าสูงสุดเกิดขึ้นในปี 2018 ซึ่งเป็นช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งสมัยแรกในทำเนียบขาว
ข้อมูลล่าสุดระบุว่า สหรัฐอเมริกาอนุมัติวีซ่า H-1B ประมาณ 400,000 ฉบับในปี 2024 ซึ่งสองในสามเป็นการต่ออายุ
ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้กล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันเสาร์ว่า พวกเขาจะประเมินผลกระทบของมาตรการเหล่านี้อย่างครอบคลุมต่อความก้าวหน้าของบริษัทเกาหลีใต้และผู้มีความสามารถระดับมืออาชีพในตลาดสหรัฐฯรวมทั้งจะดำเนินการสื่อสารกับสหรัฐฯ
ทั้งนี้เพิ่งมีเหตุแรงงานชาวเกาหลีใต้หลายร้อยคนถูกควบคุมตัวระหว่างการบุกตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ ที่โรงงานผลิตแบตเตอรี่ Hyundai-LG ในรัฐจอร์เจียในเดือนนี้
อย่างไรก็ตาม หลังกระแสวิพากษ์วิจารณ์กำลังคุกรุ่น ทำเนียบขาวได้ออกมาระบุว่าค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B มูลค่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ นั้นจะเป็นการชำระเงินครั้งเดียว ไม่ใช่สำหรับการต่ออายุของผู้มีวีซ่าเดิมอยู่แล้ว แต่เรียกเก็บสำหรับผู้ขอสมัครรายใหม่เท่านั้น
แคโรไลน์ ลีวิตต์ โฆษกทำเนียบขาวได้ออกคำชี้แจงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่นโยบายใหม่จะมีผลบังคับใช้ กล่าวว่า "นี่ไม่ใช่ค่าธรรมเนียมรายปี แต่เป็นค่าธรรมเนียมครั้งเดียวที่ใช้กับวีซ่าใหม่เท่านั้น ไม่ใช่วีซ่าต่ออายุ และไม่ใช่ผู้ถือวีซ่าปัจจุบัน"
"ผู้ที่ถือวีซ่า H-1B อยู่แล้วและกำลังอยู่นอกประเทศในขณะนี้ จะไม่ถูกเรียกเก็บเงิน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐเพื่อกลับเข้าประเทศ โดยผู้ถือวีซ่า H-1B สามารถออกและกลับเข้าประเทศได้ตามปกติ" เธอกล่าวเสริม
คำสั่งฝ่ายบริหารซึ่งมีแนวโน้มที่จะถูกท้าทายทางกฎหมาย จะมีผลบังคับใช้ในวันอาทิตย์ เวลา 00.01 น. ตามเวลาฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกา หรือ 21.01 น. ของวันเสาร์ตามเวลาชายฝั่งแปซิฟิก
ก่อนที่ทำเนียบขาวจะแถลง บริษัทต่างๆ ในสหรัฐฯ กำลังพยายามหาข้อสรุปเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับแรงงานต่างชาติ โดยมีรายงานว่าหลายบริษัทได้เตือนพนักงานไม่ให้เดินทางออกนอกประเทศ เนื่องจากเกรงว่าอาจไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศสหรัฐอเมริกาอีก.


