
ในการประชุม COP30 ที่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า คาดว่าประเทศไทยจะประกาศการเร่งเป้าหมาย Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี เป็นภายในปี 2593 อย่างเป็นทางการ
โดยประเด็นสำคัญคือ ภายในปี 2593 กระบวนการผลิตและเทคโนโลยีที่ก่อให้เกิดการปล่อยคาร์บอนจำนวนมากอาจจะกลายเป็นสินทรัพย์สูญค่าในอนาคต หรือ Stranded Assets สินทรัพย์สูญค่าในอนาคตหมายถึง การลงทุนที่ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจได้ตามที่คาดหวังไว้ อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ในการดำเนินธุรกิจ
ภาคพลังงาน ภาคขนส่ง และภาคการผลิต เป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลักของประเทศไทย คิดเป็นสัดส่วนถึง 70 – 80% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด [1] และเป็นภาคส่วนที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดสินทรัพย์สูญค่าในอนาคตด้วย
หากไม่มีมาตรการบรรเทาการด้อยค่าของสินทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญ ประเทศไทยอาจเผชิญความเสี่ยงที่บริษัทต่าง ๆ จะต้องตัดมูลค่าสินทรัพย์ในงบดุล หรืออัตราส่วนวงเงินสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) อาจลดลงต่ำกว่าระดับที่ยอมรับได้ ซึ่งจะทำให้ภาคธุรกิจและภาคการเงินของไทยมีแนวโน้มเผชิญกับความเสี่ยงจากวิกฤตสินเชื่อ
แม้การประเมินผลกระทบทั้งหมดของประเทศไทยจากความเสี่ยงของสินทรัพย์สูญค่าในอนาคตจะเป็นเรื่องยาก แต่สำหรับภาคพลังงาน Climate Finance Network Thailand ประเมินว่า กำลังการผลิตไฟฟ้ามูลค่าประมาณ 360–530 พันล้านบาท อาจกลายเป็นสินทรัพย์สูญค่าภายในปี 2593[2]
ในภาคขนส่ง รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) มีสัดส่วนสูงถึง 98.8% จากจำนวนรถยนต์ทั้งหมด 20.2 ล้านคัน ซึ่งมีแนวโน้มสูญเสียมูลค่าหลังปี 2593
ขณะที่ภาคการผลิตมีความหลากหลายสูง แต่ยังคงพึ่งพาเตาเผาก๊าซเป็นจำนวนมาก (57%[3] ของการใช้ LNG ใช้ในภาคการผลิต) กระบวนการที่ปล่อยคาร์บอนสูง (โดยเฉพาะการผลิตปูนซีเมนต์และเคมีภัณฑ์) และการใช้รถยนต์ ICE สำหรับงานโลจิสติกส์เป็นอย่างมาก
ภาคพลังงานจำเป็นต้องจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่
ภายใต้เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593 โรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอาจไม่สามารถนำมาใช้ผลิตไฟฟ้าได้ เนื่องจากมีการห้ามใช้ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติหลังปี 2593 ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้ต้องปรับลดมูลค่ากระแสเงินสดในอนาคตที่คาดว่าจะได้รับ หากโรงไฟฟ้าฟอสซิลถูกปิดก่อนกำหนดหรือจำเป็นต้องหยุดเดินเครื่อง
แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับล่าสุดของประเทศไทย (PDP 2024) ระบุว่า ภายในปี 2580 การผลิตพลังงานไฟฟ้า 51% ของประเทศจะมาจากพลังงานหมุนเวียน และจะทยอยยุติการใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้าภายในปี 2593[4]
แต่ในแผน PDP 2024 ได้ระบุแนวทางการติดตั้งกำลังผลิตไฟฟ้าจากก๊าซใหม่รวม 6,300 เมกะวัตต์ จนถึงปี 2579[5] จากการที่อายุการใช้งานและระยะเวลาคืนทุนของโรงไฟฟ้ามักจะใช้เวลาหลายสิบปี ซึ่งทำให้คาดว่าจะยังมีโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลหลายแห่งดำเนินการผลิตไฟฟ้าอยู่หลังปี 2593
โรงไฟฟ้าเหล่านี้อาจประสบปัญหาในการสร้างรายได้ เนื่องจากข้อกำหนดเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ซึ่งจะส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินลดลง
รัฐบาลไทยอาจจำเป็นต้องปรับปรุงแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า เพื่อปรับทิศทางการลงทุนให้ลดการพัฒนาโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ และเพิ่มการลงทุนในโซลาร์ฟาร์ม โซลาร์ลอยน้ำ และระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS)
ภาคขนส่งจำเป็นต้องเร่งดำเนินการใช้ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าอย่างจริงจัง
ปัจจุบันประเทศไทยมีรถยนต์จดทะเบียนบนท้องถนนมากกว่า 20.2 ล้านคัน[6] แม้ว่าการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (BEV) ในประเทศไทยจะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่รถยนต์ไฟฟ้า 100% ยังมีสัดส่วนประมาณ 1.2% ของจำนวนรถยนต์ทั้งหมดในประเทศ
เมื่อเข้าใกล้ปี 2593 มูลค่าคงเหลือของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) มีแนวโน้มจะลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลให้ทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจต้องถือครองยานพาหนะที่ไม่สามารถใช้งานได้ หรือสามารถขายต่อได้เพียงในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าอย่างมาก
นั่นหมายความว่าการทดแทนรถยนต์จำนวน 20.2 ล้านคันของประเทศไทยจำเป็นต้องมีการซื้อรถยนต์ใหม่โดยเฉลี่ยปีละ 800,000 คัน ขณะที่ปัจจุบันประเทศไทยมียอดขายรถยนต์ใหม่ราว 600,000 คันต่อปี ซึ่งหมายความว่า แม้จะเปลี่ยนมาขายรถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) ทั้งหมด ก็ยังไม่สามารถทดแทนสต็อกรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ได้ทันเวลา
ดังนั้นรัฐบาลไทยจำเป็นต้องออกนโยบายที่สร้างแรงจูงใจให้มีการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) มากขึ้น เช่น การขยายมาตรการภาษี “EV 3.5” ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ของ 30@30[7] ให้ครอบคลุมมากขึ้น พร้อมกันนี้ยังต้องลดจำนวนรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) บนท้องถนน
ภาคการผลิตจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคการผลิตส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมผลิตปูนซีเมนต์ เคมีภัณฑ์ และสารทดแทนที่ไม่ทำลายโอโซน
อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ได้ดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero โดยได้จัดทำแผน Net Zero Cement and Concrete Roadmap 2050 ขณะที่อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ของไทย มีผู้ประกอบการรายใหญ่ เช่น บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)[8] ตั้งเป้าหมายบรรลุ Net Zero ภายในปี 2593 เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมเหล่านี้มักมีเครื่องจักรทุนขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานยาวนาน และพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในการดำเนินการจะต้องเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น การใช้ไฮโดรเจนที่ผลิตจากแหล่งพลังงานสะอาด (Green Hydrogen) เป็นเชื้อเพลิง การใช้วัตถุดิบชีวภาพ (Bio-feedstock) และการใช้เตาหลอมไฟฟ้า (Electric Arc Furnace)
เนื่องจากเทคโนโลยีการผลิตและใช้ Green Hydrogen รวมถึงระบบไฟฟ้าสะอาดของไทยยังอยู่ในระยะตั้งไข่ การบรรลุเป้าหมาย Net Zero จึงขึ้นอยู่กับความสามารถของรัฐในการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับพลังงานสะอาด เช่น ระบบท่อส่ง ไฮโดรเจน และโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ที่สามารถเชื่อมต่อภาคการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จะรับมืออย่างไร? – การเปลี่ยนผ่านอย่างมีแบบแผน
สินทรัพย์และเทคโนโลยีบางประเภทอาจสูญเสียมูลค่าไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จากนโยบาย Net Zero ฉบับใหม่ แต่ด้วยกลยุทธ์ที่เหมาะสมจะสามารถบรรเทาความเสี่ยงและลดผลกระทบทางเศรษฐกิจได้ ทั้งนี้มี 2 แนวทางรับมือหลักมีอยู่ 2 ประการ ได้แก่ (1) เปลี่ยนแผนการลงทุนไปสู่เทคโนโลยีคาร์บอนต่ํา (Decarbonization Investment) และ (2) การปรับใช้หรือการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์เดิมในรูปแบบใหม่ (Repurpose)
- การเปลี่ยนแผนลงทุนไปเทคโนโลยีคาร์บอนต่ํา (Decarbonization Investment)
แนวทางที่รอบคอบที่สุดคือ การหลีกเลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มจะกลายเป็นสินทรัพย์สูญค่าในอนาคต โดยมุ่งเปลี่ยนไปลงทุนในโซลูชันที่ปล่อยคาร์บอนต่ำหรือคาร์บอนเป็นศูนย์
ผู้กำหนดนโยบายสามารถออกกฎระเบียบที่ค่อย ๆ เข้มงวดขึ้น พร้อมกำหนดช่วงเวลาสิ้นสุดการใช้งานอย่างชัดเจนสำหรับสินทรัพย์ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับสูง (Regulatory Sunset Clauses) ซึ่งจะช่วยกระจายความเสี่ยงให้ลดลงอย่างต่อเนื่องในระยะยาวแทนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
แนวทางนี้เริ่มเห็นได้ชัดแล้วใน Thailand Taxonomy[9] ของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีข้อกำหนดวันที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจบางชนิด จะสิ้นสุดถือว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือในสหภาพยุโรปที่ห้ามจำหน่ายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปตั้งแต่ปี 2578 เป็นต้นไป[10]
ตัวอย่างเช่น ถ้าภาครัฐประกาศล่วงหน้าว่าจะไม่อนุญาตให้จดทะเบียนรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในใหม่หลังปี 2578 ซึ่งช่วยสร้างความชัดเจนให้กับตลาด และเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคมีเวลาเพียงพอในการปรับตัวไปสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า
- การปรับใช้หรือการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์เดิมในรูปแบบใหม่ (Repurposing)
ในกรณีที่สินทรัพย์บางประเภทไม่สามารถทำหน้าที่ตามวัตถุประสงค์เดิมอีกต่อไป การปรับใช้หรือการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์เดิมในรูปแบบใหม่จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ตัวอย่างเช่น บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)[11] กำลังปรับโรงกลั่นน้ำมันแห่งหนึ่งให้สามารถรองรับการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพสำหรับเชื้อเพลิงการบินยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel – SAF) นอกจากนี้ เมื่อมีการปิดโรงไฟฟ้าถ่านหิน พื้นที่ดังกล่าวสามารถนำไปใช้เป็น สถานีเก็บพลังงานแบตเตอรี่ (Battery Storage Facility) เพื่อใช้ประโยชน์จากโครงข่ายไฟฟ้าที่มีอยู่แล้ว
ผู้ถือสินทรัพย์จำเป็นต้องตระหนักว่าสินทรัพย์บางประเภทจะมีมูลค่าลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงควรพิจารณาตัดมูลค่าทรัพย์สินเหล่านั้นหรือเลือกลงทุนเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่
คอลัมน์ พิจารณ์นโยบายสาธารณะ กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล
ดร กฤตย์ สีตะธนี
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สุชาติ ชง ครม. ไฟเขียว! ไทยยกระดับ NDC 3.0 เร่งขับเคลื่อน Net Zero 2050 สู้โลกเดือด พลิกโอกาสเศรษฐกิจยั่งยืน
นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 มีมติเห็นชอบต่อร่างเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับที่ 2 (NDC 3.0)
ดั๊บเบิ้ล เอ คว้า “ฉลากลดโลกร้อน” ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ 32 รายการ ตอกย้ำความมุ่งมั่นสู่ Net Zero อย่างเป็นรูปธรรม
ดั๊บเบิ้ล เอ ได้รับการรับรอง “ฉลากลดโลกร้อน” (Carbon Footprint Reduction -CFR) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. สำหรับผลิตภัณฑ์กระดาษจำนวน 32 รายการในปี 2568
GPSC สร้างฝายชะลอน้ำ เสริมระบบนิเวศ หนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น เดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero
นางปริญดา มาอิ่มใจ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายบริหารองค์กร และนายอาเดรียนุส โยเซฟุส แวน เดน บรูค รองกรมการผู้จัดการใหญ่ ที่ปรึกษาประจำประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. นำพนักงานจิตอาสาบริษัทฯ
TOA เดินหน้า Net Zero เต็มสูบ ผ่านการรับรอง CFO ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งองค์กรได้สำเร็จต่อเนื่องเป็นปีที่ 6
บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA เดินหน้าองค์กรสู่ Net Zero อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้รับประกาศนียบัตร “เครื่องหมายรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization : CFO)”


