
สถานการณ์เศรษฐกิจประเทศไทยยามนี้ ต่อเนื่องไปถึงเพลาข้างหน้า เหมือนเรือที่ลอยเคว้งคว้างเผชิญพายุฝนฟ้าคะนอง ภายใต้ผืนฟ้าดำทมึน…มืดแปดด้าน!!!
ปัจจัยที่เซาะกร่อนบั่นทอนความมั่นคงแข็งแรงของประเทศให้เสื่อมทรุดลงทุกมิติ มีทั้งปัญหาทุจริตคอร์รัปชันที่แพร่ระบาดรุนแรงทุกระดับ การเมืองฟอนเฟะ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร แตกสามัคคี มุ่งประโยชน์พวกพ้อง ละเลยประโยชน์สุขประเทศชาติและประชาชน นโยบายรัฐบาลหลายอย่างที่แถลงเป็นสัญญาประชาคมต่อรัฐสภา ไม่ได้ทำ แต่พยายามจะผลักดันนโยบายบางประการ ที่ไม่ได้แถลงต่อรัฐสภา ซึ่งเข้าข่ายเป็นอบายมุข เสี่ยงต่อการทำร้าย ทำลายความมั่นคงของสังคม และสถาบันครอบครัว
สารพันปัญหาสรรพสิ่งที่ประเทศไทยเผชิญอยู่ตอนนี้ อาจเหนี่ยวนำให้ประเทศไทย ถลำเข้าสู่ความเป็น “รัฐล้มเหลว” หรือ “Fail State”
สัญญาณความมืดที่แผ่ปกคลุมระบบเศรษฐกิจประเทศไทย สังเกตเห็นได้ชัดเจนจากกรณีที่องค์กรเศรษฐกิจระดับโลกพร้อมใจกันปรับลดอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ(จีดีพี) ลงอย่างรุนแรง อีกทั้งยังปรับเปลี่ยนมุมมองด้านเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) ปรับลดจีดีพีปีนี้ จาก 2.9 % เหลือเพียง 1.8% ปรับลดจีดีพีปี 2569 จาก 2.9% เหลือแค่ 1.6%
ทำนองเดียวกัน ธนาคารโลก ก็ปรับลดจีดีพีของเศรษฐกิจไทยไปในทิศทางเดียวกับไอเอ็มเอฟ โดยปรับลดจีดีพีปีนี้ลงจาก 2.9% เหลือเพียง 1.6% และปรับลดจีดีพีปี 2569 จาก 2.7% เหลือแค่ 1.8%
มูดีส์อินเวสเตอร์เซอร์วิส ซึ่งเป็นสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก ก็มีการปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของเศรษฐกิจประเทศไทย จาก “มีเสถียรภาพ”(stable) เป็น “ติดลบ” (negative)
ดัชนีวัดหลักนิติธรรม ของโครงการความยุติธรรมแห่งโลก (Rule of Law Index : World Justice Project-WJP) ปี 2567 อันดับของประเทศไทยอยู่ที่ 78 จาก 142 ประเทศ ทรุดฮวบลงจากที่เคยอยู่ในอันดับที่ 65 ในปี 2566
คะแนนดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชัน ขององค์กรความโปร่งใสนานาชาติ (Corruption Perceptions Index :Transparency International-TI) ปี 2567 ลดลงจากที่เคยได้ 35 คะแนน ในปี 2566 มาอยู่ที่ 34 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน
เหตุผลสำคัญยิ่งยวดที่กดดันให้ประเทศไทย เศรษฐกิจไทย ทั้งปีนี้และปีหน้ามีแนวโน้มเป็นไปในทิศทางที่ซูบซีด อับเฉาเศร้าหมอง น่าจะมีอยู่ด้วยกัน 5 ประการ
ประการแรก โครงสร้างระบบเศรษฐกิจไทยล้าสมัย มีขีดความสามารถด้านการแข่งขันอยู่ในระดับต่ำ ขาดการใส่ใจปฏิรูปแบบองค์รวมอย่างจริงจัง เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนใหม่ เสริมขีดความสามารถด้านการแข่งขัน และสร้างดุลยภาพที่ดีระหว่างเศรษฐกิจในประเทศ กับเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
ประการที่สอง รัฐบาลไทย ไม่มีชุดมาตรการที่มีหลักประกันความเชื่อมั่น ในการรองรับผลกระทบต่อภาษีตอบโต้ของประธานาธิบดีสหรัฐ ที่อาจลุกลามบานปลายยกระดับเป็นสงครามการค้า
ประการที่สาม เศรษฐกิจไทย มีความโน้มเอียงที่จะเปราะบางมากขึ้น อ่อนแอมากขึ้น จากปัญหาหนี้สินครัวเรือนเรื้อรัง และทรงตัวอยู่ในระดับสูงถึง 90% ของจีดีพี ซึ่งบั่นทอนกำลังซื้อภายในประเทศ และส่งผลกระทบเป็นโดมิโนต่อภาคการลงทุน อีกทั้งยังกดดันให้อัตราส่วนการใช้กำลังการผลิตโดยรวมในประเทศอยู่ในระดับต่ำอย่างน่าวิตกกังวล
ประการที่สี่ การบังคับใช้กฏหมายอ่อนแอ เกิดช่องว่างความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงความยุติธรรม
ประการที่ห้า สัดส่วนหนี้สาธารณะ และสัดส่วนการขาดดุลงบประมาณต่อจีดีพี มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น สวนทางกับจีดีพีที่ถูกปรับลดลง ซึ่งจะมีผลต่อความมั่นคงทางการคลังโดยตรง
โครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2568 ที่ใช้อยู่ตอนนี้ หรือโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2569 ซึ่งกำลังเข้าสู่การพิจารณาวาระแรกของสภาผู้แทนราษฏร ระหว่างวันที่ 28-30 พ.ค.นี้ ล้วนบ่งชี้ถึงความอ่อนแอและเปราะบางของฐานะการคลังอย่างชัดเจน ด้วยสัดส่วนการขาดดุลงบประมาณต่อจีดีพีที่สูงทะลุระดับความปลอดภัย คือไม่เกิน 2% ไปสู่”ขั้นวิกฤต”ถึงระดับ 5% ต่อจีดีพี
ในเอกสารงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ที่จัดทำขึ้นโดยสำนักงบประมาณ ระบุสัดส่วนการขาดดุลงบประมาณ ต่อจีดีพีไว้ที่ 4.4% โดยตั้งอยู่บนข้อสมมุติฐานประมาณการจีดีพีที่ 3% แต่เมื่อคำนวณจากฐานจีดีพีที่ถูกปรับลดลงล่าสุด เหลือเพียง 1.6% สัดส่วนการขาดดุลต่อจีดีพี จะขยับตัวพุ่งสูงขึ้นไปถึงระดับ 5%
ทำนองเดียวกันในเอกสารงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ซึ่งกำหนดสัดส่วนการขาดดุลงบประมาณต่อจีดีพีไว้ที่ 4.3% โดยตั้งอยู่บนข้อสมมุติฐาน ประมาณการจีดีพีที่ 2.8% แต่เมื่อคำนวณจากฐานประมาณการจีดีพีที่ถูกปรับลดลงล่าสุดเหลือเพียง 1.8% สัดส่วนการขาดดุลต่อจีดีพี จะขยับตัวเพิ่มขึ้นไปแตะระดับ 5%ทันที ซึ่งเป็นระดับ”อันตราย”ต่อเสถียรภาพความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจ
น่าสังเกตว่าฐานะด้านการคลังของประเทศที่อ่อนแอลง แต่หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องกลับมิได้ตระหนัก และเอาใจใส่วิเคราะห์หาสาเหตุ เพื่อกำหนดมาตรการแก้ไขทำให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณที่มีอย่างจำกัด เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามลำดับความสำคัญ ตามลำดับความจำเป็น
กรณีงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2569 สำหรับใช้ในการบริหาราชการแผ่นดินระหว่างเดือนต.ค.2568-ก.ย2569 กำหนดกรอบวงเงินเอาไว้ 3.78 ล้านล้านบาท เป็นงบประมาณขาดดุล 860,000 ล้านบาท ถูกจัดทำขึ้นตั้งแต่เดือนธ.ค.2567 และผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีไปเมื่อเดือนม.ค.2568 ซึ่งเป็นห้วงเวลาก่อนที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศภาษีตอบโต้อัตรา 10%+26% ต่อประเทศไทย เป็นห้วงเวลาก่อนที่ไอเอ็มเอฟ ธนาคารโลก ปรับลดจีดีพี เป็นห้วงเวลาก่อนที่มูดีส์อินเวสเตอร์เซอร์วิส จะปรับลดมุมมองด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยไปในทิศทางที่เลวร้ายลง และเป็นห้วงเวลาก่อนเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว ตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินพังถล่ม อีกทั้งยังเป็นห้วงเวลาที่ยังไม่มีการดำเนินคดีฮั้ว ส.ว.ที่ส่งผลกระทบต่อเอกภาพความมั่นคงของรัฐบาล
หลากหลายเหตุการณ์ความผันผวนปรวนแปร ที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ควรเป็นสิ่งที่สำนักงบประมาณ ในฐานะหน่วยงานหลักของการจัดทำงบประมาณ ต้องผลักดันให้ดำเนินการทบทวนรายการใช้จ่ายเงินงบประมาณ โดยมุ่งเน้นให้เกิดการบริหารจัดการงบประมาณ ที่มีประสิทธิภาพในการรับมือกับแรงกระแทกจากเหตุการณ์ความผันผวนที่ถาโถมเข้ามาให้ได้ดีที่สุด
รายการใด ในงบประมาณรายจ่ายที่ไม่สำคัญยิ่งยวด ไม่จำเป็นเร่งด่วน สมควรต้องพิจารณาทบทวน เพื่อเกลี่ยไปเพิ่มเติมในรายการที่มีความสำคัญยิ่งยวด หรือจำเป็นเร่งด่วน
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ(ก.พ.ร.)ซึ่งรับงบประมาณปีละกว่า 370 ล้านบาท เพื่อทำหน้าที่ปรับปรุงพัฒนาระบบราชการ เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของระบบราชการ พึงต้องศึกษาออกแบบการปฏิรูปโครงสร้างกลไก กระบวนการของระบบราชการให้ตอบโจทย์การลดขนาดราชการ ลดงบประมาณที่เป็นงบประจำให้ต่ำลง เพื่อเปิดพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space) ให้มากขึ้น สามารถเพิ่มเติมสัดส่วนงบลงทุนให้สูงขึ้น เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถด้านการแข่งขันแก่ประเทศ เสริมสร้างการเติบโตที่มั่นคง แข็งแรง และยั่งยืนแก่ประเทศภายใต้ปัจจัยความผันผวน หาความแน่นอนได้ยากลำบาก ทั้งในประเทศและนอกประเทศ
สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ซึ่งรับงบประมาณปีละกว่า 1,700 ล้านบาท จำเป็นต้องปรับขนาด และต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรให้ต่ำลง แต่เพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพการบริการให้สูงขึ้น
ทั้งนี้เพื่อมุ่งทำให้ระบบราชการมีความกระทัดรัด ประหยัดงบประมาณ แต่มีมาตรฐานคุณภาพบริการที่ดี ซึ่งเป็นแนวโน้มใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เวียดนาม รวมทั้งเขตเศรษฐกิจฮ่องกง
ภายใต้ภัยคุกคามหลากมิติ ที่ชักนำความมืดเข้าครอบงำประเทศไทย สามารถฝ่าฟันก้าวข้ามไปได้หากคนไทยหันหน้าเข้าหากัน หยิบยื่นความรัก ความปรารถนาดี ความสามัคคีปรองดองแก่กัน แล้วสานพลังสติปัญญา เจริญศีลสมาธิร่วมกันในการขับไล่ความมืดให้ปลาสนาการไป เปิดทางให้ความสว่างสดใสเบิกบานเข้ามาแทนที่…
ภูมิปัญญาของเราคนไทย ไม่เป็นสองรองใครในโลก ขอเพียงเรามีสามัคคีธรรม ใช้มันด้วยความมีศีล มีสติ มีสมาธิ และมีความซื่อสัตย์สุจริต
วุฒิพันธุ์ วิชัยรัตน์
อดีตผู้อำนวยการ สำนักงบประมาณ
อดีตสมาชิกวุฒิสภา

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ส.ว.วุฒิพันธุ์ ออกจดหมายเปิดผนึก โชว์จุดยืนโหวตเลือกนายกฯ
นายวุฒิพันธุ์ วิชัยรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ได้มีจดหมายเปิดผนึก ฉบับที่ 2 ระบุข้อค
ส.ว.ห่วงท่าที“ก้าวไกล”แข็งกร้าว ทำ“พิธา”สะดุดหน้าเก้าอี้นายกฯ
สนามการเมืองฝุ่นตลบ “พรรคก้าวไกล” ที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมากที่สุด ได้จัดตั้งรัฐบาลก่อนเป็นพรรคแรก และดูเหมือนหนทางการเป็นนายกรัฐมนตรีของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล จะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
เปลี่ยนความชัง เป็นความรัก พาประเทศเดินหน้า
บรรยากาศการเมืองวันนี้…ทำให้ผมหวนรำลึกถึงบรรยากาศของการทำงานในอดีต เมื่อสัก 30-40 ปีที่แล้ว…ซึ่งก็มีบริบททางการบ้านการเมืองคล้ายๆกับบรรยากาศความขัดแย้งทางการเมืองทำนองเดียวกันกับที่กำลังเกิดขึ้นกับบ้านเมืองเราทุกวันนี้…


