น้ำท่วมถล่มเมืองหลวงศรีลังกา ยอดเสียชีวิตจากพายุไซโคลนพุ่ง 159 ราย

ทางการศรีลังกากำลังต่อสู้กับน้ำท่วมที่เพิ่มสูงขึ้นในบางพื้นที่ของเมืองหลวง หลังจากพายุไซโคลนกำลังแรงสร้างความเสียหายอย่างหนักและคร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 159 รายทั่วประเทศ

ภาพมุมสูงแสดงให้เห็นบ้านเรือนบางส่วนจมอยู่ใต้น้ำหลังฝนตกหนักในเมืองกาดูเวลา ชานกรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน (Photo by AFP)

เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน 2568 กล่าวว่า ทางตอนเหนือของเมืองหลวงโคลัมโบกำลังเผชิญกับน้ำท่วมครั้งใหญ่ ขณะที่ระดับน้ำในแม่น้ำเกลานียังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามรายงานของศูนย์จัดการภัยพิบัติแห่งชาติศรีลังกา (DMC)

พายุไซโคลน "ดิตวะฮ์" ที่เคลื่อนตัวออกจากศรีลังกาเมื่อวันเสาร์ ทำให้เกิดฝนตกหนักติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์, สร้างความเสียหายในวงกว้าง, คร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 159 รายทั่วประเทศ และทำให้มีผู้สูญหายอีก 203 คน

"แม้ว่าพายุไซโคลนเคลื่อนตัวออกจากประเทศแล้ว แต่ฝนตกหนักบริเวณต้นน้ำกำลังท่วมพื้นที่ลุ่มริมฝั่งแม่น้ำเกลานี" เจ้าหน้าที่ DMC กล่าว

ประธานาธิบดีศรีลังกาประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อรับมือกับผลพวงจากพายุไซโคลน และขอความช่วยเหลือจากนานาชาติ

อินเดียเป็นประเทศแรกที่เข้าช่วยเหลือ โดยส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์และเฮลิคอปเตอร์สองลำพร้อมลูกเรือไปปฏิบัติภารกิจกู้ภัย

ญี่ปุ่นจะส่งคณะทำงานไปประเมินความต้องการเร่งด่วนและให้คำมั่นว่าจะให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม

แม้ว่าฝนลดน้อยลงทั่วเกาะแล้ว แต่ถนนหลายสายในจังหวัดทางตอนกลางที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดยังคงไม่สามารถเข้าถึงได้

สภาพอากาศสุดขั้วได้ทำลายบ้านเรือนไปกว่า 20,000 หลัง และประชาชน 122,000 คนต้องอพยพไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวของรัฐ

ประชาชนอีก 833,000 คนต้องการความช่วยเหลือหลังจากต้องอพยพออกจากพื้นที่เนื่องจากน้ำท่วม

กองกำลังจากกองทัพบก, กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ได้ถูกส่งไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่พลเรือนและอาสาสมัครเพื่อช่วยเหลือในการบรรเทาทุกข์

เจ้าหน้าที่รายงานว่า ประมาณหนึ่งในสามของประเทศยังคงไม่มีไฟฟ้าหรือน้ำประปา เนื่องจากสายไฟขาดและเครื่องกรองน้ำถูกน้ำท่วม ขณะที่การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตก็หยุดชะงักเช่นกัน

พายุไซโคลนกลายเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุดของศรีลังกานับตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งน้ำท่วมและดินถล่มคร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 200 ราย และทำให้ผู้คนหลายแสนคนต้องพลัดถิ่น.