สนามเลือกตั้ง เมืองหลวง กทม. ปชป. พรรคสีฟ้า มีโอกาสคัมแบ็ก

ความเห็นส่วนตัว สนาม กทม.ผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นแบบการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 คือโอเคพรรคประชาชนอาจจะยังได้ สส.เขตส่วนมากอยู่ แต่ว่าในเมื่อพรรคประชาธิปัตย์กลับมาอย่างเต็มที่ แล้วก็ยังมีส่วนอื่นๆ ประกอบอีก  ผมว่าก็ไม่น่าจะง่ายเหมือนเดิม

การกลับมาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อีกครั้งของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี กลายเป็นที่จับตามองกันว่า ตัวเขาและคณะกรรมการบริหารพรรคปชป.ที่ได้รับความเห็นชอบและได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่พรรค ปชป.เมื่อ 18 ต.ค. 2568 จะสามารถเข้าไปกอบกู้ฟื้นฟูพรรค ปชป.ได้หรือไม่ และหนึ่งในกรรมการบริหารพรรคที่น่าสนใจก็คือ "สกลธี ภัททิยกุล รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ภาค กทม." ที่หวนคืนกลับ ปชป.อีกครั้งหลังเคยอยู่กับพรรคมาหลายปี รวมถึงเคยเป็นสส.กทม.ของพรรคด้วย            

"สกลธี รองหัวหน้าพรรค ปชป. ภาคกทม.-อดีตรองผู้ว่าฯ กทม.-อดีต สส.กทม.พรรค ปชป." กล่าวถึงการขับเคลื่อนพรรค ปชป.ต่อจากนี้ โดยเฉพาะในสนามเลือกตั้ง กทม.ที่จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในปีหน้า โดยเริ่มด้วยการกล่าวถึงการประชุมระหว่างหัวหน้าพรรคกับกรรมการบริหารพรรค ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งว่า หลังจากที่ประชุมใหญ่พรรคปชป.มีการประชุมเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคไปเมื่อ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ หัวหน้าพรรคปชป.ได้มีการประชุมกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ไปแล้วหนึ่งครั้งเมื่อ ต.ค.ที่ผ่านมา โดยเป็นการประชุมแบบไม่เป็นทางการ เพราะว่าต้องรอคณะกรรมการการเลือกตั้งรับรองรายชื่อกรรมการบริหารพรรค ปชป.

สำหรับการประชุมกรรมการบริหารพรรค ปชป.ครั้งแรก เป็นเหมือนการมานั่งคุยกันคร่าวๆ เรื่องเนื้องาน โดยตอนนี้เรื่องเร่งด่วนหากไทม์ไลน์เป็นไปตามที่ทางนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกฯ ได้เคยพูดถึงเรื่องการยุบสภาและเลือกตั้ง ก็คือน่าจะมีการเลือกตั้งประมาณวันที่ 29 มีนาคม 2569

สิ่งสำคัญที่สุดคือ การหาและคัดตัวผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง โดยหลังจากนี้หัวหน้าพรรค ปชป.น่าจะพูดคุยกับอดีตสส.ของพรรคทั้งหมดที่มีอยู่ เพื่อพูดคุยกันว่าจะทำงานกับพรรค ปชป.ต่อไปหรือไม่ หรือว่าจะขยับขยายยังไง เพราะว่าหากจะไม่อยู่กับพรรคต่อไป ทางพรรคก็ต้องมีการหาผู้สมัครรับเลือกตั้งเข้ามาแทน อันนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน แต่ของกรุงเทพมหานครจะแตกต่างจากส่วนอื่น เพราะว่าปีหน้า 2569 จะมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเช่นกัน เพราะฉะนั้นในส่วนของผู้สมัคร สก.ของพรรคปชป.ต้องมีการเตรียมการไปพร้อมกันด้วย

นอกจากนี้ ในการประชุมดังกล่าวในส่วนของนโยบายพรรค ปชป.ก็ได้มอบให้คุณกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรค เป็นประธานดูเรื่องนโยบายของพรรคว่าจะไปทิศทางไหน

...หลังจากนี้ก็คงมีการตั้งให้ชัดเจนและเริ่มนัดประชุมกัน ซึ่งเรื่องนโยบายจะมีทั้งนโยบายในส่วนที่พรรคการเมืองต้องส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ตามกฎหมายก็เป็นนโยบายเรือธงของพรรค ซึ่งทางหัวหน้าพรรคกับนายกรณ์ รองหัวหน้าพรรค เห็นว่าเรื่องเศรษฐกิจกับความมั่นคงเป็นเรื่องสำคัญ แต่เศรษฐกิจในส่วนของนโยบายที่เป็นระยะสั้น ในการช่วยพี่น้องประชาชนก็สำคัญ แต่ว่าของพรรค ปชป.เราจะมองไปข้างหน้าเพิ่มเติม เพราะว่านโยบายระยะกลางกับระยะยาวก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะว่าในระยะสั้นก็จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศช่วงสั้นๆ แต่ว่าเป้าหลักของพรรคอยากจะวางระยะยาวมากกว่า ว่าทิศทางของประเทศจะไปทางไหนในเรื่องที่ดูแลให้เศรษฐกิจดีขึ้น

"สกลธี รองหัวหน้าพรรค ปชป.รับผิดชอบพื้นที่กทม." กล่าวว่า ในส่วนของกรุงเทพมหานครสิ่งที่ต้องเน้นต่อจากนี้ก็คือ เรื่องตัวผู้สมัครรับเลือกตั้ง โดยตั้งแต่ผมเข้ามาอยู่ที่พรรค ปชป.ตอนเลือกตั้งปี 2550 แล้วออกไปช่วงหนึ่ง ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรค ปชป.ตอนนี้พบว่าเปลี่ยนไปเยอะพอสมควร ทำให้ก็อาจจะต้องเร่งในการคัดตัวผู้สมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งสัปดาห์หน้านี้เราจะคุยกันว่าพรรค ปชป.อาจจะมีการเปิดรับสมัครแบบเป็นทางการในรูปแบบของทางโซเชียลมีเดีย เพื่อให้คนที่สนใจที่มีอุดมการณ์เดียวกับพรรค ปชป.เข้ามาสมัครด้วย และอย่างที่กล่าวข้างต้นคือปีหน้า 2569 กรุงเทพมหานครมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ด้วย ทำให้ในส่วนของทีมสมาชิกสภากรุงเทพมหานครหรือ สก.ก็จะจัดเตรียมไปพร้อมๆ กัน เพราะว่าตอนนี้ สก.ของพรรค ปชป.ก็เหลืออยู่หลายคนเกือบ 10 คน ก็คงทำงานกันต่อ

เมื่อถามถึงการส่งคนลงสมัคร สส.เขต กทม.ของพรรค ปชป.จะพิจารณาจากอะไรบ้าง ดูว่าต้องเป็นอดีตสส.กทม.ของพรรค ปชป.หรือดูความเหมาะสม "สกลธี" ตอบว่าต้องดูความเหมาะสม เพราะว่าถ้าเห็นจากการเลือกหัวหน้าพรรค ปชป.และกรรมการบริหารพรรค ปชป.เมื่อ 18 ต.ค.ที่่ผ่านมา อาจจะดูเหมือนการเลือกแล้วเอาคนใหม่เข้ามาปกติ แต่ว่าจริงๆ หากดูแบบลงลึกลงไป ตามประวัติศาสตร์ของพรรค ปชป.แทบจะเปิดโอกาสให้คนใหม่เลย น้อยมาก เพราะว่าด้วยข้อบังคับของพรรคมันจำกัดเอาไว้ว่า คนที่จะเป็นกรรมการบริหารพรรคได้ต้องเป็นสมาชิกพรรคไม่น้อยกว่า 2 ปี แต่ว่ามันมีการยกเว้นเอาไว้ในข้อบังคับ ซึ่งถึงแม้จะยกเว้นได้แต่ในอดีตก็แทบจะไม่มีคนใหม่ ที่มีการให้ยกเว้นข้อบังคับแล้วได้เป็นกรรมการบริหารพรรค ปชป.เลย แต่ว่าคราวนี้มีหลายคนผมว่าไม่ต่ำกว่า 5-6 คนที่เข้ามาใหม่ๆ เข้ามาเป็นกรรมการบริหารพรรค  ซึ่งตรงนี้ก็แสดงให้เห็นมิติใหม่ของพรรค ปชป.ที่จะเปิดรับคนใหม่ๆ ที่มีความสามารถมากขึ้น โดยเรื่องนี้อาจจะเป็นจุดอ่อนเดิมของประชาธิปัตย์ เป็นจุดอ่อนในแข็ง คือด้วยความเป็นสถาบันพรรคการเมือง แต่ว่าความอนุรักษ์ในเรื่องของกฎเกณฑ์พรรคมันเยอะ คนจะเข้าใจว่าการจะทำงานกับประชาธิปัตย์ โอ้โหต้องมานั่งต่อคิว แต่ว่าคราวนี้เห็นเลยว่าถ้าเป็นคนที่มีความสามารถแล้วก็เหมาะสม จะสามารถเข้ามาร่วมงานกันได้ เรื่องการมาใหม่แล้วไปต่อคิวทีหลังจะน้อยลง

"สกลธี" ให้ความเห็นถึงกระแสตอบรับนายอภิสิทธิ์ กลับมาเป็นหัวหน้าพรรค ปชป.ด้วยว่า ตั้งแต่ช่วงก่อนหน้าวันที่ 18 ต.ค. สัก 2 อาทิตย์จนถึงตอนนี้ หากดูตามฟีดข่าวทั้งทางโซเชียลมีเดียและสื่อต่างๆ ก็จะเป็นเรื่องของประชาธิปัตย์เยอะมาก ที่ผมคิดว่าแนวโน้มก็น่าจะดีขึ้นกระเตื้องขึ้น เพราะว่ามันมีการเปิดโอกาสที่ผมบอกมีการเปิดโอกาสให้กับคนใหม่ๆ ที่มีความสามารถ แล้วก็เป็นคนนอกพรรคปชป.ได้เข้ามาทำงานกับพรรคได้ง่ายและมากขึ้น ที่ในอนาคตผมคิดว่ามันน่าจะมีเข้ามาเรื่อยๆ คือในช่วงวันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีการเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค ปชป. มันเป็นการกระชั้นเพราะว่าหัวหน้าพรรค ปชป. ท่านเฉลิมชัย ศรีอ่อน ที่ลาออกแบบค่อนข้างปัจจุบันทันด่วน ทำให้การเตรียมตัวเชิญคนนอกมาร่วมงานกับพรรค ปชป.จะมีเวลาน้อย แต่ว่าหลังจากนี้เมื่อหัวหน้าพรรค ปชป.-คุณอภิสิทธิ์เข้ามาเต็มตัว มีการเซตกรรมการบริหารพรรค ปชป. ทำให้การทาบทามคนที่มีความสามารถ คนที่เก่งๆ จะมีเพิ่มขึ้น 

เมื่อถามถึงจุดแข็งหรือจุดเด่นของพรรค ปชป. และตัวหัวหน้าพรรคอภิสิทธิ์ ที่จะนำไปรณรงค์ทำแคมเปญหาเสียงตอนเลือกตั้งที่ทำให้คนจะเลือก ปชป.คือเรื่องใด "สกลธี รองหัวหน้าพรรค ปชป." มองว่า หลักๆ ของพรรค ปชป.ก็คือการเป็นพรรคการเมืองที่มีความเป็นสถาบันและมีจุดยืนที่ชัดเจน อีกทั้งตัวบุคคลที่เข้ามาบริหารพรรค ปชป. ก็เป็นคนที่ต่างมีประสบการณ์ในการบริหารทั้งสิ้น ไม่ว่าจะทางภาคเอกชน ภาครัฐ หรือว่าจากที่ต่างๆ เนี่ย ก็คือเป็นคนที่มีประสบการณ์ เพราะฉะนั้นในส่วนนี้ก็จะให้ความมั่นใจกับประชาชนที่เลือกพรรค ปชป.ได้ว่า หากเลือกพรรค ปชป.ไป สามารถทำงานได้ คือไม่ได้ว่าอยู่ดีๆ ใหม่เอี่ยมมาแล้วก็จะมาทำงาน เพราะมันคงต้องใช้ประสบการณ์พวกนี้พอสมควร

ผมว่าอันนี้มันเป็นจุดขายได้ อย่างที่ผมกล่าวข้างต้นว่า การที่เปิดโอกาสให้คนใหม่ๆ เข้ามา มันจะทำให้พรรคปชป.จะมีความทันสมัยมากขึ้น แต่สำหรับคนที่อยู่กับพรรคปชป.มา สำหรับคนเก่าเราก็มีพื้นที่ให้ แต่ว่าผมคิดว่า ณ วันนี้คนที่อยู่ในพรรค ปชป.ทุกคนก็เข้าใจตรงกันว่ามันต้องมีการปรับปรุงพรรค คือที่พรรค ปชป.เป็นสถาบันการเมืองเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว แต่ว่าบริบทของการเลือกตั้งช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมามันเปลี่ยนไปเยอะมาก เพราะฉะนั้นพรรคปชป.ก็ต้องก้าวให้ทัน

 "การทันสมัยไม่ใช่ว่าเพียงแค่การเอาคนรุ่นใหม่ ๆ อายุน้อยๆ มาแล้วมันทันสมัย แต่ว่าคือต้องเอาคน ที่อาจมีทั้งอายุเยอะ อายุกลาง อายุน้อยผสมกัน แต่ว่าต้องเป็นคนที่มีความสามารถและเชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ ที่ตัวเองทำมาแล้วมาช่วยกันบริหารประเทศบ้านเมือง"

ถามต่อไปว่าการเลือกตั้ง 2 ครั้งหลังที่ผ่านมา คือปี 2562 และ 2566 พรรค ปชป.ไม่ได้ สส.เขต กทม.เลยแม้คนเดียว จากเดิมที่ยังไงก็ต้องมี สส.ปชป.ใน กทม.มาตลอดก่อนหน้านี้ เมื่อเข้ามาที่พรรค ปชป.มีความกดดันยังไงหรือไม่ และจะมียุทธศาสตร์การหาเสียงอย่างไรที่จะทำให้พรรค ปชป.กลับมามี สส.เขต กทม. "สกลธี รองหัวหน้าพรรค ปชป.และอดีตรองผู้ว่าฯ กทม." มองว่า  พื้นที่กรุงเทพมหานครมันไม่เคยง่าย เพราะว่าความผูกขาดมันไม่เหมือนต่างจังหวัด เพราะต่างจังหวัดการทำงานของ สส.กับพี่น้องประชาชนจะมีความใกล้ชิด มีความผูกพันเหมือนอุปถัมภ์เยอะกว่า แต่ด้วยความสังคมกรุงเทพฯ มันจะอยู่ที่กระแสของพรรค กระแสของช่วงนั้น ๆ เป็นหลัก

...เพราะฉะนั้นพรรคการเมืองใดที่เคยได้ สส.กทม.เยอะ วันหนึ่งอาจจะไม่เหลือก็ได้ ที่เห็นชัดๆ ก็อย่างประชาธิปัตย์ สมัยที่ผมเป็น สส.กทม.สมัยแรกเมื่อปี 2550 พื้นที่กทม. พรรค ปชป.ก็ได้ สส.เขตจำนวนมาก แต่ว่าถอยหลังมา 10 ปีเล็กน้อย พรรค ปชป.ก็ไม่มี สส.เขต กทม.เลย มันก็เป็นวัฏจักรที่วนไปวนมา

...เพราะว่าขึ้นอยู่กับพรรคในช่วงนั้น รวมถึงขึ้นอยู่กับผู้บริหารในช่วงนั้นๆ ที่จะวางนโยบายแล้วก็การจัดตัว รวมถึงมีจุดยืนทางการเมือง ที่ทำให้คนที่เลือกเขาฝากความหวังไว้ได้ ซึ่งผมมั่นใจ เพราะว่าทุกครั้งในการเลือกตั้งก็จะเปิดโอกาส หรือว่าคน กทม.ก็จะดู คือการเลือกตั้ง กทม แต่ละครั้งแทบไม่เหมือนกันเลย หากสังเกตเห็นยิ่งปี 2566 มันแสดงให้เห็นชัดเลยว่าการหาเสียงแบบเดิมๆ มันแทบไม่มีผล คือหมายความว่าการลงพื้นที่อะไรแบบนี้ มันไม่มีผลสู้กับนโยบายภาพรวมภาพใหญ่ไม่ได้

ผมคิดว่าถ้าพรรค ปชป.มีนโยบายหรือจุดยืนในภาพใหญ่ที่ชัดเจน แล้วก็ถูกใจชาวกรุงเทพฯ ทำให้โอกาสที่พรรค ปชป.จะกลับมาก็มี

ซึ่ง ณ ตอนนี้จุดเริ่มวันนี้ ผมคิดว่าก็น่าจะเริ่มดีขึ้น แต่ว่าทั้งนี้ทั้งนั้นในการเลือกตั้งที่จะถึง คุยกันตอนนี้ก็อาจจะไกลเกินไปในการวัด เพราะกรุงเทพฯ บางครั้งเนี่ย เหตุการณ์ความนิยมของพรรคการเมืองสามารถสวิงขึ้นลงได้ภายในหนึ่งวันหรือสองวัน 2 วันด้วยซ้ำ เพราะปัจจุบันข่าวทางโซเชียลมีเดีย ข่าวออนไลน์มันเข้าถึงกลุ่มผู้ลงคะแนนเสียงได้อย่างรวดเร็ว

ถามย้ำว่า เลือกตั้งที่จะมีขึ้น การที่กลับมาพรรค ปชป.อีกครั้งในรอบนี้ มั่นใจว่าจะทำให้พรรคมีที่นั่ง สส.ระบบเขต คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ในส่วนของ กทม.เพิ่มขึ้นได้ "สกลธี" ยืนยันว่า ใช่ครับ ผมมั่นใจว่าน่าจะดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับบริบท หรือว่าอุดมการณ์หรือว่าเรื่องราว ณ เหตุการณ์เลือกตั้งตอนนั้นด้วย รวมถึงการจัดตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งหลายๆ อย่างประกอบกัน

วิเคราะห์สนามเลือกตั้งเมืองหลวง กับโอกาสพรรคสีฟ้า ปักธง กทม.

สำหรับ "สกลธี ที่เคยเป็นอดีตรองผู้ว่าฯ กทม.-อดีตผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.-อดีต สส.กทม. พรรค ปชป." เมื่อเราถามต่อไปว่า ในฐานะที่มีประสบการณ์ใน กทม. อยากให้วิเคราะห์สนามแห่งนี้ ถ้าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นช่วงมีนาคมปีหน้า การแข่งขันในพื้นที่กทม.ทิศทางจะเป็นอย่างไร โดยเขาสะท้อนความเห็นและมุมมองภาพใหญ่ในสนาม กทม.ไว้ว่า ถ้าผมประเมินเรื่องของจำนวนที่นั่ง การคุยกันตอนนี้ยังอาจประเมินไม่ได้ แต่ผมคิดว่าเรื่องหนึ่งเลยคือ ความนิยมของพรรค ปชป.ดีขึ้นแน่นอน แต่จะดีถึงจุดไหน อย่างที่ผมบอกมันมีเหตุการณ์อีกเยอะใน 4- 5 เดือนข้างหน้า ที่จะส่งผลถึงความนิยม ก็อาจจะเป็นการทำงานของรัฐบาลด้วย เพราะว่าต้องยอมรับเลยว่าฐานคะแนนของพรรคประชาธิปัตย์ ณ ตอนนี้ก็ยังทับแล้วก็ทาบกับหลายพรรคการเมืองอยู่ ตรงนี้จึงขึ้นอยู่กับว่าช่วงระหว่าง 4-5 เดือนข้างหน้าต่อจากนี้ เหตุการณ์บ้านเมืองหรือว่าการบริหารงานของรัฐบาลจะไปในทิศทางใด  ตรงนี้ก็จะมีผลกับคะแนนของพรรค ปชป.ทั้งสิ้น

...ผมคิดว่าคนที่เคยเลือกพรรค ปชป. ซึ่งในช่วงพีกๆ ก็ได้คะแนนเสียงปาร์ตี้ลิสต์ถึง 13-14 ล้านคน จนวันนี้เหลือ 900,000 คะแนน ผมคิดว่าที่หายไปสิบกว่าล้านเสียง ณ วันนี้ก็หันมามองประชาธิปัตย์แล้ว แต่ว่าวันเลือกตั้งจะเลือกประชาธิปัตย์หรือไม่ขึ้นอยู่กับจุดยืนของพรรค แล้วก็หลายอย่างของพรรคที่จะออกมาในช่วงนั้น แต่ผมคิดว่าตอนนี้ประชาชนเริ่มหันมามองพรรค ปชป.แล้วก็คิดที่จะให้โอกาส แต่ว่าก็อยู่ที่พรรคจะตรงนั้นได้หรือไม่ 

            ถามถึงว่า สนามเลือกตั้ง กทม.หลายพรรคการเมือง ก็จะเข้ามาแข่งขัน ทั้งพรรคการเมืองที่เคยแข่งกันตอนเลือกตั้งที่ผ่านมา เช่น พรรคประชาชน เพื่อไทย ประชาธิปัตย์ ไทยสร้างไทย ส่วนพรรคใหม่ก็หวังเข้ามาร่วมแจมเช่นกัน อาทิ ไทยก้าวใหม่ กล้าธรรม มองการแข่งขันที่จะมีขึ้นอย่างไร "สกลธี" ให้ความเห็นว่า ผมมองว่าในกรุงเทพฯ คะแนนส่วนใหญ่ถ้าเป็นการเลือกตั้ง สส. ไม่นับรวมถึงการเมืองท้องถิ่น อย่างการเลือกสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร หรือ สก.จะไปในทิศทางเดียวกัน

สมมุติว่าถ้าพรรคคะแนนนิยมดี แนวโน้มก็จะไปด้วยกันทั้งกรุงเทพฯ คือมันจะไม่มีเขตไหนที่โดดขึ้นมาแบบเด่นกว่าเขตอื่น เพราะว่าด้วยกระแสมันจะนำพาไปกันหมด แต่หากวิเคราะห์กันเป็นรายพรรคการเมือง อย่างพรรคเพื่อไทย ฐานคะแนนกับประชาธิปัตย์มันก็คนละฐานกันอยู่ โดยในส่วนของประชาธิปัตย์ก็คงจะต้องแบ่งบางส่วนจากทั้งพรรคประชาชน พรรคภูมิใจไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่เป็นหลักๆ ผมว่ามีอยู่ประมาณสัก 3 ถึง 4 พรรคการเมือง รวมถึงพรรคไทยภักดีของ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส่วนไทยก้าวใหม่ของ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ก็อาจมีบางส่วน แต่ผมคิดว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมา หลายครั้ง ทางประชาชนก็เริ่มจะเห็น ก็อาจจะต้องมีการเลือกแบบกลยุทธ์ เริ่มมีคนพูดถึงการเลือกตั้งแบบใช้กลยุทธ์ว่าควรจะเทคะแนนอะไรหรือไม่ แต่ว่าคุยกันตอนนี้มันก็ยังพูดยาก แต่ผมว่าคนเริ่มคิดถึงตรงนั้นแล้ว ผมคิดว่าคนกรุงเทพฯ เวลาเลือกอะไรจะตัดสินใจมีความคิดที่แบบลึกซึ้ง ซึ่งตรงนี้จะดูได้ก็ตอนช่วงใกล้ๆ การเลือกตั้ง

 ...ของพรรคประชาธิปัตย์กับบางพรรคการเมืองเช่น เพื่อไทย น่าจะคะแนนคนละฐาน แต่คะแนนของอย่างพรรคประชาชน เขาเป็นพรรคที่ได้คะแนนทั้งจากฐานเดิมของเพื่อไทย และฐานเดิมของประชาธิปัตย์ไป ก็ในส่วนนี้พอหัวหน้าอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับเข้ามาและมีแนวคิดที่เป็นเสรีประชาธิปไตย ซึ่งอาจจะใกล้เคียงกับพรรคประชาชน ก็มีโอกาสที่จะไปดึงคะแนนตรงส่วนนั้นมาได้ แต่ในส่วนของคะแนนอนุรักษนิยมเพียวๆ ก็คงต้องแบ่งกันระหว่างรวมไทยสร้างชาติ ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ ไทยภักดี อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าตัวผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส. รวมถึงนโยบายพรรคหรือว่าอุดมการณ์พรรค ณ วันนั้น ประชาชนชาวกรุงเทพฯ เขาจะเห็นอันไหน แต่ผมก็มั่นใจว่าด้วยคุณสมบัติของหัวหน้าพรรค ปชป.และกรรมการบริหารพรรค ปชป. ไม่ได้เป็นรองพรรคการเมืองใด

ถามต่อไปว่า ลองประเมินสถานการณ์การเมืองตอนนี้  คิดว่ามีโอกาสหรือไม่ที่อาจจะมีการยุบสภาฯ ก่อน 31 ม.ค. 2569 หากเกิดปัญหาบางเรื่อง เช่นการแก้ไข รธน.ไม่สำเร็จ ไม่ผ่านวาระสาม หรือรัฐบาลเจอปัญหาเรื่องสแกมเมอร์ จนมีการยุบสภาฯ เร็วขึ้น แล้วประชาธิปัตย์แบบนี้พร้อมหรือไม่ "สกลธี รองหัวหน้าพรรคปชป." มองว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นได้หมด เพราะด้วยรัฐบาลตอนนี้เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย โดยมีเงื่อนไขที่ต้องทำมากมาย ก็ทำให้มีความเปราะบางพอสมควร คือถ้าเงื่อนไขที่ได้ตกลงหรือคุยกันไว้ มันดูแนวโน้มไม่เป็นไปอย่างงั้น ก็มีโอกาสที่จะยุบสภาเร็วขึ้น รวมถึงประกอบกับหลายเรื่องที่อาจจะโถมเข้ามาใส่รัฐบาล ซึ่งผมคิดว่ารัฐบาลเขาก็คงประเมินอยู่ว่า การยุบสภาช่วงใดจะเป็นการยุบที่ได้เปรียบสำหรับฝ่ายรัฐบาลมากที่สุด แต่ว่าในส่วนของพรรค ปชป. หัวหน้าพรรคก็ได้บอกไว้เบื้องต้นแล้วว่า เราคงไม่สามารถที่จะยึดวันที่  29 มีนาคม 2569 เป็นวันเลือกตั้งได้ เพราะว่ามีโอกาสที่อาจจะเลือกตั้งเร็วกว่านั้นได้ เพราะฉะนั้นในส่วนของผู้สมัครรับเลือกตั้งและนโยบายพรรค ปชป.และทุกอย่างต้องต้องเร่งให้พร้อมที่สุดตลอดเวลา

ถามปิดท้ายว่า เมื่อประเมินการเลือกตั้งพื้นที่ กทม.คิดว่าผลที่จะออกมาคงไม่เหมือนการเลือกตั้งปี 2566 ที่ฝ่ายที่ชนะได้ สส.มากสุดเกือบจะแลนด์สไลด์ได้ไปหมดใช่หรือไม่ "สกลธี รองหัวหน้าพรรค ปชป." บอกว่า ถ้าหากประเมินด้วยความเห็นส่วนตัว สนาม กทม.ผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นแบบการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 คือโอเคพรรคประชาชนอาจจะยังได้ สส.เขตส่วนมากอยู่ แต่ว่าในเมื่อพรรคประชาธิปัตย์กลับมาอย่างเต็มที่ แล้วก็ยังมีส่วนอื่น ๆ  ประกอบอีก ผมว่ามันก็ไม่น่าจะง่ายเหมือนเดิม

"หากเลือกประชาธิปัตย์ ผมคิดว่าก็จะได้คนที่มีประสบการณ์ในการทำงาน แล้วก็มองผลประโยชน์ของประเทศในระยะยาว คือโอเคเราไม่อาจเถียงได้ว่านโยบายระยะสั้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมันต้องมี แต่ว่าของประชาธิปัตย์เราเป็นห่วง คือเราไม่อยากจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแค่สั้นๆ แต่ประชาธิปัตย์เราก็จะมองระยะกลาง ระยะยาวด้วยว่าประเทศจะไปทางไหน  แล้วก็ที่สำคัญคือ มันได้คนมีประสบการณ์เข้ามาทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ  คุณกรณ์ ก็เป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หัวหน้าพรรค คุณอภิสิทธิ์ก็เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี อย่างผมก็เคยบริหารกรุงเทพมหานครมาแล้ว เรารู้ว่าถ้าได้เข้าไปทำงาน เรารู้ว่าจะเข้าไปทำอะไร ซึ่งหากได้โอกาสจากชาวกรุงเทพมหานคร ผมคิดว่าเราสามารถทำงานได้เลยทันที และบุคลากรที่มีก็พรั่งพร้อม ก็จะมีคนใหม่ๆ เข้ามาเสริมอีก ถ้าได้รับโอกาสก็สามารถทำงานได้เลยทันที ไม่ต้องมานั่งศึกษางานใหม่ และตัวบุคลากรที่พรรคจะเติมเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นบุคคลจากภาคเอกชนหรือเป็นภาครัฐ ที่เคยมีประสบการณ์การทำงานมาแล้วทั้งสิ้น ก็จะเข้ามาเสริมได้อีก".

โดย วรพล กิตติรัตวรางกูร

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อภิสิทธิ์' ลั่นต่อสู้ให้การเมืองกลับมาเป็นเรื่องความนิยมอุดมการณ์-นโยบายตัวบุคคล

หัวหน้าปชป. ไม่หวั่น อดีต สส. แห่ย้ายพรรค พร้อมส่ง สส.ชน ย้ำไม่มีใครผูกขาดคะแนนเสียง บอกหากวันเลือกตั้งต้องขยับ เนื่องจากเหตุสุดวิสัยเป็นเรื่องเข้าใจได้

ภูมิใจไทยปลุกพลังผู้สมัครสส. ชูสโลแกน 'พูดแล้วทำพลัส' ตั้งเป้าเกิน 200 ที่นั่ง!

แกนนำภูมิใจไทยกำชับว่าที่ผู้สมัคร สส.เดินเกมเลือกตั้งตามกติกา กกต. ชูผลงานรัฐบาลเป็นจุดขาย พร้อมปลุกใจหากทุ่มเทเต็มที่ มีลุ้นกวาดเกิน 200 ที่นั่ง มองสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชามีแนวโน้มคลี่คลายก่อนปีใหม่

เพื่อไทย ชูเครือญาติ 'ชินวัตร' นั่งแคนดิเดตนายกฯ อันดับ 1

"เพื่อไทย ชู "ยศชนัน" นั่งแคนดิเดตนายกฯ เบอร์ 1 ชี้ไม่เป็นปัญหาถูกมองหนีไม่พ้นตระกูลชินวัตร ลั่นเป็นโอกาส-จุดเด่น รับเป็นหน้าใหม่การเมือง เชื่อเวลา 2 เดือน ชนะใจปชช.ได้ พร้อมยัน ไม่ถูกครอบงำจาก “เยาวภา” ด้าน “สุริยะ” ยังมั่นใจ ถึงเป้า 200 ที่นั่ง ขณะที่ “จุลพันธ์” ประกาศพร้อมฝ่าด่านอำนาจรัฐ กระสุน กระแสชาตินิยม สู่ชัยชนะด้วยนโยบาย

ปชป. ชู 3 แกนหลัก การเมืองสุจริต ความเป็นมืออาชีพ ไว้วางใจได้ไม่มีดีลลับ

ปชป. ประกาศเดินหน้าเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่ ชู 3 แกนหลัก สุจริต-มืออาชีพ-ไว้วางใจ พร้อมสะท้อนปัญหาหาดใหญ่ถึงรัฐบาล