'หนูเน-หนูตกถังข้าวสาร' จากภาพล้อที่สภาปั้น สู่ชะตากรรมนายกฯสี่เดือน

เสียงล้อในสภาไม่เคยเป็นเพียงการหยอกเล่น หากแต่คือเงาที่ตามหลอกหลอนผู้นำใหม่ให้ต้องพิสูจน์ทุกก้าว “หนูเน-หนูตกถังข้าวสาร” จึงไม่ใช่แค่คำเหน็บแนม แต่คือกรอบที่ล้อมนายกฯสี่เดือนเอาไว้ ว่าเขาจะก้าวพ้นจากภาพที่ถูกปั้น หรือสุดท้ายจะถูกจดจำในฐานะเพียงเงาสะท้อนของคำเสียดสีวันนั้นการเมืองไทยไม่เคยขาดถ้อยคำที่ บาดลึก บางครั้งคำเพียงไม่กี่พยางค์กลับก้องยาวนานกว่าคำแถลงนโยบายรัฐบาลทั้งชุด เพราะคำเหล่านั้นไม่ใช่แค่การเหน็บแนม แต่คือการ ตีตรา ที่สังคมพร้อมหยิบไปขยายต่อ

การอภิปรายแถลงนโยบายที่ผ่านมา สิ่งที่สังคมจดจำไม่ใช่รายละเอียดโครงการหรือแผนงานใด ๆ หากแต่เป็นวลี “หนูเน-หนูตกถังข้าวสาร” ที่ดังขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่สะท้อนทั้งภาพลักษณ์และที่มาของอำนาจของ อนุทิน ชาญวีรกูล หรือ “หนู” นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ได้ชัดเจน

วลี “หนูเน” เกิดจากการอภิปรายของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ที่เหน็บว่ารัฐบาลนี้คือ “หนูเนกินรวบ” คำนี้ไม่เพียงโยงถึง อนุทิน หรือหนู เท่านั้น แต่ยังพาดพิงไปถึง เนวิน ชิดชอบ ผู้ถูกมองว่ามีอิทธิพลหนุนหลังอยู่เงียบ ๆ จนกลายเป็นสัญลักษณ์การรวบอำนาจ

ส่วนวลี “หนูตกถังข้าวสาร” มาจาก จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ที่เปรียบพรรคซึ่งมีเสียงไม่มากกลับได้เก้าอี้นายกฯ เหมือนคนที่บังเอิญโชคดีเกินตัว

เมื่อวลีทั้งสองถูกหยิบขึ้นกลางสภา มันจึงทำหน้าที่เหมือน กรอบภาพ ที่ตีวงอนุทินไว้ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวขึ้นทำเนียบ

ขณะที่นโยบายรัฐบาลถูกอ่านในสภา ถ้อยคำเต็มไปด้วยเป้าหมายใหญ่โตและถ้อยคำสวยหรู ตั้งแต่การแก้ปัญหาปากท้องไปจนถึงการสร้างความมั่นคงระยะยาว ราวกับเป็นแผนที่วางไว้ให้ประเทศเดินต่ออีกหลายปี

แต่ข้อเท็จจริงคือ เวลาที่มีอยู่จริงมีเพียง สี่เดือน ความมโหฬารของแผนงานจึงถูกจับเทียบกับเส้นตายที่สั้นจนแทบไม่สมดุล เหมือนการเขียนบทละครยืดยาว ขณะที่ม่านเวทีกำลังจะปิดลง

จากวันแรก รัฐบาลจึงไม่ได้ถูกพิจารณาแค่ในเชิงผลงาน แต่ยังถูกเพ่งเล็งในสายตาสังคมแบบ เรียลไทม์ ทุกการขยับ ทุกถ้อยคำ ล้วนถูกบันทึกและตีความทันที

ฝ่ายค้านไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลซับซ้อน เพียงโยงกลับไปยังวลีที่ติดหูคนทั้งประเทศ “หนูเน-หนูตกถังข้าวสาร” ก็เพียงพอให้ภาพลักษณ์นายกฯ ถูกตั้งคำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เก้าอี้นายกรัฐมนตรี ครั้งนี้ แม้จะได้เสียงโหวตเกินครึ่งจนผ่านเข้าสู่ทำเนียบได้สำเร็จ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกก้าวจะมั่นคง สถานการณ์ทางการเมืองยังรายล้อมด้วยแรงกดดัน

ตำแหน่งที่ควรตั้งมั่นบนความไว้วางใจของคนส่วนใหญ่ กลับถูกห้อมล้อมด้วยเงื่อนไขชั่วคราว ทำให้ศักดิ์ศรีของนายกฯ ดูพร่องลงตั้งแต่วันแรก และนั่นเองที่ทำให้สังคมจับจ้องว่า อนุทินจะใช้เวลาสั้นๆ ที่เหลืออยู่ไปทางใด

เพราะในอีกด้านหนึ่ง สี่เดือนนี้ยังอาจกลายเป็นโอกาสพลิกภาพลักษณ์ได้ สิ่งที่ประชาชนรอคอยไม่ใช่ถ้อยแถลงยืดยาว แต่คือ คำตอบเรื่องปากท้อง ที่สัมผัสได้จริงในชีวิตประจำวัน

ค่าครองชีพที่บีบคั้น บริการสาธารณสุขที่ไม่ทั่วถึง หรือขั้นตอนราชการที่เชื่องช้า หากรัฐบาลหยิบขึ้นมาแก้ให้เห็นผลจริงในเวลาอันสั้น ภาพ “นายกสี่เดือน” ก็อาจแปรเปลี่ยนเป็น “ผู้นำที่กล้าทำในเวลาจำกัด”

ชัยชนะซ่อมที่ศรีสะเกษ กลายเป็นสัญญาณว่าภูมิใจไทยยังมีแรงส่ง พร้อมกันนั้น ผลโพลจากหลายสำนักก็บอกว่าคะแนนนิยมของอนุทินกำลังขยับเข้าใกล้ หัวหน้าพรรคประชาชน

นี่คือแรงหนุนที่ต่อยอดเป็นทุนทางการเมืองได้จริง หากไม่สะดุดเสียก่อน แต่กระแสที่พุ่งขึ้นก็เหมือนแรงกดดันซ่อนรูป เพราะหากผลงานไม่สอดคล้องกับตัวเลข คำเสียดสีที่ฝ่ายค้านโยนไว้ก็พร้อมจะย้อนกลับมาทิ่มซ้ำ

ยิ่งไปกว่านั้น ทุกการเคลื่อนไหวย่อมเสี่ยงถูกตีความในเชิงสัญลักษณ์

หนึ่งในประเด็นที่ถูกพูดถึงกว้างขวาง คือแผนการ ครม.สัญจรที่บุรีรัมย์

ตามกำหนดการระหว่าง 3-4 ตุลาคม 2568 นายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดบุรีรัมย์ แม้จะยังเป็นเพียงเส้นร่างบนปฏิทิน แต่ก็เพียงพอให้สังคมตั้งคำถามว่า เป็นการทำงานเพื่อประชาชนจริง ๆ หรือเป็นเพียงการเคลื่อนไหวที่โยงเข้ากับ วันเกิดของเนวิน ชิดชอบ

ในเชิงบริหาร รัฐบาลมีสิทธิ์เลือกวันและสถานที่ แต่ในเชิงการเมือง นี่คือ ดาบสองคม เพราะมันโยงตรงเข้ากับวลี “หนูเน” ที่ยังสดใหม่ในความรับรู้ของผู้คน

หากก้าวพลาด ภาพเงาของเนวินจะถูกขยายจนกลบตัวนายกฯ เอง สี่เดือนนี้จึงไม่ใช่แค่การผลักนโยบาย แต่คือ ศิลปะการจัดวางจังหวะ แม้แต่กำหนดการที่ยังไม่ชัดเจน ก็อาจกลายเป็นแรงสะเทือนใหญ่ได้

สี่เดือนในทำเนียบ จึงเปรียบเหมือนสนามสอบที่ทั้งประเทศนั่งจับตา ทุกคำพูด ทุกการลงพื้นที่ และทุกการตัดสินใจ อาจถูกนับเป็นทั้งผลงานหรือความผิดพลาดในเวลาเดียวกัน

สำหรับนายกฯ ที่ถูกเปรียบว่า “หนูตกถังข้าวสาร” เหมือนโชคช่วยให้ก้าวถึงตำแหน่งใหญ่ การสร้างผลงานที่จับต้องได้แม้เพียงเรื่องเดียว ก็อาจทำให้  โชคถูกตีความใหม่เป็นความสามารถ ที่สังคมยอมรับ

แต่หากก้าวพลาดเพียงเล็กน้อย คำเสียดสีเรื่องโชคเกินตัวก็จะย้อนกลับมาเป็นตราประทับที่ลบไม่ออก และนั่นคือเหตุผลที่เวลาสี่เดือนนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการบริหารราชการแผ่นดิน แต่คือการพิสูจน์ตัวตนบนเวทีการเมือง

เส้นทางหลังจากนี้ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวว่าจะเลือกก้าวไปทางใด ถ้าใช้เวลาสั้นๆ เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ประชาชนเห็นและสัมผัสได้จริง สังคมก็พร้อมตอบแทนด้วยศรัทธา

เพราะในขณะนี้ กระแสความนิยมของอนุทินและภูมิใจไทยกำลัง พุ่งสูงขึ้น พร้อมกับดึงดูดความสนใจจากทั้งประชาชนและนักการเมือง จนกลายเป็นแรงเคลื่อนไหวสำคัญบนเวทีการเมือง

สี่เดือนนี้จึงไม่ใช่แค่การนับถอยหลัง แต่มันคือช่วงเวลาที่จะกำหนดว่า นายกรัฐมนตรีคนนี้จะถูกจดจำอย่างไร

จะเป็นผู้นำที่พิสูจน์ได้ว่า การเมืองยังสามารถสร้างความเข้มแข็งให้สังคม หรือจะเหลือเพียง เงาสะท้อนของคำเสียดสี ที่สภาฝากไว้ตั้งแต่วันแรก.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เพื่อไทยกระอัก! 'อนุทิน' ย้อนเจ็บ มีภาพคู่ทักษิณเยอะ ไม่เห็นมีปัญหา

"อนุทิน" เหน็บ "สุริยะ-โฆษกเพื่อไทย" ไม่รู้เรื่องอะไรเพราะไม่ได้ร่วมวง การสนทนาสำหรับผมต้องระดับสูงขึ้นไป ย้อนเจ็บภาพถ่ายคู่ทักษิณก็มีตั้งเยอะ ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย

โฆษกภูมิใจไทย โต้เดือด โทรโข่งเพื่อไทยแกล้งตาบอด ไม่เห็นภาพทักษิณกับเบน สมิธ

โฆษกภูมิใจไทย สวนโฆษกเพื่อไทย อย่าแกล้งตาบอด ปีนี้ใครถ่ายรูปกับ "เบน สมิธ" ยัน "อนุทิน" แค่รู้จักแต่ไม่สนิท ผลงานประจักษ์ยึดทรัพย์หมื่นล้านสแกมเมอร์รายใหญ่ บีบพ้น มท.1 เหตุไม่ให้สัญชาติใครหรือไม่ เย้ย 4 เดือนใครบริหารน้ำท่วมเหลว ขณะที่ "2 เดือน" นายกฯอนุทิน" เข้ามาแก้วิกฤติ

ได้เท่าหาดใหญ่! ภราดรเผยกลางที่ประชุม ศป.กฉ.เสียชีวิตในอุทกภัยใต้ได้ค่าปลงศพ 2 ล้าน

'ภราดร' ถก 'ศป.กฉ.' บอกผู้ว่าฯปัตตานี นอกพื้นที่ พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะได้รับค่าปลงศพรายละ 2 ล้านบาทเช่นกัน บี้ผู้ว่าฯ นราธิวาส เร่งเบิกจ่ายเงินเยียวยาน้ำท่วม หลังพบเบิกช้าไม่ถึง 10%