บทเรียนประเทศไทยจากพิษภัยการเมือง

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยความขัดแย้ง การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในหลายทศวรรษที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่าปัญหาการเมืองไทยมิได้เป็นเพียงเรื่องของบุคคล แต่เป็นผลจากโครงสร้าง องค์กร และวัฒนธรรมทางการเมืองที่หยั่งรากลึก นักวิชาการธงชัย วินิจจะกูล (2018) ชี้ว่า วงจรการเมืองไทยมีลักษณะซ้ำซาก ไม่ว่าจะเป็นการทุจริต ความไม่เสมอภาคทางกฎหมาย หรือการแทรกแซงของกลุ่มอำนาจนอกระบบ ซึ่งสร้างความเปราะบางต่อพัฒนาการประชาธิปไตยเป็นอย่างมาก

บทความนี้ได้มุ่งชี้สาเหตุสำคัญถึง “พิษภัยการเมือง” ของประเทศไทยในหลายมิติ เพื่อสะท้อนบทเรียนสำคัญและแนวทางที่สังคมควรตระหนักเพื่อหาทางออกจากวงจรความล้มเหลวทางการเมือง

1. กระบวนการยุติธรรมที่ไม่มีความเสมอภาค

ระบบกฎหมายไทยถูกวิพากษ์วิจารณ์มายาวนานเรื่อง “สองมาตรฐาน” นักวิจัยของสถาบันพระปกเกล้า (2562) ระบุว่า ประชาชนจำนวนมากรู้สึกว่ากฎหมายถูกบังคับใช้ไม่เท่าเทียมกัน โดยกลุ่มผู้มีอำนาจหรือฐานะทางเศรษฐกิจมักได้รับการผ่อนปรน ขณะที่ประชาชนทั่วไปต้องเผชิญกับการบังคับใช้ที่เข้มงวด การเลือกปฏิบัติทางกฎหมายเช่นนี้ทำให้ความศรัทธาในหลักนิติธรรม (Rule of Law) ถูกบั่นทอน และประชาธิปไตยไม่อาจยั่งยืน รวมทั้งมีผลกระทบที่รุนแรงต่อสังคมไทยด้านความมั่นคง เพราะความยุติธรรมและความสงบสุขของชาตินั้น เป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้ ความสงบสุข และความยุติธรรมนั้น ต่างอยู่คนละด้าน ของเหรียญเดียวกัน (Peace and justice are two sides of the same coin. (Dwight D. Eisenhower) ประเทศชาติจะสงบสุขไม่ได้ ถ้าไร้ความยุติธรรม

2. การที่องค์กรอิสระไม่ทำหน้าที่อย่างที่ควรจะเป็น

องค์กรอิสระถูกออกแบบมาเพื่อเป็นกลไกถ่วงดุล ตรวจสอบ และรักษาความโปร่งใส แต่ในทางปฏิบัติกลับถูกตั้งคำถามด้านความเป็นกลางและความกล้าหาญในการทำหน้าที่ งานวิจัยของ Pasuk & Baker (2016) ชี้ว่า องค์กรเหล่านี้บ่อยครั้งถูกครอบงำโดยกลุ่มการเมืองหรือกลุ่มทุน ทำให้ไม่สามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริง เมื่อองค์กรที่ควรสร้างความสมดุลกลับไม่ทำหน้าที่ จึงยิ่งตอกย้ำปัญหาความไม่ไว้วางใจในสถาบันการเมือง การไม่ยอมทำหน้าที่และความล่าช้าขององค์กรอิสระ คือตัวเร่งทำให้สถานการณ์ของประเทศชาติเลวร้ายลง

3. ระบบการเมืองไทยที่ไร้คุณภาพ

ระบบการเมืองไทยยังถูกกำกับด้วยวัฒนธรรมอุปถัมภ์ การซื้อเสียง และการขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม นักวิชาการอย่าง Anek Laothamatas (1992) วิเคราะห์ว่า การเมืองแบบ “ประชาธิปไตยแบบบ้านนอก” ของไทย ทำให้ตัวแทนที่เข้าสู่สภามักขาดวิสัยทัศน์และความรู้ความสามารถในการกำหนดนโยบายเพื่อประโยชน์สาธารณะ ผลที่เกิดขึ้นคือ นโยบายจำนวนมากเป็นนโยบายระยะสั้น ไม่ตอบโจทย์เชิงโครงสร้าง และทำให้ประเทศติดอยู่กับวงจร “การเมืองคุณภาพต่ำ”

4. ความอ่อนแอของประชาชน

ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยควรมีบทบาทในการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจรัฐ แต่ในสังคมไทย พลเมืองส่วนใหญ่ยังคงขาดความเข้มแข็งในการรวมตัวหรือแสดงออกเชิงสร้างสรรค์ อาจเนื่องจากข้อจำกัดทางการศึกษา เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และเสรีภาพทางการเมือง รวมถึงนิสัยพื้นฐานของคนไทย ที่ขี้เกรงใจ รักสงบ ไม่ชอบหาเรื่องใส่ตัว วัฒนธรรมการวางเฉย จึงได้แพร่กระจายไปทั่ว ซึ่งก็เข้าทางคนที่คิดทำชั่วพอดี หากคนไทยยังขาดความเข้มแข็ง ความชั่วร้ายในชาติจะเติบโตต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด  Almond & Verba (1963) เคยชี้ว่า “วัฒนธรรมพลเมือง” (civic culture) เป็นเงื่อนไขสำคัญของประชาธิปไตย หากประชาชนไม่ตื่นตัวทางการเมือง รัฐย่อมถูกครอบงำโดยกลุ่มผลประโยชน์ ขณะเดียวกันประชาชนก็อาจจะถูกปกครองโดยคนที่มีภูมิปัญญาที่ด้อยกว่า(One of the penalties of refusing to participate in politics is that you end up being governed by your inferiors…Plato)

5. การขาดจิตสำนึกสาธารณะ

อีกปัญหาหนึ่งคือ ประชาชนจำนวนมากยังให้ความสำคัญกับประโยชน์เฉพาะตนมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม การยอมรับการคอร์รัปชันเป็น “เรื่องปกติ” จนกลายเป็นวัฒนธรรมที่ฝังรากลึก ปรากฏการณ์นี้สอดคล้องกับงานของ Kobkua (2003) ที่อธิบายว่า วัฒนธรรมการเมืองไทยยังเป็นแบบ “อุปถัมภ์นิยม” (patron-client system) ซึ่งทำให้จิตสำนึกพลเมืองไม่แข็งแรงเพียงพอที่จะปกป้องผลประโยชน์ชาติ บ้านเมืองที่ดีต้องเริ่มต้นจากจิตสำนึกสารธารณะของคนในชาติ เรื่องของจิตสำนึกฟังดูอาจเป็นแค่นามธรรมซึ่งยากที่จะเปลี่ยนให้เป็นรูปธรรมได้โดยง่าย แต่อย่าลืมว่าทุกชาติที่เจริญแล้ว ล้วนแล้วแต่มีจุดเริ่มต้นมาจากการแก้ปัญหาจิตสำนึกของคนในชาติจนสำเร็จแล้วทั้งสิ้น ไม่มีเส้นทางลัดแห่งความเจริญรุ่งเรืองของชาติได้ ตราบใดที่คนไทยยังไร้จิตสำนึกสารธารณะ คนไทยจำเป็นต้องปรับตัวให้เป็นคนดีของชาติบ้านเมือง ปรับบทบาทจากผู้หาประโยชน์จากนักการเมืองโดยมิชอบ มาเป็นผู้รักษาผลประโยชน์ของชาติ จากผู้ถูกซื้อเสียงมาเป็นผู้คัดกรอง ผู้ตรวจสอบและป้องกันภัยจากนักการเมือง การปกป้องชาติไม่ใช่เป็นหน้าที่ของทหารเท่านั้น แต่มันคือภาระหน้าที่ในจิตสำนึกของคนไทยทุกคน

6. การถูกแทรกแซงจากกลุ่มผลประโยชน์และกลไกทางทหาร

ประวัติศาสตร์การเมืองไทยได้สะท้อนให้เห็นถึงการใช้การเมืองเป็นเครื่องมือแสวงหาอำนาจ และผลประโยชน์ ของกลุ่มทุนทางเศรษฐกิจบางกลุ่ม โดยอ้างประชาธิปไตยบังหน้า ขณะที่กลไกทางทหารมักเข้ามามีบทบาทในรูปแบบของการปกป้องประเทศชาติ (การยึดอำนาจ) เป็นระยะๆ โดยอ้างเหตุผลเรื่อง ความมั่นคง การเมืองที่ล้มเหลว การทุจริตคอร์รัปชัน และการขาดธรรมาภิบาล การถูกแทรกแซงจากกลุ่มทุนดังกล่าว และอำนาจทางทหารที่เข้ามากำหนดทิศทางการเมืองอย่างไม่ต่อเนื่องและไม่มีประสิทธิภาพ ได้ส่งผลให้การพัฒนาการประชาธิปไตยเป็นไปอย่างล่าช้า

7. การศึกษาและการสร้างพลเมืองประชาธิปไตยที่ล้มเหลว

การศึกษาไทยยังมุ่งเน้นการท่องจำมากกว่าการคิดเชิงวิพากษ์ ไม่ได้ปลูกฝังความรู้สึกของความเป็นเจ้าของประเทศชาติ สังคมและความรับผิดชอบต่อประชาธิปไตย ผลที่ตามมาคือพลเมืองไทยจำนวนมากเติบโตมาโดยไม่มีทักษะการโต้แย้งอย่างมีเหตุผล การเคารพความคิดเห็นที่แตกต่าง หรือการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่สร้างสรรค์ งานวิจัยของ Connors (2007) เน้นว่า ระบบการศึกษาไทยล้มเหลวในการสร้าง “พลเมืองประชาธิปไตย” (democratic citizenship) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของสังคมประชาธิปไตย

บทสรุป

พิษภัยการเมืองไทยมิได้เกิดจากความล้มเหลวของนักการเมืองเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นผลลัพธ์ของโครงสร้างทางการเมือง สถาบันของรัฐ องค์กร และวัฒนธรรมทางสังคมที่ยังไม่พัฒนาเต็มที่ บทเรียนสำคัญคือ การปฏิรูปประเทศต้องดำเนินการแบบองค์รวม ทั้งการเสริมสร้างความเป็นอิสระของกระบวนการยุติธรรม การเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรอิสระ การยกระดับคุณภาพการเมือง และการปลูกฝังพลเมืองประชาธิปไตยผ่านระบบการศึกษา

หากสังคมไทยสามารถก้าวข้ามความล้มเหลวเดิม ๆดังที่กล่าวมาแล้วได้ ประเทศไทยย่อมมีโอกาสสร้างประชาธิปไตยที่มั่นคง ยั่งยืน และหลุดพ้นจากวงจรความล้มเหลวทางการเมืองที่ซ้ำซากได้

__________________________________________________________

 นายแพทย์ ชำนาญ ภู่เอี่ยม

เวทีพิจารณ์นโยบายสาธารณะ

กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

มูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อดีตบิ๊กสธ.' ปลุก 'แพทยสภา' ยึด ความถูกต้อง-ความยุติธรรม เหนือผลประโยชน์ส่วนตน

นพ.ชำนาญ ภู่เอี่ยม อดีตหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข โพสต์ความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า “ห่วงใยชาติไม่น้อยไปกว่าการตัดสินใจของกรรมการแพทยสภา“

ทศวรรษนานาชาติแห่งวิทยาศาสตร์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

ความยั่งยืนเป็นเรื่องที่รณรงค์กันมายาวนานต่อเนื่อง...และจะยังคงต้องรณรงค์กันต่อไป และ...วิทยาศาสตร์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นเรื่องที่จะต้องรณรงค์คู่ขนานกันกับการพัฒนา

ลงทุนในทองคำดีไหม

ข่าวที่เราได้เห็นอยู่บ่อยๆ ในปีนี้ ว่าราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ซ้ำแล้วซ้ำอีก น่าจะทำให้เรารู้สึกว่าเราควรจะลงทุนซื้อทองคำตอนนี้ไว้มากๆ เผื่อเอาไว้ขายทำกำไรได้งามๆ ในอนาคต

เปลี่ยนก้อนหิน เป็นดอกไม้..เปลี่ยนความขัดแย้ง เป็นความปรองดอง หลอมรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย พาประเทศก้าวเดินไปข้างหน้า…..

ปีแล้วปีเล่าที่ประเทศอันเป็นที่รักของเรา ต้องติดหล่ม จมอยู่กับความขัดแย้ง และทิ่มแทงกันด้วยถ้อยคำกร้าวร้าวรุนแรง แบ่งฝักฝ่ายขว้างปาความเกรี้ยวกราดใส่กัน ด้วยเหตุจากความเห็นที่แตกต่างกัน และช่องว่างความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงความเป็นธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสลดหดหู่หัวใจอย่างยิ่ง

ตลาดหุ้นกู้ กับ การสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน

นช่วงทศวรรษที่ผ่านมา บริษัทเอกชนเข้ามาระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้กันมากขึ้น ตลาดหุ้นกู้จึงเติบโตอย่างรวดเร็ว จนปัจจุบันมีมูลค่าคงค้างราว 4.5 ล้านล้านบาท  จำนวนบริษัทที่ออกหุ้นกู้เพื่อระดมทุนก็เพิ่มขึ้นมาก  ไม่จำกัดอยู่เพียงบริษัทขนาดใหญ่เหมือนแต่ก่อน  แต่มีทั้งบริษัทขนาดกลางขนาดเล็กเพิ่มมากขึ้น

โอกาสของการพัฒนาภาคเกษตรไทย

ภาคเกษตรเคยเป็นพระเอกทางเศรษฐกิจของประเทศไทย เป็นแหล่งอาหารที่เลี้ยงดูประชากรให้มีความอิ่มหนำสำราญ สร้างโอกาสให้คนไปทำงานอื่น ๆ แถมยังสร้างชื่อเสียงเป็นหน้าเป็นตาให้ประเทศด้วย