ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (Financial Hub)

เมื่อวันที่ 26 กค. ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสเข้าฟังเสวนาเรื่อง “ร่าง .ร.บ. ศูนย์กลางทางการเงิน : ฝันไกล ฝันล่ม หรือฝันร้าย ?” จัดโดยกลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม ซึ่งหัวข้อเรื่องชวนให้สงสัยว่า ศูนย์กลางทางการเงินในไทยจะเป็นแค่ความฝันหรืออย่างไ? แต่หากเกิดได้จริงก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะจะได้สร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศได้เพิ่มเติมขึ้น แต่ปรากฏว่ามีความเป็นห่วงในหลายเรื่องที่อยู่ในร่าง พ.ร.บ. ที่ยังไม่ชัดเจนหากจะนำไปใช้งานจริง  

ถ้าสามารถทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลกและดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินจากต่างประเทศให้มาประกอบธุรกิจในไทยได้ ก็จะช่วยเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพิ่มการผลิต การจ้างงาน รายได้ รวมถึงรายได้ของรัฐจากภาษีที่จัดเก็บได้มากขึ้น ส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้ ทักษะทางการเงินและเทคโนโลยีต่างๆ ของคนไทย เพิ่มความเชื่อมโยงธุรกิจในประเทศกับตลาดโลก เป็นภาพลักษณ์ที่ดีช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนต่างชาติ และสร้างการตื่นตัวในประเทศและอาจเป็นผู้นำในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงินในอนาคต

ขณะเดียวกันต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น อาทิ อาจเปิดช่องให้ศูนย์กลาง ฯ กลายเป็นช่องทางการฟอกเงินหรือสนับสนุนการเงินผิดกฎหมายหากกฎระเบียบและการกำกับดูแลผ่อนคลายมากไป แต่ก็ต้องไม่ให้เข้มเกินไปจนไม่จูงใจให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในศูนย์กลาง ฯ  การถูกโจมตีทางไซเบอร์  (Cybersecurity threat) จากการที่เป็นแหล่งศูนย์รวมข้อมูลด้านการเงิน การรั่วไหลของข้อมูลซึ่งจะทำลายภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของประเทศ และความอ่อนไหวของเศรษฐกิจการเงินในประเทศต่อความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก เป็นต้น ดังนั้น จำเป็นต้องประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น วางแนวทางป้องกันหรือจัดการความเสี่ยงได้อย่างรัดกุมเหมาะสม  

ศูนย์กลางทางการเงินที่ประสบความสำเร็จและสร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศได้อย่างแท้จริงต้องมีการวางแผนที่ดี การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และ มีความสามารถในการปรับตัวต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญต้องกำหนดเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ให้ชัดเจนว่าต้องการให้เป็นศูนย์กลางฯ ในด้านใด จากจุดแข็งที่มี หากจะให้ไทยเป็นศูนย์กลางการเงินระดับโลกได้นั้น แค่ใช้ประโยชน์จากทำเลที่ตั้งของกรุงเทพฯ ที่อยู่ใจกลางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และต้นทุนค่าครองชีพและค่าเช่าในกรุงเทพฯ ต่ำกว่าคู่แข่ง ยังไม่น่าพอที่จะดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินจากต่างประเทศให้มาประกอบธุรกิจในไทยได้มากมายนัก เพราะยังมีอีกหลายปัจจัยที่สำคัญ เช่น ความพร้อมของระบบสาธารณูปโภคและเทคโนโลยีที่รองรับ คุณภาพและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของบุคลากรและแรงงาน เสถียรภาพและความแข็งแกร่งของภาคเศรษฐกิจ/การเงิน/การเมือง/สังคม การดูแลแก้ไขปัญหาอาชญากรรมต่างๆ  ระบบกฎหมายและการบังคับใช้กกฎหมายที่เข้มแข็ง ระบบธรรมาภิบาลที่ดีของประเทศ รวมถึงชื่อเสียงและภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ เป็นต้น

ศูนย์กลางฯ ประเทศสิงคโปร์ ใช้จุดแข็งของการมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการเงินและการเมือง มีธรรมาภิบาลและกฎหมายเข้มแข็ง และเทคโนโลยีขั้นสูง จึงมีเป้าหมายที่จะเป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุนในเอเชีย ศูนย์กลางฯ ฮ่องกง ต้องการเชื่อมโยงตลาดทุนจีนกับโลก ศูนย์กลางฯ ของรัฐดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีจุดแข็งจากทำเลที่ตั้งซึ่งอยู่ใจกลางภูมิภาคตะวันออกกลางจึงต้องการเชื่อมโยงกับผู้ประกอบธุรกิจหรือลูกค้าของศูนย์กลางฯ ในหลายๆ แห่ง และศูนย์กลาง ฯ ของไทยต้องการเป็นศูนย์กลางฯ ด้านใด ? และมีจุดแข็งด้านไหน ?

นอกจากนี้ ต้องส่งเสริมระบบนิเวศ (ecosystem) ของศูนย์กลางฯ ให้จูงใจและเอื้อต่อ
การลงทุน ซึ่งมีการกำหนดไว้แล้วในร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. …. เกี่ยวกับลักษณะของผู้ประกอบธุรกิจและขอบเขตของธุรกิจเป้าหมายและการให้บริการ การกำหนดที่ตั้งของศูนย์กลางฯ  โครงสร้างการกำกับดูแลศูนย์กลางฯ ที่มีคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางฯ  และมีสำนักงานและบุคคลากรของสำนักงานเพื่อปฏิบัติงาน กฎหมายที่จะได้รับการยกเว้นรวมถึงสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่จะให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจในศูนย์กลางฯ อย่างไรก็ดี ร่าง พ.ร.บ. เป็นเพียงหลักการและแนวทางไม่ได้ลงในรายละเอียดถึงวิธีการและการดำเนินการที่ชัดเจน แต่ก็มีข้อสังเกตและความกังวลถึงผลกระทบที่อาจตามมาจากการที่จะจัดตั้งศูนย์กลางฯ  

โดยที่ในร่าง พ.ร.บ. ได้ให้อำนาจแก่คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงินไว้มาก ในการออกนโยบาย หลักเกณฑ์ และข้อบังคับต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมศูนย์กลาง ฯ ทำให้มีข้อกังวลว่าอำนาจที่มากเกินไปอาจทำให้ขาดมาตรฐานในการกำกับดูแล และอาจกระทบต่อเสถียรภาพของศูนย์กลาง ฯ  

การยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายหลายฉบับและการให้สิทธิประโยชน์หลายด้าน แก่ผู้ประกอบธุรกิจในศูนย์กลาง ฯ อาจทำให้ความเข้มข้นในการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจในกับนอกศูนย์กลาง ฯ แตกต่างกัน โดยในศูนย์กลาง ฯ มีแต้มต่อในด้านการกำกับดูแลและสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ จึงอาจนำไปสู่ประเด็นความได้เปรียบเสียปรียบทางการแข่งขันระหว่าง
ผู้ประกอบธุรกิจในกับนอกศูนย์กลาง ฯ

ควรมีเกณฑ์ทางด้านคุณภาพหรือมาตรฐานของผู้ประกอบธุรกิจที่จะเข้ามาในศูนย์กลาง ฯ เพื่อให้มั่นใจว่าได้ผู้ประกอบธุรกิจการเงินที่มีคุณภาพ มีธรรมาภิบาล และเป็นที่เชื่อถือในระดับสากล

นอกจากนี้ ยังไม่ได้ระบุให้ชัดเจนในเรื่องกฎหมายที่จะบังคับใช้ในศูนย์กลาง ฯ กรณีเกิดข้อพิพาท โดยทั่วไปแล้ว ศูนย์กลาง ฯ ของต่างประเทศใช้ระบบ Common Law ของอังกฤษ (เป็นระบบกฎหมายที่พัฒนามาจากคำพิพากษาในคดีต่าง ๆ แล้วกลายมาเป็นบรรทัดฐานในการวินิจฉัยคดีที่มีลักษณะคล้ายกันในอนาคต) ซึ่งเป็นที่คุ้นเคยและยอมรับในระดับสากล ถ้าศูนย์กลางฯ ของไทย จะใช้ Common Law ก็จะต้องเตรียมการอีกหลายเรื่อง และเท่ากับว่าไทยจะใช้กฎหมาย 2 แบบ (ในศูนย์กลางฯ ใช้ Common Law นอกศูนย์กลางฯ ใช้กฎหมายไทย) ดังนั้น ขอบเขตการให้บริการของศูนย์กลางฯ ต้องชัดเจนว่าให้เฉพาะคนต่างชาติหรือรวมคนไทยและในบริการประเภทไหน และหากเกิดข้อพิพาทจะดำเนินการทางกฎหมายแบบใด   

ข้อสังเกตข้างต้นคงเป็นแค่บางโจทย์ที่ภาครัฐควรจะนำไปพิจารณา และสื่อสารให้เป็นที่เข้าใจ เพราะทุกฝ่ายต่างคาดหวังว่าถ้าจะเกิดศูนย์กลาง ฯ ขึ้นจริง ก็ต้องมั่นใจว่าจะสามารถสร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศได้อย่างแท้จริงและยั่งยืน  

บทความ คอลัมน์ พิจารณ์นโยบายสาธารณะ กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

ดร. สมศจี ศิกษมัต
กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

การพัฒนาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน :  มุมมองด้านการกำกับดูแล

คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 เห็นชอบหลักการของร่าง พ.ร.บ. ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ.......... ผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (Financial Hub) เพื่อเป็นผู้เล่นสำคัญทางเศรษฐกิจในเวทีโลก และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ