ประชาชนกว่า 150,000 คน อพยพออกจากพื้นที่ชายฝั่งของฟิลิปปินส์ เนื่องจากพายุไต้ฝุ่นคัลแมกีพัดถล่มในพื้นที่ซึ่งเคยได้รับผลกระทบจากพายุรุนแรง

ประชาชนอพยพออกจากโรงเรียนที่เมืองบาลังกายัน ในจังหวัดซามาร์ตะวันออก ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ก่อนที่พายุไต้ฝุ่นคัลแมกีจะพัดขึ้นฝั่ง (Photo by Alren Beronio / AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน 2568 กล่าวว่า พายุไต้ฝุ่น 'คัลแมกี' พัดถล่มชายฝั่งฟิลิปปินส์บริเวณหมู่เกาะดินากัตซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะวิซายัส ก่อนเวลา 23.00 น. ด้วยความเร็วลม 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและมีลมกระโชกแรงถึง 205 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
โรเอล มอนเตซา เจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัยบนเกาะเลย์เต กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่ากำลังมีการอพยพในพื้นที่ปาโลและตานาอวน โดยระบุชื่อสองเมืองที่เคยได้รับผลกระทบจากพายุซัดฝั่งรุนแรงที่สุดในปี 2013 ซึ่งครั้งนั้นพายุไต้ฝุ่นไห่เยี่ยนคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 6,000 ราย
ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ประชาชนหลายพันคนได้อพยพออกจากเกาะซามาร์ที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีคลื่นซัดฝั่งสูงถึง 3 เมตร
ราฟาเอลิโต อเลฮานโดร รองผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันภัยพลเรือน กล่าวในการแถลงข่าวว่า เมื่อเวลา 20.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ประชาชนเกือบ 156,000 คนได้รับการอพยพล่วงหน้าแล้ว
ทั้งนี้ ฟิลิปปินส์เผชิญกับพายุเฉลี่ย 20 ลูกต่อปี ซึ่งมักพัดถล่มพื้นที่เสี่ยงภัยซึ่งมีประชากรยากจนหลายล้านคน
ชาร์เมน วาริลลา ผู้เชี่ยวชาญด้านกรมอุตุนิยมวิทยาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอเอฟพีว่า ต่อจากพายุคัลแมกี คาดการณ์ว่าอาจมีพายุอีกอย่างน้อยสามถึงห้าลูกภายในสิ้นเดือนธันวาคม
ทางตอนใต้ของเกาะเลย์เต ในจังหวัดหมู่เกาะดินากัต ผู้ว่าการรัฐนิโล เดเมอเรย์ กล่าวว่า ประชาชน 10,000 ถึง 15,000 คน ได้รับการอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัยล่วงหน้า ขณะที่ประชาชนในเมืองโลเรโตได้รับคำสั่งให้อพยพไปยังพื้นที่สูง
นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าพายุกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์
ฟิลิปปินส์เผชิญกับพายุใหญ่สองลูกในเดือนกันยายน รวมถึงซูเปอร์ไต้ฝุ่นรากาซา ซึ่งพัดต้นไม้ล้มและหลังคาอาคารพังเสียหาย รวมทั้งทำให้มีผู้เสียชีวิต 14 รายในไต้หวันซึ่งอยู่ไม่ห่างกันมากนัก.

