บันไดสามขั้นได้ รธน.ฉบับใหม่ ครม.-พรรคร่วมรัฐบาล ต้องเสนอร่างแก้ไข รธน.ประกบ

สว.มีอำนาจอยู่ในมือ มีอาวุธอยู่ก็คือเสียง สว.ในการโหวต ที่ต้องมี สว.เห็นชอบไม่น้อยกว่าหนึ่งในสาม คำถามคือเขาจะวางดาบตรงนี้ทำไม มันเป็นอำนาจเขาอยู่ สว.ไม่ให้ 67 เสียงร่างแก้ไข รธน.ก็ไม่ผ่านแล้ว อันนี้น่ากลัวมาก เห็นว่าการที่จะให้เขายอมก็ควรไปคุยกับสว.เขาดีๆ

การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญมายกร่าง รธน.ฉบับใหม่ เป็นอีกหนึ่งประเด็นการเมืองที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้มีการทำประชามติสามครั้ง และไม่ให้ผู้จะมายกร่างรธน.มาจากการเลือกตั้งโดยตรง ทำให้ขณะนี้เริ่มมีการเสนอโมเดลที่มาของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ส.ส.ร. และกรรมาธิการยกร่าง รธน.กันออกมาแล้วหลายโมเดล โดยเรื่องการแก้ไข รธน.-การทำประชามติ เป็นอีกหนึ่งเงื่อนไขข้อตกลงทางการเมืองในการโหวตนายกรัฐมนตรี  ระหว่างนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กับพรรคประชาชน ที่หลายฝ่ายจับตากันว่ารัฐบาลภูมิใจไทย  จะเดินหน้าเรื่องนี้ตามข้อตกลงทางการเมืองดังกล่าวกับพรรคประชาชนหรือไม่

สำหรับเรื่องการแก้ไข รธน. หนึ่งในนักการเมืองที่มีบทบาทในเรื่องนี้มาตลอดในช่วงที่ผ่านมา และวันนี้มาให้ความเห็นถึงทิศทางการแก้ไข รธน.และการยกร่าง รธน.ฉบับใหม่ นั่นก็คือ “นิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา และอดีตเลขานุการคณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. , อดีตประธานคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560” โดยเริ่มด้วยการกล่าวว่า  จนถึงขณะนี้ยังมีความหวังอยู่กับการยกร่าง รธน.ฉบับใหม่  อย่างไรก็ตามต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ที่คนคิดว่าจะมี รธน.ฉบับใหม่ภายใน 4 เดือน-ไม่ใช่ เพราะเวลา 4 เดือนไม่สามารถจะมี รธน.ฉบับใหม่ได้ทัน แต่ที่จะเกิดขึ้นก็คือ จะมีการเสนอแก้ไข รธน.หมวดที่ว่าด้วยการแก้ไข รธน. (มาตรา 256) ที่หากย้อนไปในอดีตสมัยนายกรัฐมนตรีบรรหาร ศิลปอาชา ก็คือการแก้ไขมาตรา 211 ที่ไปปรากฏใน รธน.ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมตอนปี 2539 และนำมาสู่การร่าง รธน.ฉบับ 2540 ซึ่งกับสถานการณ์ปัจจุบันต้องดูว่าจะสามารถแก้ไขมาตรา 256 ได้ทันหรือไม่ เพื่อให้กลไกไปสู่การยกร่าง รธน.ฉบับใหม่ต่อไป ที่กว่าจะเสร็จคงอยู่ในช่วงปี พ.ศ. 2569 หรือพ.ศ. 2570

เรื่องนี้เปรียบเทียบก็เหมือนการขึ้นบันไดที่มีบันไดด้วยกันสามขั้น บันไดขั้นแรกก็คือ การดำเนินการตามคำวินิจฉัยศาล รธน.ผ่านการทำประชามติ ซึ่งครั้งแรกก็คือการถามประชาชนว่า "สมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่" บันไดขั้นที่สองคือ สามารถแก้ไข 256 ที่เป็นมาตราว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติม รธน.ได้หรือไม่ บันไดขั้นที่สามคือ การที่จะมีรธน.ฉบับประชาชนขึ้นมาในอนาคต โดยสมาชิกสภาร่าง รธน.หรือ ส.ส.ร. ที่ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าไม่สามารถมาจากการเลือกตั้งโดยตรงได้

 ...ในช่วง 4 เดือนจากนี้ บวกกับช่วงการเลือกตั้งที่จะต้องเลือกตั้งหลังยุบสภาภายในไม่เกิน 60 วัน รวมกันแล้วก็คือประมาณ 6 เดือน ผมคิดว่ามีโอกาสที่บันไดขั้นที่ 1 น่าจะมีโอกาสทำได้ และอาจจะได้ขั้นที่ 2 ด้วย แต่ว่าขั้นที่ 3 ไม่ได้ แต่ก็ถือว่ายังดี ซึ่งในฐานะที่ติดตามการเมือง สถานการณ์ขณะนี้บังคับทุกพรรคการเมือง เป็นไฟต์บังคับ รัฐบาลอนุทิน เป็นรัฐบาลที่ได้เข้ามาเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย มีภารกิจการเมือง เขาต้องทำให้สุดมือ ผมก็เลยเชื่อว่ามีโอกาส ซึ่งหากเกิดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ก็จะเป็น legacy ที่เป็นเกียรติประวัติ ก็เป็นเรื่องดี เพราะตอนนี้สถานการณ์การเมืองบังคับโดยไทม์ไลน์

โดยขั้นตอนต่อจากนี้พอมีการโปรดเกล้าฯ ครม. จากนั้น ครม.ก็ต้องเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ แล้วก็มีการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาภายในไม่เกิน 15 วัน ซึ่งเมื่อรัฐบาลมีเวลาบริหารประเทศแค่ 4 เดือน ก็คงไม่มีนโยบายอะไรแถลงมาก พอรัฐบาลแถลงนโยบายเสร็จสิ้นก็เริ่มนับเคาต์ดาวน์ นับไป 4 เดือนก็จะไปอยู่ในช่วงปลายเดือนมกราคมปีหน้า คือไม่เกินเดือนมกราคม 2569 ต้องยุบสภาตามข้อตกลง MOA เพราะผิดจากนี้ไปวันเดียวก็เสียมุมทางการเมือง

...พอยุบสภา สภาพการณ์จะบังคับต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 45-60 วัน ที่ผมเล็งไว้ว่าการเลือกตั้งก็อาจจะเกิดขึ้นช่วงวันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2569 หรือขยับไปอีกหนึ่งสัปดาห์ประมาณ 5 เมษายน 2569 ที่เคลื่อนขยับได้ไม่ผิดกติกา

ขณะเดียวกันตอนนี้ก็ต้องรอการโปรดเกล้าฯ พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติฉบับใหม่ ที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมให้มีการประกาศใช้เป็นกฎหมาย ซึ่งตอนนี้ก็ต้องใช้ฉบับเก่าอยู่ ที่หากทำประชามติตอนนี้ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 90 วัน แต่ไม่เกิน 120 วัน แต่ต้องประชามติสองชั้น ซึ่งหากเป็นสถานการณ์ในปัจจุบันไม่มีทางผ่านประชามติ ต้องรอฉบับใหม่ (ประชามติชั้นเดียว) และที่มีการเสนอก่อนหน้านี้คือ จะให้ประชามติวันเดียวกับวันเลือกตั้ง สส. ที่จะทำไม่ได้เลย ต้องรอการประกาศใช้ พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติฉบับใหม่

29 มี.ค. 2569 อาจเป็นวันเลือกตั้ง สส. พ่วงทำประชามติแก้ รธน.

 "นิกร" กล่าวถึงขั้นตอนการทำประชามติแก้ไข รธน.ต่อไปว่า เมื่อมีการประกาศใช้กฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติฉบับใหม่ ครม.ต้องมีมติ ครม.กำหนดวันทำประชามติ เพื่อถามคำแรกตามที่ศาล รธน.ชี้มาคือ ถามประชาชนว่าจะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ที่จะเสนอจากสภาก็ได้ แต่ผมเห็นว่าเสนอจาก ครม.ไปเลยก็ได้ ที่ก็เก็งไว้ว่าสามารถทำประชามติวันเดียวกับวันเลือกตั้ง สส.คือ 29 มีนาคม 2569

...เท่ากับวันที่ 29 มีนาคม 2569 จะได้สองอย่าง คือหนึ่ง-ทำประชามติ คำถามที่หนึ่ง ถามประชาชนยอมให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ สอง-ก็คือประชาชนได้เลือกตั้ง ที่ก็ทำให้ประหยัดงบประมาณไปได้ รวมถึงประหยัดเงิน ประชาชนไม่ต้องออกมาใช้สิทธิสองครั้ง

หากประชาชนออกเสียงประชามติว่าเห็นควรให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ ก็จะไปต่อได้ แต่คราวนี้ตรงคำถามที่ 2 ของการทำประชามติ ศาล รธน.ชี้ว่าทำไปพร้อมกันได้ หรือจะไม่ทำพร้อม ทำทีหลังก็ได้ แต่เมื่อมีโอกาสแล้วก็ทำเสียเลย เพื่อว่าจะได้ไปที่บันไดขั้นที่สอง

“นิกร” กล่าวต่อไปว่า ในช่วงต่อจากนี้พรรคการเมืองก็จะมีการนำเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย โดยต้องถอนร่างแก้ไข รธน.เดิมที่เสนอต่อรัฐสภาออกไป เพราะร่างดังกล่าวเขียนให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่าง รธน.โดยตรงจากประชาชน ที่ขัดกับคำวินิจฉัยของศาล รธน. เช่นเดียวกับร่างแก้ไข รธน.ของพรรคประชาชน ก็ต้องถอนออกมาแล้วยื่นร่างแก้ไข รธน.ฉบับใหม่เข้าไป

...แต่คำถามคือว่า ภารกิจของรัฐบาลปัจจุบันคืออะไร ที่ผมขอเสนอว่ารัฐบาลควรยกร่างแก้ไข รธน.ขึ้นมาอีกหนึ่งฉบับ ให้เป็นร่างที่ 3 จะได้เป็นการแสดงความจริงใจของรัฐบาลด้วย ไม่ใช่พอเสนอเข้าไป 2 ร่าง (เพื่อไทย-ประชาชน)แล้วก็ไปดูข้อบกพร่องของทั้ง 2 ร่างแล้วค่อยไปดีดออก แล้วไปโทษว่าร่างที่เสนอเข้ามาใช้ไม่ได้

“รัฐบาลควรต้องทำร่างขึ้นมาเองเลยเพื่อแสดงความรับผิดชอบ ซึ่งความจริงใจของรัฐบาล ต้องเอาเรื่องนี้มาเป็นนโยบายรัฐบาลข้อแรกที่แถลงต่อที่ประชุมรัฐสภาด้วยซ้ำ หรือให้ สส.รัฐบาลร่วมกันเซ็นชื่อเสนอร่างแก้ไข รธน.เข้าที่ประชุมรัฐสภา ก็เสนอได้”

...นอกจากนี้เรื่องแก้ไข รธน.ยังมีประเด็นเรื่องของสมาชิกวุฒิสภา เพราะหาก สว.ไม่เห็นชอบด้วยกับร่างแก้ไขรธน.ที่เสนอเข้าไป เสียงไม่ถึง 1 ใน 3 ก็จบเลย ต้องได้เสียงสว. 67 เสียง หากไม่ได้ก็ไม่มีทางผ่าน

...ตรงนี้หากรัฐบาลเสนอร่างแก้ไข รธน.เข้ารัฐสภา รัฐบาลมีข้อได้เปรียบคือสามารถเชิญ สว.มาคุยกันก่อนได้ ซึ่งขณะนี้ส่วนตัวผมเองก็ยังไม่ได้มีการไปพูดคุยกับ สว.ชุดปัจจุบัน เพราะยังไม่ถึงขั้นตอนในส่วนนั้น แต่ก็อย่างที่ผมเสนอคือ ให้รัฐบาลเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 ของรัฐบาลขึ้นมาเองแล้วเสนอเข้ารัฐสภา จากนั้นก็ให้คนของรัฐบาลไปคุยกับ สว. เพราะการยกร่างขึ้นมาแล้วจะให้เขาโหวตเห็นชอบผ่านให้ ต้องมีการคุยกันก่อน

...เพราะพรรคประชาชนกับ สว.เองว่ากันมา ซัดกันมายาวนานมาก รวมถึงเพื่อไทยด้วย คงคุยกับ สว.ยาก แต่ว่าพรรคภูมิใจไทยยังไม่มีเรื่องบาดหมางอะไรกับ สว. ก็คิดว่าหากรัฐบาลยกร่างแก้ไข รธน.ขึ้นมา เป็นร่างของ ครม.หรือร่างของพรรคร่วมรัฐบาล ดูแล้วเขาสามารถเชิญกรรมาธิการของ สว.มาคุยกันก่อนได้ว่ามีความคิดเห็นอย่างไร ได้มีการคุยกันก่อนที่จะมีการยกร่างเพื่อที่ สว.จะได้โหวตให้ เพราะหากเสนอร่างไปแล้ว สว.ไม่เห็นด้วยจะเสนอไปทำไม

...ผมจึงเสนอช่องทางนี้ที่เป็นช่องทางที่ซอฟต์และมีโอกาสเป็นไปได้ ที่ผมเชื่อว่ายังมีโอกาสคุยกันได้ แต่หากไม่ได้เช่นยกเหตุว่า ที่เสนอเข้ามายังไม่มีการทำประชามติถามประชาชนก่อน แล้วกลับมีการเสนอเข้ามา หรือมีการเสนอร่างแก้ไข รธน. โดยมีการไปตัดเรื่องการให้ร่างแก้ไข รธน. จะผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาได้ต้องมี สว.โหวตเห็นชอบด้วยหนึ่งในสามของจำนวน สว.ที่ปฏิบัติหน้าที่โดยตัดออกไป  หรือการมี ส.ส.ร.ที่เขาไม่เห็นด้วย แล้ว สว.คว่่ำร่างแก้ไข รธน. ก็จะไม่ไปสู่ประชามติคำถามที่สอง ก็ต้องไปรอหลังเลือกตั้งค่อยมาว่ากันใหม่  

"นิกร ผอ.พรรคชาติไทยพัฒนา" ย้ำว่า สถานการณ์การเมืองมันแย่มาก คนอยากให้มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าเลือกตั้งกันมาตามรัฐธรรมนูญเก่า ปัญหาก็ไม่ได้ถูกแก้ไข การนำเสนอให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิในการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องอธิบายว่าทำไม รัฐบาลมีหน้าที่ต้องอธิบาย ก็เป็นข้อบังคับให้รัฐบาลหรือพรรคร่วมรัฐบาลต้องทำร่างแก้ไข รธน. ของตัวเอง ผมก็วิงวอนไปยังพรรคร่วมรัฐบาลว่าควรแสดงความจริงใจในเรื่องนี้ เพราะหากทำตรงนี้จะสามารถใช้เป็นสะพานเชื่อมไปยังสมาชิกวุฒิสภาได้ด้วย คือมีการคุยกับ สว. ก็ควรมีร่างแก้ไข รธน.ของตัวเองดีกว่า ทำด้วยมือตัวเองดีกว่า ไม่ใช่ไปอยู่ใต้อันเดอร์พรรคการเมืองอื่น

 "สว.มีอำนาจอยู่ในมือ มีอาวุธอยู่ก็คือเสียง สว.ในการโหวต ที่ต้องมี สว.เห็นชอบไม่น้อยกว่าหนึ่งในสาม ซึ่งหลักการตรงนี้ออกมาในช่วงรอยต่อ แต่เป็นบททั่วไป ไม่ใช่บทเฉพาะกาล คำถามคือเขาจะวางดาบตรงนี้ทำไม มันเป็นอำนาจเขาอยู่ สว.ไม่ให้ 67 เสียงร่างแก้ไข รธน.ก็ไม่ผ่านแล้ว อันนี้น่ากลัวมาก

ผมเห็นว่าการที่จะให้เขายอม ก็ควรไปคุยกับเขาดีๆ ให้เขาไม่กังวล ให้เขามั่นใจว่าเขาก็ดูแลประเทศเหมือนกัน ไม่ใช่ไปบอกว่าเขาหวงอำนาจ เพราะเขาห่วงประเทศได้เหมือนกัน เขาก็คงจะรับ"

“นิกร” กล่าวต่อไปว่า สำหรับเรื่องการทำประชามติแก้ไข รธน.นั้น ผมเชื่อว่าในการทำประชามติ คำถามประชาชนเรื่องที่หนึ่ง (เห็นชอบกับการให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่) ผมยังเชื่อว่าผ่าน กรณีเดียวจะไม่ผ่านคือมีคนโนโหวตเยอะกว่า ซึ่งผมไม่เชื่อว่าจะมี จึงเชื่อว่าคำถามที่หนึ่งจะผ่าน

  ส่วนคำถามที่สอง เพื่อให้มี  ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมจะได้ด้วยหรือไม่ ตรงนี้เป็นความหวังความฝัน หากผ่านทางสภาผู้แทนราษฎรที่จะเข้ามาหลังการเลือกตั้ง ก็จะเป็นผู้มาเลือก ส.ส.ร.ทางอ้อม

"กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก่อนสิ้นเดือนตุลาคมต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาวาระแรกให้ได้ จากนั้นตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยพิจารณาภายในเวลา 45 วัน ที่ก็มีแค่ไม่กี่มาตราก็ไปพิจารณา เช่นเรื่องที่มาของ ส.ส.ร.ที่ให้มาโดยทางอ้อม

 จากนั้นพอมีการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยหน้า ที่จะเปิดวันที่ 12 ธันวาคม ก็มาพิจารณาต่อในวาระสองและวาระสาม จากนั้นหากผ่านรัฐสภา ทางประธานรัฐสภาก็ส่งไปให้ ครม. ทาง ครม.ก็ต้องไปเคาะวันลงประชามติ ที่เคาะให้ตรงกับวันเลือกตั้ง สส. อย่างที่ผมบอกที่คาดการณ์วันที่ 29 มีนาคม 2569"

"นิกร อดีตประธานคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560" กล่าวต่อไปว่าสำหรับที่มาของ ส.ส.ร. หลังศาลรธน.มีคำวินิจฉัยว่า ไม่ให้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน เดิมทีเคยเสนอแนวทางให้มี ส.ส.ร.มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนจังหวัดละหนึ่งคน แล้วก็มีนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยต่างๆ แล้วให้รัฐสภาโหวตเลือก เพราะเห็นว่าหากรัฐสภาไม่มาเกี่ยวข้องมันจะขัดอะไรหลายอย่างและจะขัดรัฐธรรมนูญ โดยที่ศาล รธน.ไม่ได้ชี้แต่ผมเชื่อว่าขัด ตอนเสนอแนวคิดนี้ไปก็มีคนวิจารณ์ว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ทำไมไม่ให้ ส.ส.ร.มาจากการเลือกตั้งโดยตรง  แต่มาตอนนี้เมื่อศาล รธน.ชี้ว่ามาจากการเลือกตั้งโดยตรงไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยน โดยเปลี่ยนเป็นแบบตอนที่มี ส.ส.ร.ที่ทำรัฐธรรมนูญปี 2540 ก็คือให้มีที่มาโดยทางอ้อม ซึ่งตอนนั้นมีที่มาคือ ให้ผู้สมัครเป็น ส.ส.ร.ไปสมัครที่จังหวัดแล้วเลือกกันมาเหลือไม่เกิน 10 คน แต่หากไม่ครบไม่เป็นไร แต่หากเกิน 10 คนให้เลือกกันเองเหลือไม่เกิน 10 คน แล้วส่งชื่อมาที่รัฐสภาให้คัดเลือกเป็น ส.ส.ร.แต่ละจังหวัด และก็มี ส.ส.ร.ผู้ทรงคุณวุฒิที่มาจากสายนักวิชาการรวมกันเป็น 99 คน แบบนี้คือมาทางอ้อม เราต้องมาแพตเทิร์นนี้ แต่จะไปเหมือนตอนปี 2540 เลย ผมว่ามันไม่ค่อยเหมาะ

...ผมเลยเสนอว่า ก่อนหน้านี้ที่ผมเคยเสนอเป็นร่างเข้าไป มีกลุ่มประชาชน 5 กลุ่ม มี คนพิการ-ผู้สูงอายุ-สตรี-เยาวชน-กลุ่มหลากหลายทางเพศ แต่ผมจะเสนอใหม่คือ ส.ส.ร. 77 คน (จากแต่ละจังหวัด) ให้มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม คือให้เข้ามา 770 คนเลย (จังหวัดละสิบคน) แล้วส่งชื่อไปให้สภาเลือก ส่วนกลุ่มที่ 2 มาจากกลุ่มประชาชน เอาสัก 20 คน แยกเป็นกลุ่มต่างๆ เช่นกลุ่มอาชีพ อาทิกลุ่มผู้ทำอาชีพประมงเสนอเข้ามา เพราะกลุ่มต่างๆ เหล่านี้จะมีองค์กรวิชาชีพของเขาอยู่แล้ว เสนอชื่อขึ้นมาจำนวน 2-3 เท่าของกลุ่มต่างๆ เหล่านั้นแล้วให้รัฐสภาเลือก และกลุ่มที่ 3 คือกลุ่มนักวิชาการ แต่รายละเอียดก็ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ รวมกันก็จะได้ประมาณ 120 คน แนวทางดังกล่าวเป็นแค่ตุ๊กตา ซึ่งที่มาข้างต้นถามว่าผิดไปจากที่ศาล รธน.วินิจฉัยหรือไม่ ตรงนี้เป็นการให้รัฐสภาเป็นคนเลือกรายชื่อต่างๆ ที่ส่งมา ก็เป็นการเลือกตั้งโดยอ้อม

            สำหรับประเด็นที่ต้องมีการพิจารณากันค่อนข้างมาก   คือมีการกล่าวกันว่ารัฐธรรมนูญฉบับประชาชนคือ ส.ส.ร. มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ถามว่าใช่หรือ? อย่างตอนปี 2540 ที่เป็นรัฐธรรมนูญธงเขียว รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ส.ส.ร.ก็มาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม การเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนไม่ใช่รูปแบบแต่คือเนื้อหา รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 มีการรับฟังความคิดเห็นประชาชนเยอะมาก มีสมัชชาอะไรต่างๆ ฟังความเห็นประชาชนเกือบปีถึงจะออกมาเป็นรัฐธรรมนูญ ประเด็นก็คือขั้นตอนต่างๆ (การร่างรัฐธรรมนูญ) ต้องฟังประชาชนเยอะๆ ที่เสนอมาข้างต้น ผมเห็นว่าก็จะเป็น รธน.ฉบับประชาชน ได้ครบตามนั้นและไม่ผิดคำวินิจฉัยของศาล รธน. เพราะอย่างหากสมมุติว่าให้ส.ส.ร.มาจากการเลือกตั้งโดยตรง แล้วหากได้แต่ที่มาจากบ้านใหญ่ หรือเป็น ส.ส.ร.ที่แอบอิงกับพรรคการเมืองมันจะเกิดอะไรขึ้น รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายของทุกฝ่ายและประชาชนยังต้องลงประชามติ ผมก็เห็นว่าควรเปิดใจให้กว้าง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ปชน. ค้านนัดโหวตแก้ รธน. วาระ 3 หลังปีใหม่ หวั่นกระทบไทม์ไลน์ทำประชามติ

"ณัฐวุติ" ย้ำโหวตแก้ รธน. วาระ 3 ต้องเสร็จก่อนปีใหม่ หวั่นกระทบไทม์ไลน์ทำประชามติ เสี่ยงผิด MOA เชื่อไม่มีเงื่อนไขให้ สว. ควํ่าวาระ 3 เผย หลังโหวตเสร็จ ปชน. เตรียมชง 2 คำถามประชามติให้สภาฯ เคาะทันที

'วันนอร์' นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้รัฐธรรมนูญ วาระ 2

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ได้มีคำสั่งให้นัดประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 (สมัยวิสามัญ) เป็นพิเศษ ระหว่างวันที่ 10 ธ.ค. และ ครั้งที่2 (สมัยวิสามัญ) เป็นพิเศษ วันที่ 11 ธ.ค. เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่..) พ.ศ... ในวาระสอง ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.)

'กัณวีร์' โร่แจงโดนปลดพ้นเลขาฯพรรคเป็นธรรม

นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ตามที่พรรคเป็นธรรมได้ออกแถลงการณ์เรื่องการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งภายในพรรค และมีมติปลดผมออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค ผมขอเรียนชี้แจงต่อสาธารณชนและพี่น้องประชาชนดังต่อไปนี้