
จากสแลงคำว่า โลกร้อน ได้ขยับมาเป็นโลกเดือด และอาจจะขยับต่อไปเป็นโลกระเบิดในที่สุด ทั้งหมดนี้มาจากการที่มนุษย์ได้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลายชนิดออกสู่บรรยากาศปริมาณมากเกินกว่าที่ธรรมชาติจะรับได้ จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรุนแรง และมีปัญหาน้ำแข็งขั้วโลกละลาย น้ำท่วม ฝนตกไม่ตรงตามฤดูกาล หนาวและร้อนสุดขั้ว การเกษตรล่มสลาย ไฟป่า แผ่นดินถล่ม โรคอุบัติใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ฯลฯ ตามมา ดังที่ทุกคนประสบได้ด้วยตัวเอง
ทางแก้มีอยู่หลายมาตรการ วิธีหนึ่งที่เน้นกันมาก คือ การลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาจากภาคการขนส่งเดินทาง ดังที่จะเห็นมีศัพท์ใหม่ๆ เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหานี้ ออกมาเป็นระยะๆ เช่น alternative mobility การเดินทางทางเลือก sustainable transport การขนส่งยั่งยืน environmental friendly mobility การเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม non-motorised transportation การขนส่งไร้มอเตอร์(หรือเครื่องยนต์) คำศัพท์พวกนี้ยังใหม่มากสำหรับประเทศไทย แต่เมื่อมันเป็นกระแสโลก ไทยเองก็จะหนีไม่พ้นที่ต้องอนุวัตรไปตามนั้น

กลางเดือนพฤศจิกายน 2567 มีข่าวที่ชาวกรุงเทพอาจจะข้องใจอย่างมากว่าทำได้จริงหรือ คือ ข่าวที่ผู้บริหารกรุงปารีสดำริจะจัดให้มีเขตปลอดรถยนต์ขึ้นในกลางกรุงอย่างถาวร เพื่อที่จะตอบโจทย์การเดินทางทางเลือกที่ยั่งยืนเหล่านั้น โดยในขั้นแรกจะเริ่มที่บริเวณ 4 เขต ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 5.5 ตารางกิโลเมตรที่มีคนอาศัยอยู่เพียงแค่ประมาณแสนคน ในพื้นที่ที่ว่านั้นจะมีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น พิพิธภัณฑ์ลูฟร์และสวนตุยเลอรีส์อยู่ด้วย
รัฐบาลกรุงปารีสจะกำหนดให้พื้นที่นั้นเป็นเขตคนเดินและเขตไร้รถยนต์อย่างสิ้นเชิง ยกเว้นสำหรับคนที่มีบ้านอยู่ในพื้นที่นั้นและรถที่จำเป็น เช่น รถพยาบาล รถประจำทาง รถแท็กซี่ รถส่งของหรือคนพิการ นอกนั้นเข้าไม่ได้
แน่นอนที่จะมีคนไม่เห็นด้วย รัฐบาลจึงจะใช้เวลาประมาณหกเดือนประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับรู้เรื่องนี้ แต่หลังจากนั้นถ้าใครฝ่าฝืนกฎนี้ ขับรถเข้าไป จะเสียค่าปรับสูงถึงครั้งละประมาณ 5,000 บาททีเดียว
มีตัวเลขทางคุณภาพอากาศที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง คือ ในกรุงปารีสนั้นมีฝุ่น PM 2.5 น้อยมากเมื่อเทียบกับกรุงเทพ กล่าวคือมีเพียงแค่ 10.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรโดยเฉลี่ย ในขณะที่ที่กรุงเทพบางวันตัวเลขขึ้นไปสูงถึงเป็น 100 แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังต้องการที่จะปรับปรุงคุณภาพอากาศให้ดีขึ้นไปอีก รวมทั้งได้คาร์บอนเครดิตมาเป็นผลลัพธ์ใหญ่ที่เอาไปใช้ในโครงการลดโลกร้อนของประเทศได้ด้วย โดยเอาเขตกลางเมืองนี้มาเป็นพื้นที่ปลอดรถยนต์อย่างจริงจัง
ความคิดแบบนี้สำหรับกรุงเทพหลายคนคงคิดว่ายังอีกห่างไกล แต่ถ้าเราไม่มองอะไรไปให้ไกลๆแบบนั้นบ้างเราก็จะไม่มีวันที่จะมีอากาศสะอาดให้คนกรุงเทพมหานครได้หายใจ ดังนั้นเราคงต้องค่อยๆคิด ค่อยๆลอกแนวคิดของเขามาใช้ แล้วสักวันหนึ่งเราก็จะสามารถมีอากาศสะอาดให้ลูกหลานของเราหายใจเข้าได้เต็มปอดอย่างมั่นใจ
ยิ่งถ้าพูดในประเด็นคาร์บอนเครดิตประเทศไทยหรือกรุงเทพมหานครจะได้มากกว่ากรุงปารีสเป็นสิบเป็นร้อยเท่าในพื้นที่ขนาดเท่ากัน เพราะความหนาแน่นจราจรของเรามากกว่าของเขามาก การลดการปล่อยคาร์บอนจึงลดได้มากกว่ามาก

ถ้าเช่นนั้นเรามาลองทำแบบกรุงปารีสที่บริเวณเกาะรัตนโกสินทร์กันดีไหม เอาเฉพาะตรงเกาะชั้นใน ที่มีคลองหลอดเป็นตัวบ่งชี้ขอบเขตโครงการ ที่นั่นพื้นที่ไม่มาก จราจรไม่มาก รวมทั้งมีพื้นที่เปิดอยู่มาก และมีแหล่งท่องเที่ยวมากมายในบริเวณนั้นเช่นเดียวกับปารีสด้วย เช่น วัดพระแก้ว พระบรมมหาราชวัง ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ตลาดชุมชน
การจราจรข้ามสะพานปิ่นเกล้าไปมาระหว่างฝั่งธนบุรีและฝั่งกรุงเทพ เชื่อมไปยังถนนหลานหลวง ยังทำได้เป็นปกติตามเดิม ผลกระทบต่อจราจรก็จะไม่มากเท่าที่กลัวกัน ทั้งนี้ ในขั้นแรกนี้จะยังไม่กินพื้นที่ไปถึงเขตบางลำพูที่มีความหนาแน่นของบ้านเรือนและจราจรมาก และอาจทดสอบเฉพาะในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เพื่อสร้างการยอมรับของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ก่อนก็ได้
อาจมีคนท้วงว่า พื้นที่เกาะชั้นในที่เล็กแค่นั้นจะลดก๊าซเรือนกระจกได้มากแค่ไหนเชียว ซึ่งจริง ลดได้น้อยมาก แต่วิธีคิดไม่ได้จบเพียงแค่นั้น เราต้องมองภาพใหญ่กว่านั้น ถ้าโครงการนี้สำเร็จ เราจะขยายวิธีคิดนี้ไปยังพื้นที่อื่นในกรุงเทพได้อีกมาก รวมทั้งไปยังเมืองต่างๆ ทั้งเล็กทั้งใหญ่ ในประเทศได้อีกมากด้วย และเมื่อนั้นการลดก๊าซเรือนกระจกในภาพรวมจะมากขึ้นจนนำมาใช้เป็นคาร์บอนเครดิตของประเทศได้
ผลดีของการทำเช่นนี้ นอกจากจะลดโลกร้อน ลดมลพิษอากาศในเมือง และประชาชนมีสุขภาพดีขึ้นแล้ว ยังเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเที่ยว ทำให้เศรษฐกิจชุมชนดีขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำไปพร้อมกัน แต่เราคงทำให้สำเร็จไม่ได้ในเร็ววันทันทีเพราะระบบขนส่งสาธารณะบ้านเรายังไม่ดีพอ และระบบป้อนคน(feeder)ของบ้านเรา เช่น ระบบการเดินและการจักรยาน สู่ระบบขนส่งมวลชนก็ยังไม่ดีพอเช่นกัน รวมทั้งผู้คนยังใช้รถยนต์ในการเดินทางไปไหนมาไหนในกรุงเทพกันเป็นส่วนใหญ่
ข้อสรุปนี้ทุกคนคงเห็นด้วย แต่ทว่าในใจกลางกรุงปารีสนั้นแต่ก่อนก็ชุกชุมไปด้วยรถยนต์เช่นกัน กว่าเขาจะมีวันนี้ได้เขาได้ผ่าน กระบวนการการปรึกษาหารือและการมีส่วนร่วมของประชาชนในหลายนโยบายและหลายโครงการ ไม่ใช่จู่ๆก็จะมีนโยบายกลางกรุงไร้รถยนต์นี้ผุดขึ้นมาได้ในเร็ววันทันที
การทำเช่นนี้โดยพื้นฐานแล้วคือการเปลี่ยนความคิด ไปสู่การเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายและต้องใช้เวลา ไม่ว่าที่ไหนก็เป็นเช่นนั้น ประเทศเนเธอร์แลนด์ได้ชื่อว่าเป็นประเทศแห่งจักรยาน แต่กว่าจะมีวันนี้ได้ เขาใช้เวลามากกว่า 50 ปี ส่วนที่หลายคนไปเห็น ไปลองใช้ทางจักรยานของเขา แล้วติดใจ คิดว่าเป็นเช่นนั้นมาเป็นปกตินานแล้ว นั่นเป็นความเข้าใจผิดทั้งเพ

ไทยเราเพิ่งเริ่ม ขอให้อดใจรอสักนิด แต่ด้วยกระแสสังคมโลกและสังคมคนรุ่นใหม่ ตลอดจนความหนักหน่วงรุนแรงของปัญหามลพิษอากาศ PM2.5 และปัญหาโลกร้อนที่ทวีสูงขึ้นทุกปี มันคงหนีไม่พ้นว่าสักวัน อาจจะอีก 3-5 ปีเราก็ต้องทำโครงการลักษณะนี้ เพื่อเดินไปตามแนวทางของโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เราต้องตั้งความหวังและช่วยเร่งผลักดันความคิดนี้โดยเลือกทั้งพรรคและนักการเมืองที่มีความคิดและหัวก้าวหน้าแบบนี้ ให้สำเร็จไปด้วยกัน
ธงชัย พรรณสวัสดิ์
ประธานชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทย
ที่ปรึกษามูลนิธิสถาบันการเดินและการจักรยานไทย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เดินหน้า'ชุมชนจักรยาน'
การรณรงค์ให้คนใช้จักรยานมากขึ้นแทนการขับขี่ยานพาหนะ นอกจากดีต่อสุขภาพร่างกายแล้ว ยังมีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นต้นเหตุใหญ่ของสภาพอากาศที่แปรปรวน จนทำให้กรุงเทพฯ น้ำท่วมหนักในทุกวันนี้
ปฏิรูประบบจัดการขยะ กทม. ท้าทายความเป็น' Great Governor'
แต่ขยะที่แม้จะอยู่ในถัง หรือนำไปที่ ที่ทิ้งขยะแล้ว ยังมีเบื้องหลังที่จะทำให้เมืองหลวงและประเทศไทย ดูเป็นประเทศที่พัฒนาน่าชื่นชมได้ยิ่งขึ้นอีก ก็คือ "การจัดการแยกขยะ "ขยะที่แยกได้ มีข้อดีคือ การลดปริมาณขยะ นำกลับไปใช้ใหม่ หรือที่เรียกว่ารีไซเคิล และนำมาใช้ซ้ำ ฯลฯลดงลประมาณ ในการบริหารจัดการขยะ ที่ทั้งกระบวนการจัดการต้องใช้งบฯแตะ เกือบหมื่นล้าน ในแต่ละปี(เฉพาะกทม.)
ผู้ว่ากรุงเทพมหานครกับจักรยาน
ในช่วงเดือนเศษที่ผ่านมา ได้มีปรากฏการณ์ในวงการการเลือกตั้งของการเมืองไทยขึ้นมาใหม่
ถอดบทเรียน'ทางม้าลาย'แก้ได้ด้วย'วินัย'
ความสูญเสียเป็นสิ่งที่น่าเศร้า ประเมินค่าไม่ได้ และไม่ควรเกิดขึ้นกับชีวิตคนที่เดินข้ามทางม้าลาย กรณีเหตุการณ์ ส.ต.ต.นรวิชญ์ บัวดก ผบ.หมู่ กองร้อยที่ 2 ตำรวจควบคุมฝูงชน ขับขี่จักรยานยนต์บิ๊กไบค์พุ่งชน พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล หรือ “หมอกระต่าย” แพทย์ผู้ชำนาญการด้านจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


