พลิกวิฤติน้ำมันแพงให้เป็นโอกาส

ราคาน้ำมันดิบที่แพงขึ้นมากตั้งแต่ต้นปีนี้ได้สร้างความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสมาให้กับหลายประเทศที่ต้องอาศัยน้ำมันนำเข้า รวมถึงประเทศไทยที่ต้องนำเข้าน้ำมันมากถึง 90% ของปริมาณการใช้ทั้งหมด

เราทราบกันดีว่าสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาน้ำมันโลกสูงขึ้นอย่างมากมาย จากประมาณ 60 ถึง 70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล (น้ำมันดิบชนิดเบรนท์) ในช่วงต้นปีนี้  ขึ้นไปเป็นสูงสุดถึงกว่า 120 เหรียญในต้นเดือนมีนาคมนี้ และตลอด 9 เดือนของการสู้รบที่ยังคงดำเนินอยู่ถึงทุกวันนี้ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ไม่เคยต่ำกว่า 80 เหรียญเลย ทำเอาราคาน้ำมันหน้าปั๊มของไทยแพงอย่างไม่เคยเห็นมาก่อนในหลายปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดีเซลสูงถึง 35 บาทต่อลิตร ทั้ง ๆ ที่มีการอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและการลดภาษีสรรพสามิต

ไทยพึ่งพาการนำเข้าก๊าซธรรมชาติในสัดส่วนที่น้อยกว่าน้ำมัน (คือหนึ่งในสามของการใช้) แต่กระนั้นก็ตาม ก๊าซธรรมชาติที่นำเข้าในรูปของเหลว (liquefied natural gas หรือ LNG) ก็มีราคาแพงขึ้นมากเช่นเดียวกันกับน้ำมันดิบ ทำให้ต้นทุนการผลิตและราคาไฟฟ้าต้องขยับขึ้นเพราะ 60% ของไฟฟ้าผลิตโดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง

นอกจากน้ำมันและไฟฟ้าที่แพงขึ้นมากแล้ว สินค้าประเภทอาหารและวัสดุก่อสร้างบางประเภทก็มีราคาสูงขึ้นด้วย ทำให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากปัญหาภาวะเงินเฟ้อกันถ้วนหน้า หลายคนที่ต้องตกงานและรายได้หดหายจากการล็อกดาวน์ในช่วงโรคระบาดโควิด-19 กำลังจะลืมตาอ้าปากได้ ก็ต้องมาเผชิญกับปัญหาปากท้องอีกรูปแบบหนึ่งในปีนี้

ในภาพรวมเราต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่กลับเข้าสู่ระดับก่อนโควิด-19 อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจติดลบ 6.2% ในปี 2563 อันเนื่องมาจากมาตรการล็อกดาวน์ แล้วมาฟื้นตัวเล็กน้อย คือขยายตัวประมาณ 1.6% ในปีต่อมา ส่วนในปีนี้ก็คาดว่าคงเติบโตได้ประมาณ 3% 

เป็นที่น่าสังเกตว่าในปี 2565 นี้ ฐานะทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศของไทยเลวร้ายลงไปค่อนข้างมาก ปีนี้น่าจะเป็นครั้งแรกในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาที่ประเทศไทยจะมีการขาดดุลทุกดุลในบัญชีการชำระเงินระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นดุลการค้า ดุลบริการ ดุลบัญชีเดินสะพัด ดุลบัญชีเงินทุน และดุลการชำระเงินระหว่างประเทศ

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ไทยต้องขาดดุลการค้าน่าจะเป็นเพราะราคาและมูลค่าของสินค้านำเข้าประเภทเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นสูงมาก ในครึ่งปีแรกของปี 2565 สถิติชี้ให้เห็นว่ามูลค่าสินค้าเชื้อเพลิงนำเข้าเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 100% ซึ่งรวมถึงน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหินและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม  มูลค่าสินค้านำเข้าโดยรวมเพิ่มขึ้นประมาณ 20% ในครึ่งปีแรกในขณะที่มูลค่าการส่งออกโดยรวมเพิ่มขึ้นประมาณ 10% และในช่วงหกเดือนแรกของปีนี้ไทยขาดดุลการค้าไปแล้วกว่า 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

การขาดดุลบริการมีสาเหตุมาจากการที่ต่างชาติมาเที่ยวเมืองไทยน้อยลงมากเพราะโควิด-19 ทำให้รายได้ของประเทศจากการท่องเที่ยวลดลงมาก  บัญชีเงินทุนของไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาขาดดุลอย่างต่อเนื่อง  เพราะเรายังไม่สามารถดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติเข้ามาได้มากนัก ดังนั้น ดุลสุดท้ายในบัญชี คือดุลการชำระเงินระหว่างประเทศในปี 2565 จึงกลายเป็นตัวแดง  โดยสุทธิเงินไหลออกนอกประเทศ และทุนสำรองระหว่างประเทศก็มีมูลค่าลดลง

เท่าที่กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่าราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่แพงขึ้นก่อให้เกิดผลเสียต่อประเทศไทยอย่างเห็นได้ชัด เป็นการซ้ำเติมผลกระทบของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

แต่หลายคนเชื่อว่า “ในทุกวิกฤต ย่อมมีโอกาส” ผมจึงตั้งคำถามว่า “มีโอกาสดี ๆ เกิดขึ้นได้จากราคาน้ำมันและก๊าซที่แพงขึ้นหรือไม่” 

โลกกำลังเผชิญกับปัญหาภาวะโลกร้อน และต้องแก้ไขโดยการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก มาตรการที่ได้ผลมากที่สุดที่จะทำให้อุณหภูมิโลกร้อนอยู่ในขอบเขตที่ปลอดภัยได้คือ “การลดหรือเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล (น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน)” เชื้อเพลิงเหล่านี้ที่แพงขึ้นย่อมสร้างแรงจูงใจและโอกาสให้มนุษย์แสวงหาพลังงานสะอาดเพื่อนำมาใช้ทดแทนเชื้อเพลิงสกปรกได้มากขึ้น

ถ้าจะดูเฉพาะเมืองไทย เราก็จะเห็นโอกาสนี้อยู่ทั่วไป หลังคาของบ้านอยู่อาศัย อาคารพานิชย์ อาคารสำนักงาน โรงงาน คลังสินค้า และอาคารชนิดต่างๆ ยังมีพื้นที่ว่างเป็นจำนวนมากที่พร้อมจะติดตั้งแผงผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ หรือที่เราเรียกกันว่าแผงโซลาร์เซลล์นั่นเอง

ยกตัวอย่างบ้านขนาดกลาง ใช้ไฟประมาณเดือนละ 800 หน่วย (หรือ 800 กิโลวัตต์ชั่วโมง หรือ kWh) เมื่อ 6 เดือนที่แล้วเคยจ่ายค่าไฟในอัตราหน่วยละ 4.75 บาท (รวม Ft และภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) ในปัจจุบันเสียค่าไฟอยู่หน่วยละ 5.45 บาท แพงขึ้นหน่วยละ 70 สตางค์เพราะก๊าซ LNG ที่นำเข้าและใช้ในการผลิตไฟฟ้าแพงขึ้นมาก ตกลงตอนนี้บ้านนี้จ่ายค่าไฟเดือนละ 4,360 บาท

เจ้าของบ้านนี้ต้องการจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านเพื่อลดค่าไฟที่จ่ายให้การไฟฟ้านครหลวงลงไปบ้าง เขาได้ข้อมูลมาว่าหลังคาบ้านมีพื้นที่พอติดตั้งได้ 10 แผง ขนาดแผงละ 300 วัตต์ รวมกำลังไฟ 3,000 วัตต์ (หรือ 3 กิโลวัตต์ หรือ 3 kW) ค่าใช้จ่ายติดตั้งคิดเป็นวัตต์ละ 45 บาท รวมลงทุนทั้งสิ้นเป็นเงิน 135,000 บาท

โดยเฉลี่ย แผงโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าจากแสงแดดในไทยได้วันละ 3.6 ชั่วโมง หรือ 15% ของ 24 ชั่วโมง ดังนั้น 10 แผงบนหลังคาบ้านนี้จึงผลิตไฟฟ้าได้วันละ 10.8 หน่วย (3.6 ชั่วโมงคูณด้วย 3 kW) เดือนละ 324 หน่วย หรือปีละ 3,942 หน่วย คิดเป็นค่าไฟฟ้าที่ประหยัดได้เป็นเงินเดือนละ 1,766 บาท หรือปีละ 21,484 บาท แสดงว่าการลงทุนนี้สามารถคืนทุนได้ภายใน 7 ปี (payback period) และถ้าเป็นการลงทุนอายุเวลา 20 ปี การประหยัดค่าไฟฟ้าจะให้ผลตอบแทนสูงถึงปีละ 15% เทียบกับอัตราดอกเบี้ยในตลาดปัจจุบันก็ถือได้ว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าทีเดียว ถึงแม้ว่าอัตราค่าไฟจะลดลงเหลือ 4 บาท ผลตอบแทนก็จะลดลงเป็นปีละ 10% ซึ่งก็ยังคุ้มค่าอยู่ดี

ที่ดีมากกว่าผลตอบแทนด้านตัวเงินก็คือ การนำเอาไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสะอาดที่ไม่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก มาทดแทนไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในการผลิตมากถึง 80%  ถือเป็นการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนอีกทางหนึ่งด้วย

ในช่วงที่ค่าไฟแพงอยู่นี้ ภาครัฐเองก็ควรมีส่วนร่วมในการประหยัดไฟด้วย เพราะยังมีอาคารของรัฐจำนวนมากที่ยังไม่ได้ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ อาคารที่เหมาะสมสำหรับงานนี้ได้แก่อาคารที่มีการใช้ไฟฟ้าทุกวันตลอดปีและใช้มากในช่วงกลางวัน ตัวอย่างคือ โรงพยาบาล สนามบิน สถานีรถไฟ และสถานีขนส่งต่างๆ  ถ้าภาครัฐเปิดโอกาสให้มีการลงทุนติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาของอาคารเหล่านี้ (และอาจรวมถึงบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง) น่าจะมีผู้ทำธุรกิจด้านพลังงานสนใจลงทุนติดตั้งแผงและอุปกรณ์ประกอบให้ โดยรับผลตอบแทนในรูปของการเก็บค่าไฟฟ้าส่วนที่ผลิตและใช้จากแผงเหล่านี้จากเจ้าของอาคารในอัตราไม่เกินหน่วยละ 4 บาทเป็นเวลา 15 – 20 ปี

ผมเชื่อว่าบริษัทด้านพลังงาน รวมถึงการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย (กฟน. กฟภ.) คงสนใจที่ทำธุรกิจตามเงื่อนไขแบบนี้กับหน่วยงานภาครัฐ เพราะไม่น่ามีความเสี่ยงว่าหน่วยงานจะเบี้ยวหนี้ ในขณะที่บริษัทก็ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าเชิงพาณิชย์   เอาโครงการแบบนี้ไปใช้กู้ธนาคารก็ได้

ภาครัฐเองก็จะได้ประโยชน์จากข้อตกลงข้างต้นนี้  เพราะในระยะยาวสามารถใช้ไฟฟ้าในอัตราหน่วยละ 4 บาท ซึ่งต่ำกว่าอัตราค่าไฟฟ้าจากระบบ (ซึ่งในอนาคตไม่น่าจะต่ำกว่า 4 บาท) เป็นการประหยัดค่าไฟโดยไม่ต้องลงทุนเองแม้แต่บาทเดียว มิหนำซ้ำยังช่วยทำให้ประเทศใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลน้อยลง อันเป็นส่วนหนึ่งที่จะนำไปสู่การลดคาร์บอนให้เหลือศูนย์ให้ได้ภายในช่วง 30 ปีข้างหน้า ตามสัญญาที่ท่านนายกฯ ประยุทธ์ไปทำไว้กับประชาคมโลกเมื่อสองปีก่อน

เรามาช่วย “พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส” กันเถอะครับ

เวทีพิจารณ์นโยบายสาธารณะ

ดร. พรายพล คุ้มทรัพย์

กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘เสนา’นำร่องทดสอบแผงโซลาร์เพอรอฟสไกต์

‘เสนา’ ปลื้มได้รับเลือกจาก ‘แม็คนิก้า]พร้อมทุนสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น นำร่องทดสอบแผงโซลาร์เพอรอฟสไกต์นวัตกรรมระดับเปลี่ยนโลกโซลาร์ สู่ประเทศไทย

BCPG นำร่องติดตั้งโซลาร์เซลล์พร้อมแบตเตอรี่ชูต้นแบบสหกรณ์พลังงานสะอาด

บีซีพีจี เดินหน้าขับเคลื่อนพลังงานสะอาด สู่ภาคเศรษฐกิจและสังคม ลุยลงทุนโครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ร่วมกับระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ ให้กับ 5 สหกรณ์โคนมและสหกรณ์การเกษตร ยกระดับศักยภาพของสหกรณ์ สร้างความมั่นคงทางพลังงาน และลดต้นทุนการดำเนินงาน ควบคู่ไปกับการมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

GULF ชวนสร้างแสงสว่างให้ชุมชนกับโครงการ ‘GULF Sparks, Life Starts เติมพลังไฟให้ชีวิต’ ร่วมชี้เป้าพื้นที่ขาดแคลนไฟฟ้า เพื่อติดตั้งโซลาร์เซลล์ให้ฟรี

บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF จุดประกายความหวัง สร้างโอกาส กับโครงการ "GULF Sparks, Life Starts เติมพลังไฟให้ชีวิต" เดินหน้าสานต่อพันธกิจเพื่อสังคมอย่างยั่งยืน