
คนไม่แปลกใจกันบ้างหรือว่าทำไม รฟท.ถึงไปยื่นร้องให้ศาลปกครองมีคำสั่งให้กรมที่ดินเพิกถอน เพราะเขามีหลักฐานชิ้นเดียวคือคำพิพากษาที่เขาให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ มีแค่เรื่องนี้อย่างเดียว ไม่มีอะไรอย่างอื่นทั้งสิ้น ที่คอยอ้างเรื่องมีเอกสารแนบท้ายพระราชกฤษฎีกาฯ หากเรื่องไปอยู่ที่ศาล ทางศาลจะได้เห็นความจริงเสียทีว่าไม่ใช่เอกสารแนบท้ายฯ แต่เป็นเอกสารแบบสำรวจที่จัดทำขึ้นโดยเจตนาทุจริต...หากมีการฟ้องคดี ข้อมูลและข้อต่อสู้ที่เรามี เรามีเป็นคันรถ และไม่ใช่รถสองแถว แต่เป็นสิบล้อเลยสำหรับข้อต่อสู้
ปมเรื่อง "เขากระโดง-บุรีรัมย์" คืออีกหนึ่งประเด็นการเมืองร้อน ที่หลายฝ่ายจับตามองกันมากว่าในยุครัฐบาลปัจจุบัน ที่มี "อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย" สุดท้ายแล้วจะมีข้อยุติอย่างไร จะมีการหาทางออกที่ค้านสายตาประชาชนหรือไม่ หรือสุดท้ายจะยืดเยื้อเป็นมหากาพย์ที่ใช้เวลาอีกหลายปีเรื่องก็ยังไม่จบ โดยล่าสุดความคืบหน้าทางคดี นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าฯ รฟท. ได้ลงนามอนุมัติให้ รฟท.ฟ้องคดีเพื่อเพิกถอนเอกสารสิทธิผู้ครอบครองที่ดินบริเวณเขากระโดง โดย รฟท.มีแผนที่จะทยอยฟ้องผู้อ้างว่ามีเอกสารสิทธิในที่ดินเขากระโดงทั้งหมด 995 แปลง รวมเนื้อที่ 5,083 ไร่จนครบถ้วน
"ไทยโพสต์" สัมภาษณ์พิเศษ "ชนินทร์ แก่นหิรัญ ทนายความผู้รับผิดชอบคดีเขากระโดง และทนายความของครอบครัวชิดชอบ” ซึ่งปัจจุบันมีไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ลูกชายนายเนวิน เป็นเลขาธิการพรรคภูมิใจไทยและ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อพูดคุยถึงเรื่องข้อกฎหมายกรณีเขากระโดง และการหาข้อยุติปมพิพาทดังกล่าวที่ยืดเยื้อมาหลายปี
"ชนินทร์ ทนายความผู้รับผิดชอบคดีเขากระโดง" ปูพื้นปมเรื่องเขากระโดงว่า กรณีเขากระโดงเป็นประเด็นที่มีข้อโต้แย้งกันมากว่า 50 ปี ประเด็นสำคัญอยู่ที่เมื่อมีคำพิพากษาของศาลฎีกาเมื่อปี 2560 เกี่ยวกับที่ดินเขากระโดง ซึ่งสังคมไทยเป็นที่รู้กันว่า เมื่อมีคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ คือถือเป็นที่สิ้นสุด จุดนี้เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายเห็นตรงกัน ก็เกิดประเด็นว่าผลคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ผูกพันเฉพาะคู่ความในคดี หรือมีผลผูกพันไปถึงบุคคลภายนอกด้วยที่เขาไม่ได้มาสู้คดี นี่คือประเด็นแรกที่เกิดปัญหา เพราะเรื่องเขากระโดงเป็นความเชื่อ คือมีความเชื่อกันมานานแล้วและไม่มีใครพิสูจน์ทราบเรื่องนี้กันมาก่อน จนกระทั่งนายตฤณ แก่นหิรัญ หนึ่งในทีมทนายความเขากระโดง ไปพิจารณาเรื่องแนวคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ก็พบข้อเท็จจริงว่า "คำพิพากษาของศาลฎีกาฯ มันมีสิ่งหนึ่งที่ผิดไปจากข้อเท็จจริง" ก็คือเอกสารที่ทางศาลฎีกาฯ นำมาพิจารณาคดีมันมีข้อบกพร่อง เราไม่สามารถบอกได้เลยว่าเอกสารชิ้นดังกล่าวฝ่ายใดเป็นผู้ทำ เพราะเขาอ้างว่าเป็นเอกสารแนบท้ายพระราชกฤษฎีกาฯ คดีดังกล่าว เราไม่อยากไปก้าวล่วงเพราะศาลฎีกาฯ ตัดสินไปแล้ว แต่สิ่งที่ตามมาทีหลังคือเรื่องสำคัญ
...เพราะคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ก่อให้เกิดข้อถกเถียงของสังคมว่า คดีดังกล่าวที่เป็นคดีซึ่งราษฎรที่ไม่มีเอกสารสิทธิไปยื่นฟ้องจังหวัดบุรีรัมย์ คือจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ เพื่อให้ศาลพิพากษาว่าเขาสามารถยื่นขอโฉนดที่ดินได้ เพราะเขาเคยไปยื่นแล้วแต่ รฟท.คัดค้าน โดย รฟท.อ้างว่าเป็นที่ดินของการรถไฟฯ เขาก็ตั้งคำถามขึ้นมาว่าราษฎรอีก 995 รายที่เขามีเอกสารสิทธิ ได้เอกสารสิทธิมาได้อย่างไร กรมที่ดินออกเอกสารสิทธิมาให้ราษฎรได้อย่างไร พวกเขาก็อยู่ตรงนั้นมานาน แล้วทำไมถึงไม่มีสิทธิ์ในที่ดิน นี่คือเหตุผลของการฟ้องร้องในคดีดังกล่าว แต่ราษฎรเขาเสียเปรียบในการเข้าถึงเอกสารทางราชการ เสียเปรียบในการว่าจ้างทนายความที่มีคุณภาพ ขาดความรู้ความเชี่ยวชาญมากพอ ทำให้สู้คดีกับหน่วยงานภาครัฐยากมาก เพราะหลักของรัฐคือทรัพย์สินของรัฐ ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ เป็นแนวธรรมเนียมปฏิบัติที่ยึดถือต่อๆ กันมา โดยศาลยุติธรรมก็เห็นเช่นนั้น
...ผลออกมาคือราษฎรสู้เอกสารหลักฐานที่การรถไฟฯนำเสนอต่อศาลไม่ได้ ผลตามมาก็คือศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์จนถึงศาลฎีกาฯ ตัดสินทำนองเดียวกันว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของการรถไฟฯ แต่ ณ วันนั้นคำพิพากษาต่างหากที่ก่อปัญหา เพราะในคำวินิจฉัยไปท้าวความในรายละเอียดเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณเขากระโดงทั้งหมด ว่าที่ดิน 5,083 ไร่อยู่ในที่ดินการรถไฟฯ ทำให้เมื่อโจทก์ผู้ยื่นฟ้องอยู่ในบริเวณดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีสิทธิ์เพราะเป็นที่ดินการรถไฟฯ โดยที่ราษฎรอีก 995 รายที่อยู่ในพื้นที่เขากระโดงไม่ได้ไปร่วมสู้คดีด้วย คำพิพากษาของศาลจึงมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความคือราษฎร 35 ราย
...เมื่อการรถไฟฯได้รับคำพิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของการรถไฟฯ คน 35 รายก็ต้องออกจากที่ดินดังกล่าว เพราะบุกรุกที่ดินการรถไฟฯ รวมถึงคนที่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล แม้ไม่ได้เป็นคู่ความในคดี ก็คือบริวารของราษฎร 35 ราย ในที่ดิน 170 กว่าไร่ มีบุคคลภายนอกด้วยแต่เป็นบริวารของ 35 ราย ถือว่ามีผลผูกพันด้วย ส่วนนอกเหนือจากนั้นที่ไม่ได้เป็นคู่ความในคดี ได้รับผลกระทบหรือไม่-ก็ได้รับ โดยมาตรา 145 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง คือเมื่อมีการฟ้องร้องคดีกันแล้วการรถไฟฯ ได้รับการวินิจฉัยว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของการรถไฟฯ ทางการรถไฟฯ ก็สามารถนำคำพิพากษาไปใช้ยัน แต่เป็นเรื่องการอาจนำไปใช้ยัน แต่ไม่ใช้ให้นำไปบังคับ
ที่ก็คือการรถไฟฯ ต้องไปยื่นฟ้องราษฎร 995 ราย ใช้คำพิพากษาศาลฎีกาฯ ไปยันว่าอย่ามาต่อสู้คดีกับการรถไฟฯ มีคำพากษาศาลฎีกาฯ แล้ว เรียกว่าแนวฎีกาฯ เมื่อคดีไปที่ศาล เริ่มที่ศาลชั้นต้นก็จะดูว่าศาลฎีกาฯ วินิจฉัยไว้แบบนี้ ก็จะสอบถามจำเลยที่อาจเป็นหนึ่งในราษฎร 995 ราย ว่ามีประเด็นอะไรจะยกมาต่อสู้คดีหรือไม่ ทางคู่ความก็จะบอกกับศาลเช่น มีเอกสารสิทธิ มีโฉนดที่ดิน ซึ่งกฎหมายรองรับทั้งรัฐธรรมนูญ กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ใครถือโฉนดที่ดินก็จะได้รับการรับรองสิทธิ รวมถึงการยกประเด็นว่า
1.คดีก่อนหน้านี้กับราษฎร 35 ราย เอกสารที่ใช้ในคดีดังกล่าวจะเรียกว่าเท็จหรือเอกสารปลอม ขอให้ศาลช่วยพิจารณาด้วย
2.การรถไฟฯ มีกฎหมายเฉพาะเรียกว่า พระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟแลทางหลวง พ.ศ. 2464 ซึ่งเป็นกฎหมายที่บอกถึงการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ของที่ดินการรถไฟฯ ที่ก็คือการแสดงให้เห็นว่าไม่ว่ารัฐต้องการที่ดินแห่งใดนำไปใช้ประโยชน์ รัฐจะต้องบอกว่าจะนำไปทำอะไร เช่นหากเรามีที่ดินอยู่บริเวณใดบริเวณหนึ่ง แล้วรัฐต้องการทำทางผ่านบริเวณที่ดินดังกล่าว รัฐต้องออกพระราชกฤษฎีกาเวนคืนฯ แล้วชดเชยค่าเสียหายให้ตามกฎหมาย
จากการตรวจสอบเพื่อดูว่าการรถไฟฯ จะได้ไปซึ่งกรรมสิทธิต้องอาศัยกฎหมายใด ซึ่ง พ.ร.บ.จัดวางการรถไฟแลทางหลวงฯ กำหนดไว้ว่าประเทศไทย ที่ดินซึ่งรถไฟวิ่งผ่าน การรถไฟฯ จะได้ไปซึ่งที่ดินต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง โดยเรื่องแรกเลยคือออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเขต พอออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ซึ่งสมัยนั้นคือรัชกาลที่ 6 ที่เมื่อได้แนวเขตรถไฟแล้ว เพื่อไม่ให้ก่อปัญหาอุปสรรค ใครที่มีที่ดินบริเวณนั้นแล้วมีสิทธิ์อยู่ห้ามซื้อขาย ซึ่งสมัยนั้นประเทศไทยมีโฉนดแล้วตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ส่วนใครที่ยังไม่มีโฉนดแล้วจะเข้ามา ก็ห้ามเข้ามาในพื้นที่ซึ่งมีการกำหนดเขตทางรถไฟฯ โดยกำหนดระยะเวลาไว้สองปี โดยที่กำหนดไว้สองปีเพราะเป็นอำนาจในการจำกัดสิทธิราษฎร ก็ปรากฏว่าก็มีการดำเนินการไป โดยพอได้ที่ดินที่ชัดเจนแน่นอนแล้วก็ให้มีการจัดซื้อ ทำให้ต้องมีการออกพระราชกฤษฎีกาจัดซื้อ และให้มีการทำเอกสารแนบท้ายโดยมีการระบุถึงจำนวนบุคคล ซึ่งเป็นเจ้าของสิทธิในเอกสารสิทธิของตัวเอง แล้วถูกการรถไฟฯ พาดผ่านก็ต้องจ่ายค่าทำขวัญหรือ "ค่าเวนคืน" โดยมีการเรียงลำดับรายชื่อบุคคลตั้งแต่ 1 2 3 4 ไปเรื่อยๆ จนถึงเส้นแนวถึงอุบลราชธานี เพราะเส้นนี้คือเส้นทางรถไฟจากนครราชสีมาไปถึงอุบลราชธานี ที่มีการออกพระราชกฤษฎีกา ที่มีการออกสองฉบับ ฉบับแรกออกตอนปี พ.ศ. 2462 และฉบับที่สองออกในปี พ.ศ. 2464
กรณีดังกล่าวก็เกิดกรณีว่า ทางศาลฎีกาฯ ท่านเชื่อการรถไฟฯ ว่าเอกสารที่นำมาแสดงเป็นเอกสารแนบท้ายพระราชกฤษฎีกาฯ ที่ต้องบอกว่าเอกสารแนบท้ายที่การรถไฟฯ อ้างถึงมันไม่ใช่ เพราะเราตรวจแล้วมันไม่ใช่เอกสารแนบท้ายกฤษฎีกาฯ มันเป็นเหมือนแบบสำรวจเท่านั้น และเป็นแบบสำรวจตอนแยก เพราะปี พ.ศ. 2462 ถึงปี พ.ศ. 2465 เป็นพระราชกฤษฎีกาสายหลัก ซึ่งหากจะต้องมีตอนแยก กฎหมายบอกว่าต้องทำเหมือนสายหลัก คือออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตแล้วก็จัดซื้อ ซึ่งถามว่ามีหรือไม่ ผมบอกตอนนี้ก่อนว่า "ไม่มี" พอไม่มี พระเจ้าอยู่หัวทรงรอบคอบมาก ท่านเห็นว่าหากทำแล้วเพื่อป้องกันปัญหา ให้ทำสำเนาไว้ห้าชุด โดยห้าชุดดังกล่าวให้เก็บรักษาไว้ คือ 1.ศาลามณฑล 2.ศาลากลางจังหวัด 3.การรถไฟฯ ที่สมัยนั้นเรียกกรมรถไฟหลวง 4.กรมที่ดิน 5.ตำบลที่ตั้งพื้นที่ซึ่งถูกเวนคืน โดยสำเนาทั้งห้าฉบับต้องเป็นสำเนาถูกต้องทำตรงกัน ซึ่งจัดทำโดยกรมที่ดิน
ที่ถามว่ามีหรือไม่ ก็พบว่าไม่มี สำหรับเขากระโดง แต่สายหลักมีครบทั้ง 5 ฉบับ ไม่กระเด็นหายไปไหนเลย เราก็มาพิจารณากันว่าทำไมเขากระโดงไม่มี ก็พบว่ามันเป็นตอนแยก ซึ่งในการตรวจสอบพบว่าพื้นที่ตอนแยกมี แต่ไม่มีตอนแยกช่วงพื้นที่เขากระโดง แต่เป็นตอนแยกพื้นที่อื่น ตรงแยกแม่น้ำมูล ที่มีการทำครบหมด เรามีการควานหาว่าทำไมเขากระโดงถึงไม่มี
.....สืบค้นกันจนพบว่า ตรงเขากระโดงพื้นที่ตอนแยกซึ่งไปตรงพื้นที่ซึ่งการรถไฟฯ อ้างว่าเป็นเหมืองหินของเขา มันไม่ใช่เส้นทางตามพระราชกฤษฎีกา และไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย แต่ไปเข้าบทบัญญัติตามมาตรา 45 ของ พ.ร.บ.จัดวางการรถไฟแลทางหลวงฯ ที่กำหนดให้การรถไฟฯ มีสิทธิ์จะเข้าไปยังที่ดินบริเวณใดก็ได้ จัดทำรางเข้าไปเพื่อการขนส่งวัสดุอันจำเป็นต้องใช้ในกิจการการรถไฟฯ เรียกว่าเข้าไปปกครองทรัพย์ แต่ก็ให้เข้าไปได้ชั่วคราว พอเข้าไปแล้วแต่ยังต้องมีการขนส่งอยู่ก็ให้ขยายได้แต่ต้องไม่เกินห้าครั้ง จึงเป็นที่มาของเอกสารที่ปรากฏในศาล ที่มีเอกสารแบบสำรวจโดยมีชื่อบุคคลอยู่ 18 รายได้รับเงินค่าทำขวัญหรือค่าเวนคืน ไม่ใช่ค่าจัดซื้อ แต่การรถไฟฯ ไปอ้างว่าได้มีการจัดซื้อแล้วแต่พระราชกฤษฎีกาหาย เมื่อเรารู้แล้วว่าเส้นทางนี้ไม่ใช่เส้นทางเพื่อการคมนาคมและเพื่อประโยชน์ทางการค้าของประชาชน แต่เขากระโดงเข้าไปเพื่อเอาวัตถุดิบ ที่ตามมาตรา 45 บอกว่าคือศิลาหรือหิน ที่เป็นเส้นทางชั่วคราว แต่ผมสันนิษฐานว่าหลังเสร็จสิ้นเส้นทางสายหลักแล้ว ยังคงมีการซื้อขายหินกันอยู่ เพราะเข้าไปในเขตพื้นที่ซึ่งมีประชาชนประกอบการทุบหิน เพื่อเอาหินมาขายให้การรถไฟฯ เพราะถ้าการรถไฟฯ เป็นเจ้าของเหมืองหินตามการกล่าวอ้างในศาล ทำไมต้องไปซื้อหิน แต่ต้องจ้างทำหิน แต่มีการซื้อหินที่จนถึงปัจจุบันก็ยังมีการซื้ออยู่ การรถไฟฯ จึงรู้ดีว่าที่ตรงนั้นไม่ใช่ของเขา ศาลก็เลยต้องอาศัยความเชื่อและสิ่งที่เป็นประเพณีปฏิบัติ คือเชื่อว่า 1.พระราชกฤษฎีกาฯ หายจริง 2.รัฐได้เข้าไปครอบครอง จึงถือว่าได้ยึดแล้ว จึงเป็นสิทธิของการรถไฟฯ แต่ผมก็ไม่ขอก้าวล่วง เพราะ ณ วันนั้นท่านเจอเอกสารปลอม
ทีมทนายความเขากระโดง อ้างมีการปลอมแปลงตัวเลขในแผนที่ ใช้เอกสารปลอม-เบิกความเท็จในชั้นศาล
ด้าน "ตฤณ แก่นหิรัญ หนึ่งในทีมทนายความเขากระโดง” กล่าวเสริมว่า คดีเขากระโดงนอกจากจะมีการกล่าวอ้างพระราชกฤษฎีกาต่างๆ ที่ รฟท.จะกล่าวอ้างเสมอว่า อาศัยสิทธิตามพระราชกฤษฎีกาที่ออกในปี พ.ศ. 2462 และ พ.ศ. 2464 (พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตสร้างทางรถไฟหลวง ต่อจากนครราชสีมา ถึงอุบลราชธานี) แต่การรถไฟฯ ลืมไปว่าพระราชกฤษฎีกามีอายุฉบับละ 2 ปี อันหมายถึง ฉบับแรกมีอายุถึงปี พ.ศ. 2464 แล้วจึงมีการมาขยายอีกหนึ่งฉบับ ที่ออกมาในปี พ.ศ. 2464 โดยฉบับดังกล่าวให้การถไฟฯ เข้าไปสำรวจจัดซื้อที่ดินต่างๆ อีกสองปี ที่จะสิ้นสุดในปี พ.ศ. 2466 แต่การจัดซื้อเส้นหลักแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2465 และได้มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาจัดซื้อฉบับสุดท้ายของสายหลัก ที่ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2465
...อันหมายถึงหลังวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2465 การรถไฟฯ จะทำอะไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปสำรวจเขตหรือการจัดซื้อ จะต้องมีการออกพระราชกฤษฎีกาฉบับใหม่ คำถามคือมีหรือไม่ คำตอบก็คือไม่มี เรื่องนี้ศาลไม่ได้วินิจฉัยและการรถไฟฯ ก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่มี แต่การรถไฟฯ พยายามจะโยง เพราะที่ผ่านมา รฟท.จะอ้างแต่ฉบับปี พ.ศ. 2462 กับ 2464 แต่หากลงรายละเอียดจริงๆ ทำไมการรถไฟฯ ไม่พูดกับประชาชนว่าพระราชกฤษฎีกาฯ มีอายุการใช้งาน ทำไมไม่บอกกับประชาชนว่าพระราชกฤษฎีกาจัดซื้อฉบับสุดท้ายปี 2465 มันเพิกถอนพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตแล้ว ทำไมไม่ยอมพูด
นอกจากนี้ รายชื่อ 18 คนไม่ปรากฏในรายชื่อของประชาชนที่มีการจัดซื้อในปี พ.ศ. 2464 เลยแม้แต่คนเดียว แต่มีการอ้างว่าที่ดินเขากระโดงมีประชาชนถูกจัดซื้อ 18 ราย แต่เรื่องจริงๆ คือการจัดซื้อตรงช่วงพื้นที่บุรีรัมย์ มีการจัดซื้อตอนปี 2464 และมีรายชื่อซึ่งรันต่อกันมาจากตอนจัดซื้อปี 2463 แต่พื้นที่เขากระโดงไม่มีรายชื่อ 18 คนที่ปรากฏไม่มีอยู่ในพระราชกฤษฎีกาจัดซื้อ แล้วเอาอะไรมาอ้าง ก็พบว่ามีการอ้างว่ารัฐได้เข้าไปทำประโยชน์แล้วในพื้นที่ซึ่งเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่า จึงต้องตกเป็นของรัฐเลย ที่ก็เป็นแนวที่ศาลฎีกาฯ เชื่อและบอกตามนั้น แต่ว่ากฎหมายเองก็มีระยะเวลากำหนด ซึ่งมี พ.ร.บ.ว่าด้วยการหวงห้ามที่รกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินฯ พ.ศ.2478 ซึ่งที่ดินที่หวงกั้นจะตกเป็นที่ดินของรัฐ ก็ต่อเมื่อมีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตและออกประกาศโฆษณาในหนังสือราชกิจจานุเบกษาที่ไม่ต่างกัน เพราะถามว่ามีหรือไม่พื้นที่ตรงนั้น ก็พบว่าไม่มีเหมือนกัน ไม่ว่าจะด้วยกฎหมายใดก็ตาม
"ตฤณ ทีมทนายความเขากระโดง" นำข้อมูลแผนที่คดีเขากระโดงมาอธิบายประกอบ ซึ่งมีรายละเอียดพอสมควร แต่สรุปพอเป็นสังเขปตามคำกล่าวของเขาว่า ที่เป็นไฮไลต์ก็คือที่มีการอ้างว่า แผนที่ ก.ที่มีการออกข่าวกันก่อนหน้านี้ ที่ระยะซ้าย-ขวา คือ 1 กิโลฯ ขยายออกมาเลยได้พื้นที่ 5,083 ไร่ แต่ถ้าเป็นแผนที่ตัวจริง ตัวต้นกำเนิด ก่อนจะมาเป็นแผนที่ ก. ระยะมาตราส่วนของแผนที่คือ 1 ต่อ 4,000 โดยวัดจาก 1 เซนติเมตรในแผนที่มีค่าเท่ากับ 40 เมตร ระยะตรงเขากระโดงที่เขาอ้างว่า 1 กิโลฯ กลับวัดระยะได้แค่ 2.5 เซนติเมตร พูดง่ายๆ 1 เซนติเมตร คือ 40 2 เซนติเมตรก็คือ 80 บวก .5 ก็คือ 20 ก็คือ 40 บวก 40 บวก 20 ก็คือ 100 เมตร มันได้แค่ 100 เมตร
“แต่แผนที่ฉบับนั้นมีการปลอมแปลงตัวเลข จาก 100 กลายเป็น 1,000 ถามว่าทำไมมั่นใจว่ามีการปลอมแปลง ก็เพราะวิธีการเขียนเลขกำกับแผนที่จะไม่มีความแตกต่างกัน ถ้าเกิดขึ้นจากผู้เขียนแผนที่คนคนเดียวกันหรือจากแผนที่ชุดเดียวกัน "
...อย่างเรื่องระยะพื้นที่ มาตราส่วนจะไม่โกหก คนเขียนแผนที่สมัยก่อนไม่มีใครมาโกหก เพราะมีการเขียนโดยมีการวัดระยะจริง แล้วจึงมาทำมาตราส่วน แต่แผนที่ของการรถไฟฯ ช่วงแรกทั้งช่วงตรงตามมาตราส่วน 1 ต่อ 4000 ทั้งหมด เอาไม้บรรทัดวัดจะตรงกับเลขกำกับที่เขียนทั้งหมด เช่นตรงเส้นหลักเขียนไว้ 40 เมตร เอาไม้บรรทัดวัดก็ 1 เซนติเมตร เท่ากับ 1 ต่อ 40 พอช่วงย่อยไปทางแยก หดลงเหลือแค่ 20 เอาไม้บรรทัดวัด ก็เหลือครึ่งเซนติเมตรตรงหมด จนมาช่วงเขากระโดง ใช้ไม้บรรทัดวัดได้แค่ 2.5 เซนติเมตร แต่กลับมีการไปเขียนไว้ 1,000 ซึ่งเป็นไปไม่ได้ตามหลักสารสนเทศภูมิศาสตร์ ที่เป็นหลักการเขียนแผนที่ซึ่งใช้กันมาไม่น้อยกว่าร้อยปี และยังคงใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน
...แต่ทำไมการรถไฟฯ ไม่บอกประชาชน คุณเขียนออกมา แต่ทำไมไม่กล้าเอาแผนที่มาวัดให้ประชาชนดู การรถไฟฯ ไม่ทำ แล้วไปใช้แผนที่อื่นซึ่งมีการแปลงระยะจาก 100 กลายเป็น 1,000 แล้ว ซึ่งมีข้อพิรุธที่เห็นได้ชัดเจน โดยการรถไฟฯ ไม่มีการพูดเรื่องนี้ ไม่บอกให้ศาลฟังว่าแผนที่อ่านอย่างไร และแผนที่ไหนถูกต้อง มีการหลอกลวงให้เชื่อว่านั่นคือระยะ 1 กิโลฯ ซึ่งหากนำแผนที่มางัดกัน เอาแบบไม่ต้องเถียงเรื่องข้อกฎหมาย แค่มาคุยกันเรื่องระยะในแผนที่ก็พอ
...เรื่องนี้มีความไม่สมเหตุสมผล กับการที่ประชาชนเขาอยู่ทำกินมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ รุ่นปู่ แล้วอยู่ดีๆ ไปบอกว่าเป็นที่ของการรถไฟฯ โดยที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตก็ไม่มี พระราชกฤษฎีกาจัดซื้อก็ไม่มี แผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาฯ คือไม่มี ไม่มีอะไรสักอย่างเลย แต่ไปแหกตาศาลแล้ว แล้วอันนี้ก็โทษศาลเองไม่ได้ เพราะศาลท่านเองก็ไม่ได้จะรู้ทุกเรื่อง ศาลท่านเองก็มีความรู้จำกัดไม่ต่างกับทนายความที่สู้คดีในช่วงนั้น ถ้าไม่มีใครบอกศาล ศาลท่านเองก็ไม่เข้าใจ เพราะคดีที่เข้าสู่ศาลสู้กันในระบบกล่าวหา เป็นระบบที่ใครกล่าวอ้างผู้นั้นนำสืบ ซึ่งประชาชนไม่มีอะไรอย่างอื่นเลยนอกจาก ส.ค.1 ที่อยู่ในมือเขา สิ่งเหล่านี้คือความเสียเปรียบของประชาชนในยุคนั้น แล้วเจ้าหน้าที่รัฐก็ไม่ซื่อสัตย์ที่จะพูดความจริงว่ามีแผนที่ แต่ไม่ใช่แผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกา และไม่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตฯ ไม่มีพระราชกฤษฎีกาจัดซื้อฯ มีแค่แผนที่ ซึ่งวัดระยะได้ร้อยเมตร เหตุใดถึงไม่ซื่อสัตย์ มีอะไรที่ทำให้ต้องโกหก
“หากการรถไฟฯ บอกว่าจะฟ้องประชาชน ผมก็อยากดูน้ำหน้าเขาว่าจะเอาแผนที่ไหนมาฟ้องประชาชน โดยหากนำแผนที่ซึ่งมีการแปลงมาตราส่วนจาก 100 เป็น 1,000 มาใช้เมื่อใด ผมจะฟ้องข้อหาใช้เอกสารปลอมและเบิกความเท็จ นี่คือสาเหตุที่การรถไฟฯ ไม่กล้าฟ้องประชาชนจนถึงทุกวันนี้ เพราะคำพิพากษาศาลที่เขาพยายามกล่าวอ้าง เป็นคำพิพากษาที่ออกมาโดยมีข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อน อันเกิดขึ้นจากการเบิกความเท็จของการรถไฟฯ” ทนายความคดีเขากระโดงระบุ
'เนวิน' สั่งลุยรับมือคดีเขากระโดง
จากนั้น "ชนินทร์ ทนายความผู้รับผิดชอบคดีเขากระโดง" กล่าวเสริมต่อไปว่า ปมเขากระโดงเป็นเรื่องการเมืองที่เกิดขึ้นเมื่อ 50 ปีก่อน ที่การเมืองตอนนั้นกำลังคุกรุ่นระหว่างนายชัย ชิดชอบ กับขั้วการเมืองอีกขั้วหนึ่ง วันนี้จะสังเกตว่าการรถไฟฯ พยายามจะบอกว่าเรื่องนี้ศาลฎีกาฯตัดสินแล้ว แต่จะพบว่าเขาไม่กล้าลงรายละเอียด ก็เอาแต่พูดว่าศาลฎีกาฯ ตัดสินแล้วทำไมกรมที่ดินจึงยังไม่ทำการเพิกถอน
ผมจึงย้ำตอนแรกว่า คำพิพากษาของศาลมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความ ดังนั้นวันนี้จะอ้างแต่คำพิพากษาศาลฎีกาฯ ไม่ได้ ต้องเอาข้อเท็จจริงอย่างที่เราคุยกันมาอยู่ในกระบวนการยุติธรรมใน "คดีใหม่" โดยเป็นเรื่องที่ประชาชนหากมีสิทธิ์ที่ดีกว่า ย่อมสามารถโต้แย้งคำพิพากษาของศาลฎีกาได้ โดยคำพิพากษาเดิมจบแล้ว แต่กับประชาชน 995 รายที่เป็นเจ้าของเอกสารสิทธิ จะมาอาศัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่คลาดเคลื่อน ไปบังคับเขา (ประชาชน) ไปปิดปากเขาไม่ให้เขาสู้ ทำไม่ได้
ส่วนว่ากรมที่ดิน มีอำนาจจะเพิกถอนเอกสารสิทธิอย่างที่อดีต รมว.มหาดไทย-นายภูมิธรรม เวชยชัย กล่าวไว้ก่อนพ้นตำแหน่งได้หรือไม่ ก็พบว่านายภูมิธรรมเคยแถลงว่า ได้มีการตั้งคณะทำงานตรวจสอบการทำหน้าที่ของนายพรพจน์ เพ็ญพาส อดีตอธิบดีกรมที่ดิน โดยแถลงว่าผลสรุปออกมาว่ามีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จึงสั่งให้อธิบดีกรมที่ดินคนใหม่ที่เขาตั้งมา ให้ดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิทุกแปลง แต่ถามว่าทำได้จริงหรือ ในเมื่อมีประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งผู้มีอำนาจเด็ดขาดในการเพิกถอนเอกสารสิทธิได้มีแค่อธิบดีกรมที่ดิน แต่จะทำได้ต่อเมื่อตั้งคณะกรรมการตามมาตรา 61 ขึ้นมาก่อนเพื่อตรวจสอบ แต่ภูมิธรรมบอกว่าไม่ต้อง เพราะศาลฎีกาฯ ตัดสินแล้ว เขาเอาแต่พูดเรื่องศาลฎีกาฯ ตลอดโดยไม่มีความเข้าใจ แต่หากไปดูมาตรา 61 วรรค 8 เขียนว่า ให้กรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิเมื่อคำพิพากษาถึงที่สุด นั่นหมายถึงเอาคำพิพากษามาสั่งเพิกถอนได้ แต่มันผูกพันเฉพาะคู่ความ เพราะคำพิพากษาในคดีหนึ่งจะนำมาใช้กับประชาชนอีก 995 รายไม่ได้ และมันไม่มีความชัดเจนตามกฎหมายด้วย เพราะวรรค 8 บอกว่าต้องชัดเจนแล้วถึงค่อยดำเนินการ แต่กรณีนี้ยังไม่ชัดเจนว่า กรมที่ดินเป็นเจ้าของเอกสารสิทธิที่ดินอีก 995 แปลงด้วยหรือไม่ เพราะศาลยุติธรรมยังไม่ได้ตัดสิน ต้องไปเริ่มต้นใหม่ก่อน
"ชนินทร์ ทนายความคดีเขากระโดง" ย้ำว่า ทางออกของเรื่องเขากระโดงที่ง่ายที่สุด คือยอมรับหลักนิติธรรมก่อน กฎหมายว่าอย่างไรเอาตามนั้น อย่าไปบิดมัน และเมื่อคำพิพากษาศาลฎีกาฯ ผูกพันเฉพาะคู่ความในคดี แล้วมีการดำเนินการจบแล้ว แต่ในส่วน 995 รายจะทำอย่างไร เพราะจะไปเพิกถอนทันทีไม่ได้ ก็มีการตั้งคณะกรรมการตามมาตรา 61 ของประมวลกฎหมายที่ดินขึ้นมาตรวจสอบแล้ว ที่ก็มีการโต้แย้งทุกประเด็นตามที่นายตฤณให้ข้อมูลไว้ จนกรมที่ดินต้องตั้งกรรมการมาตรวจสอบประเด็นที่ทางทีมทนายความนำเสนอ จนไม่มีใครกล้าที่จะเพิกถอนที่ 995 แปลง เพราะเขาได้มาโดยชอบ เลยไม่ได้มีการเพิกถอน
สิ่งที่ฝ่ายนายภูมิธรรมบอกก่อนหน้านี้ คือต้องการทำให้เกิดประเด็นทางสังคม เพราะทุกคนก็มองว่า เรื่องเขากระโดงเป็นไม้ตายของภูมิธรรม ที่ต้องการจัดการกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล แต่อย่าลืมว่าต้องแยกกันระหว่างนายอนุทิน นายกฯ กับตระกูลชิดชอบ ที่นายอนุทินไปอยู่ตรงนั้น (ทะเบียนบ้านที่บุรีรัมย์) เพราะต้องการใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งที่บุรีรัมย์ ส่วนนายเนวินได้ที่ดินทั้งหมด จากการซื้อที่ดินต่อจากประชาชนรุ่นแรกๆ เขาไม่ได้เป็นคนออกโฉนด 995 รายที่มีเอกสารสิทธิ ก็ต้องร้องต่อศาลปกครองทันทีที่เขาถูกเพิกถอนเอกสารสิทธิ ก็ไปร้องเรียกค่าชดเชย จากการที่ไปซื้อที่ได้เอกสารสิทธิมา แล้ววันนี้จะมาบอกว่าไม่ใช่แล้ว ต้องถูกเพิกถอน ซึ่งเมื่อก่อนซื้อราคาไม่แพง แต่วันนี้ไร่ละ 10 ล้านบาท ซึ่งหากชนะคดีก็ต้องนำเงินภาษีประชาชนมาจ่าย ราษฎร 995 ราย
"ทนายความเขากระโดง ชนินทร์" กล่าวต่อไปว่า เดิมไม่มีใครคิดจะมาสนใจเรื่องพวกนี้ คิดว่าได้เงินก็โอเค เพราะก็เช่าในราคาถูก แต่พอเรามาเจอประเด็นสำคัญเรื่องนี้ นายเนวินก็ตัดสินใจเลือกที่จะช่วยประชาชน เพราะเขาเองก็ไม่ได้ต้องการเงินอะไรอีกแล้ว แต่คิดถึงประชาชนที่อยู่มาตั้งแต่เกิด ตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย แล้วกรรมสิทธิของพวกเขาอยู่ดีๆ จะกลายไปเป็นของการรถไฟฯ โดยไม่ชอบ เป็นเรื่องที่รับกันไม่ได้ ก็ต้องสู้คดี นี่คือเหตุผลหลักจริงๆ ของนายเนวิน หากจะให้เขาเลือก ถ้าเขาเลือกเอาเงินจะสบายกว่าไหม เพราะวันนี้ที่ดินที่มีการพัฒนาไปราคาคือไร่ละ 10 ล้านบาท แล้วเวลาจ่ายค่าชดเชยต้องจ่ายค่าชดเชยราคาตลาดย้อนหลังห้าปี ไม่มีใครรู้เลยเรื่องพวกนี้ นักการเมืองอย่างนายภูมิธรรม ไม่ได้สนใจว่าประเทศชาติจะเสียหายแค่ไหน แต่คิดเพียงแค่ต้องการเอาชนะ ต้องการทำลายคู่แข่งทางการเมือง แล้วก็มักจะพูดแต่ว่าทุกอย่างต้องกลับคืนสู่ประชาชน ที่ดินต้องกลับคืนสู่ประชาชน แล้วประชาชนห้าพันกว่าครัวเรือนที่อยู่ตรงนั้นไม่ใช่ประชาชนหรอกหรือ ไม่ได้คำนึงถึงความเสียหายประชาชน ไม่ได้รักประชาชนอย่างที่พูด
-ดีเอสไอให้การรถไฟฯ ไปแจ้งข้อกล่าวหาการบุกรุกที่ดินเขากระโดง ซึ่งการรถไฟฯ ได้ส่งตัวแทนไปร้องทุกข์กล่าวโทษกับดีเอสไอเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา เพื่อขอให้ดำเนินการตรวจสอบที่ดินทั้งหมดกว่า 4,000 ไร่ ที่อยู่ในแนวเขตที่ดินของการรถไฟฯ ว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐในสังกัดหรือบุคคลใดเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบหรือไม่?
ชนินทร์ - ดีเอสไอได้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองไปแล้ว พวกเขา (ดีเอสไอ) รู้ข้อเท็จจริงเรื่องนี้หรือไม่ ก็รู้แต่เพื่อความก้าวหน้าในชีวิตราชการ และความอยู่รอดของพวกเขา ความโชคร้ายของดีเอสไอคือเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ที่มี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นอดีต รมว.ยุติธรรม (สมัยรัฐบาลเพื่อไทย) เขาใช้อำนาจสั่งการให้มีการไปดำเนินการตามความต้องการของเขาเพื่อการเมือง คนพวกนี้คิดอย่างเดียวคือจะใช้ช่องว่างอะไรในการดำเนินการได้ ซึ่ง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ มีการกำหนดไว้ในบัญชีแนบท้ายว่าคดีแบบไหนที่รับเป็นคดีพิเศษไว้สอบสวนได้
สิ่งที่เขาทำไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขอำนาจของดีเอสไอเลย แต่มีการไปบิด คือไม่มีอำนาจตามกฎหมายแต่อาศัยช่องว่างทางกฎหมาย ดีเอสไอมีอำนาจอย่างหนึ่งคือ "สอบเบื้องต้น" เวลามีใครไปร้องอะไร ก็สอบเบื้องต้น แต่สอบเบื้องต้นแล้วหากเห็นว่าไม่อยู่ในอำนาจของดีเอสไอก็จะยกเรื่อง
ก่อนหน้านี้เขาใช้กระบวนการสอบเบื้องต้นเพื่อสร้างข่าวให้พรรคเพื่อไทย ที่เดี๋ยวก็อาจยกเลิกไม่สอบ แล้วก็จะกลายเป็นว่าดีเอสไอยกเลิกเพราะนายอนุทินมาเป็นนายกฯ ซึ่งไม่ใช่เพราะเขารู้ว่าผิด ไปต่อไม่ได้เรื่องนี้ หากมีการตรวจสอบแล้วพบว่าดีเอสไอทำไม่ได้ ที่ผ่านมาทำอะไรกัน แล้วพอยกเลิกนายกฯ อนุทินซวยเลย ทั้งที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย เพราะเป็นเรื่องกระบวนการทางกฎหมาย ที่ความจริงอยู่ด้านซ้าย แต่มีการบิดกฎหมายให้ไปทางขวา พอให้กลับมาอยู่ซ้าย ก็จะบอกแล้วนี่ไง แล้วจะทำอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่นายกฯ และพรรคภูมิใจไทยจะสื่อสารกับประชาชนอย่างไร
เผยข้อแนะนำถึงนายกฯ อนุทิน ทางออก ปัญหาเขากระโดง
"ชนินทร์" เปิดเผยว่า เรื่องนี้นายกฯ อนุทินก็ concern และเคยถามผม ผมก็แนะนำว่าปล่อยให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่เขาทำไป ให้ทำไปตามกฎหมาย เรื่องเขากระโดงวันนี้ไม่ว่าใครจะมาก็เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงไม่ได้ ก็ให้การรถไฟฯเขาฟ้อง ให้เลิกใช้ข้อมูลลวงให้ประชาชนสับสน ก็ฟ้องประชาชน 995 รายเลย โดยให้ฟ้องเป็นคดีใหม่ แล้วความจริงจะปรากฏในศาลยุติธรรมเอง เพราะวันนี้ทีมกฎหมายพร้อมแล้ว จะได้เข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย ที่ผ่านมาหลีกเลี่ยงที่จะไม่ฟ้องประชาชนเพราะอย่างที่ให้ข้อมูลข้างต้น เพราะเขา (รฟท.) รู้ว่าเขาผิด แล้วความจริงจะปรากฏว่าเขานำเอกสารเท็จมาใช้ในศาล เขาจึงไม่กล้าฟ้องจนถึงวันนี้
ทำไมคนไม่แปลกใจกันบ้างหรือว่า ทำไม รฟท.ถึงไปยื่นร้องให้ศาลปกครองมีคำสั่งให้กรมที่ดินเพิกถอน เพราะเขามีหลักฐานชิ้นเดียวคือ คำพิพากษาที่เขาให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ เขามีแค่เรื่องนี้อย่างเดียว ไม่มีอะไรอย่างอื่นทั้งสิ้น ที่คอยอ้างเรื่องมีเอกสารแนบท้ายพระราชกฤษฎีกา หากเรื่องไปอยู่ที่ศาล ทางศาลก็จะได้เห็นความจริงเสียทีว่าไม่ใช่เอกสารแนบท้าย แต่เป็นเอกสารแบบสำรวจที่จัดทำขึ้นโดยเจตนาทุจริต
-ที่บอก รฟท.ใช้เอกสารเท็จ แล้วเขาทำเพื่ออะไร?
ชนินทร์ ทนายความเขากระโดง - มันเป็นการเมืองที่มีความพยายามให้เกิดความเชื่อ อย่าลืมว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นมา 50 กว่าปีแล้ว คนรุ่นนั้นตอนนี้เกษียณไปหมดแล้ว ก็เหลือแต่คนรุ่นใหม่แล้วเขาก็เชื่อเช่นนั้น ไม่แตกต่างจากที่คนเชื่อว่าแม่นากพระโขนงจริง ทั้งที่เป็นบทประพันธ์บทนิยาย ก็เช่นกันเขากระโดงคนก็เชื่อว่าเป็นที่การรถไฟฯ มานานแล้ว โดยที่ท่านชัย ชิดชอบ ก็ไปทำหนังสือยอมรับเมื่อปี 2513 โดยที่ตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่าที่ตรงนั้นไม่ใช่ที่การรถไฟฯ เพราะการรถไฟฯ อ้างมาตลอดว่าตรงนั้นเป็นที่การรถไฟฯ มันก็เลยเป็นความเชื่อมาตั้งแต่สมัยไหนจนถึงวันนี้ การจะไปลบล้างความเชื่อคนมันยาก จึงต้องอาศัยกฎหมาย ครั้นพอจะอาศัยกฎหมายก็มีเรื่องอีกว่าไปแทรกแซงกรมที่ดิน จนกรมที่ดินไม่ยอมเพิกถอน วันนี้เรากำลังต่อสู้กับความเชื่อมากกว่าหลักฐาน
"เรื่องเขากระโดง ทางออกของเรื่องนี้มีทางเดียว คือ การรถไฟฯ ต้องตัดสินใจยื่นฟ้องราษฎร 995 ราย ซึ่งทั้ง 995 รายจะสู้ประเด็นเดียวกัน เพราะเราเป็นทนายให้ทั้ง 995 ราย การรถไฟฯ ไปยื่นฟ้องรายใดรายหนึ่งก็ได้ โดยเฉพาะรายไหนที่คิดว่าฟ้องแล้วจะดังเป็นพลุ ก็ยื่นฟ้องมา แล้วไปสู้คดี ถ้าศาลยุติธรรมบอกว่าเป็นที่ของการรถไฟฯ มันก็จะจบเลย ทั้งหมดจะไม่มีการต่อสู้กับรฟท.อีก ที่ก็จะทำให้รายอื่นๆ อาจคิดว่าไม่รู้จะสู้อย่างไรแล้ว เพราะก็ต่อสู้คดีในแนวเดียวกัน รายอื่นๆ อาจจะยอมเลย แต่ยืนยันว่าหากมีการฟ้องมา ข้อมูลและข้อต่อสู้ที่เรามี เรามีเป็นคันรถเลย และไม่ใช่รถสองแถว แต่เป็นสิบล้อเลยสำหรับข้อต่อสู้”
-นายเนวิน ชิดชอบ หนักใจเรื่องนี้หรือไม่ เรื่องการสู้คดีเขากระโดง?
ชนินทร์-ไม่หนักใจเลย เขาเชื่อมั่นในทีมกฎหมาย ผมเป็นทนายความคุณเนวินมากว่า 20 ปี เราทำทุกคดีให้กับคุณเนวินในเรื่องที่ถูกกล่าวหา เราก็ทวงคืนความยุติธรรมให้ทุกคดี เช่นคดีกล้ายาง ที่ทุกคดีจบลงอย่างเรียบร้อย
-เมื่อนายอนุทินที่เป็นนายกฯ ควบ รมว.มหาดไทย และนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ เป็น รมว.คมนาคม หากเรื่องเขากระโดงไม่มีความคืบหน้า คนก็จะวิพากษ์วิจารณ์ตามมา?
ชนินทร์-จะมีความคืบหน้า แต่ก็จะเป็นไปตามกลไกของกฎหมาย โดยตัวคุณพิพัฒน์ รมว.คมนาคม ก็ถึงเวลาแล้วที่ควรต้องไปบอกการรถไฟฯ ว่าเรื่องนี้เพื่อให้มันจบ เพราะเป็นประเด็นข้อข้องใจของประชาชน คือศาลฎีกาตัดสินแล้วทำไม ทำอะไรไม่ได้ การรถไฟฯ ต้องชี้แจงความจริง ศาลฎีกาตัดสินแล้วทางการรถไฟฯ ได้ทำอะไรกับราษฎร 35 รายก่อนหน้านี้ มีการให้เขาออกไปจากที่ดินแล้วหรือยัง หรือรายไหนที่ยังไม่ออกแต่มีการทำสัญญาเช่า แบบนี้ต้องชัด เพื่อบอกว่ามีการดำเนินการกับคู่ความตามคำตัดสินของศาลฎีกาฯ ไปแล้ว ส่วนรายไหนที่ศาลบอกให้เพิกถอน ทำไปแล้วหรือยัง หากทำแล้วก็บอกกับประชาชนว่าการรถไฟฯ ทำไปแล้ว
ส่วน 995 รายก็ให้การรถไฟฯ ไปฟ้องแล้วบอกกับประชาชนว่า เมื่อคำพิพากษาศาลฎีกาฯ ไม่มีผลผูกพันกับบุคคลภายนอกโดยตรง ดังนั้นก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย คือ เอาคำพิพากษาศาลฎีกาฯ ไปประกอบสำนวนยื่นฟ้องเป็นคดีใหม่ กับรายหนึ่งรายใดใน 995 แปลง เพราะข้อต่อสู้ของทั้งหมดเป็นประเด็นเดียวกัน คือการรถไฟฯ ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน เพราะ 995 รายมีเอกสารสิทธิคือโฉนด หรือไม่ก็ น.ส.3 จึงย่อมมีสิทธิ์ต่อสู้ตามกฎหมาย ไม่ต้องไปฟ้องทั้ง 995 ราย ฟ้องแค่รายใดรายหนึ่งก็พอ เมื่อผลคำพิพากษาออกมาก็ต้องปิดปากคนเหล่านี้ได้ทันที
"คดีเขากระโดงจะจบภายใน 3 ปี นับจากปี 2569เพราะกว่าจะขยับฟ้อง กว่าจะมีการสืบคดี โดยการฟ้องต้องไปฟ้องที่ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ พอฟ้องแล้วศาลจะนัดสืบพยานประมาณต้นปี 2569 ส่วนจะใช้เวลากี่เดือน ก็ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน
ซึ่งฝ่ายเรามีพยานหลักฐานเยอะ ฝ่ายเขา (รฟท.) คงไม่ค่อยมี พอมีพยานหลักฐานเยอะก็ต้องใช้เวลาในการนำสืบ ที่คาดว่าไม่เกินเดือนเมษายน การสืบพยานคงเสร็จสิ้นแล้วการนัดอ่านคำพิพากษาคงน่าจะเป็นสักช่วงเดือนมิถุนายน ซึ่งผลคำพิพากษาออกมาอย่างไร โจทก์หรือจำเลยก็คงใช้สิทธิ์อุทธรณ์ พอไปศาลอุทธรณ์ก็คงไม่เกินหนึ่งปี ที่ก็จะไปถึงช่วงปี 2570 ส่วนจบจากศาลอุทธรณ์แล้วจะฎีกาได้หรือไม่ ผมเชื่อว่าศาลฎีกาอาจไม่รับ อันนี้ผมพูดให้เป็นบวกกับการรถไฟฯ เลย คือ ถ้าการรถไฟฯ ชนะทั้งสองศาลคือศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ก็อาจจะฎีกาไม่ได้แล้ว เพราะเป็นปัญหาข้อเท็จจริง แต่หากไปถึงศาลฎีกาฯ ได้ ก็คิดว่าน่าจะประมาณปี 2571 คดีคงจบ
โดยหากผลคำตัดสินของศาลฎีกาฯ ออกมาเป็นบวกก็จบกันเลย แต่หากเป็นลบ ประชาชนแพ้คดี ก็ต้องมีการไปยื่นเรื่องให้คณะกรรมการ ตามมาตรา 61 ของประมวลกฎหมายที่ดินฯ ทำการเพิกถอน หากประชาชนคนไหนยังติดใจอยู่ก็สามารถไปสู้ต่อที่ศาลปกครองได้ แต่ถามว่าใครจะสู้ หากศาลฎีกาฯ ยันขนาดนั้น คงไม่มีใครสู้-ก็จบ จากนั้นรัฐบาลก็เตรียมเงินก้อนหนึ่งประมาณสองหมื่นล้านบาทได้ จ่ายชดเชยเขาไป เรื่องนี้ประชาชนเขาไม่มีอะไรจะเสีย มีแต่ได้กับได้ ไปซ้ายก็ได้ ไปขวาก็ได้ แต่ที่เขาสู้วันนี้สู้เพื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่ไม่ต้องมาจ่ายเงินให้พวกเขาฟรีๆ"
โดย วรพล กิตติรัตวรางกูร
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
🛑LIVE ร้องข้ามกำแพงคุก!! | ห้องข่าวไทยโพสต์
ร้องข้ามกำแพงคุก!! ห้องข่าวไทยโพสต์ : ประจำวันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2568
'ไอติม' เลี่ยงยื่นซักฟอก ใช้กลไกอื่นตรวจสอบรัฐบาลแทน
'พริษฐ์' ปัดตอบยื่นซักฟอกรัฐบาล ขอใช้กลไกอื่นของสภาตรวจสอบเข้มข้นแทน เชื่อถกแก้ รธน. วาระ 2 จบภายใน 3 วัน นัดประชุมวิปฝ่ายค้านวางกรอบ 9 ธ.ค.
รัฐบาลยกเว้น 'ค่าไฟ' พ.ย. 420 ล้าน เยียวยาน้ำท่วมสงขลา
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การเยียวยาและฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะในจังหวัดสงขลา เดินหน้าไปอย่างมาก โดยปัจจุบันสามารถนำประชาชนกลับบ้านไปได้กว่า 90%
'อนุทิน' สวน พท. ใครทำงานห่วย ยุครัฐบาลนิด-อิ๊งค์ ติดโพลอันดับ 2
'อนุทิน' สวนเพื่อไทย ถ้าทำงานห่วย คนตั้งก็แย่สิ ยุครัฐบาล 'อิ๊งค์ - เศรษฐา' ผลโพลชี้ชัดนั่งแท่นอันดับ 2 ทิ้งห่าง พท. หัวเราะให้คะแนนตัวเอง 'เดี๋ยวจะหาว่าคุย'
'อนุทิน' ยันยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟูหาดใหญ่ต่อ จ่อขนนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน
'อนุทิน' ยอมรับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ยัน ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟู-เยียวยาต่อ หยอด อำนาจอยู่ที่ มท.1แล้ว 'นายกฯ คงไม่ขัดอะไร' เผยขั้นตอนนำผู้ประสบภัยกลับบ้าน ทำไปแล้วกว่า 90% จ่อขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียนพรุ่งนี้
นายกฯ ประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ทำบุญตักบาตร ถวายพระราชกุศล 'ร.9'
นายกฯ เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ 'ในหลวง ร.9' วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธ.ค. 2568


