รศ.สมชัย มองข้ามช็อต ภูมิใจไทย ชนะพรรคประชาชน อนุทิน นายกฯ รอบสอง-ส้ม..ค้านอีกสมัย

พรรคภูมิใจไทยจะได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และจะแซงพรรคประชาชน ภูมิใจไทยอาจจะไปที่ 140-150 เสียง ส่วนพรรคประชาชนอาจจะเหลือสักประมาณ 120 ที่นั่ง ส่วนพรรคเพื่อไทยจะเป็นพรรคอันดับสาม ที่อาจจะได้ สส.ต่ำกว่า 100 ที่นั่ง คือประมาณ 80-90 เสียง ส่วนพรรคกล้าธรรม คาดว่าจะได้ประมาณสัก 50-60 ที่นั่ง ส่วนอันดับ 5 ก็ต้องดูว่าจะเหลือเป็นพรรคการเมืองใด ก็อาจเป็นพรรคประชาธิปัตย์ ที่ผมว่าน่าจะประมาณ 20 เสียง แม้จะมีหัวหน้าพรรคเป็นนายอภิสิทธิ์ก็ตาม แต่คิดว่าจะได้ไม่เยอะ..หลังการเลือกตั้งหากพรรคภูมิใจไทยได้ สส.มาเป็นอันดับหนึ่ง  ภูมิใจไทยก็จะเลือกในการจับมือกับพรรคการเมืองอื่นๆ คำถามคือจะจับมือกับพรรคประชาชนหรือไม่ ซึ่งผมคิดว่าชอยซ์ในการตัดสินใจที่จะเลือกพรรคประชาชน จะเป็นชอยซ์สุดท้ายที่จำเป็นจริงๆ เพราะพรรคประชาชนค่อนข้างตั้งเงื่อนไขเยอะ.

"รองศาสตราจารย์ สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเข้าไปทำงานการเมืองกับบางพรรคการเมืองบ้างแล้ว เช่นเป็นอดีตผู้สมัคร สส.เขต จังหวัดสมุทรสาคร พรรคประชาธิปัตย์, อดีตประธานยุทธศาสตร์และนโยบาย พรรคเสรีรวมไทย" เป็นต้น ปัจจุบันเป็นบุคคลที่ออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องการเมือง พรรคการเมือง การเลือกตั้ง และประเด็นข้อกฎหมายต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ถือว่าเป็นหนึ่งในนักวิเคราะห์การเมืองที่หลายคนติดตามความคิดเห็น

รายการ "ไทยโพสต์ อิสรภาพแห่งความคิด" สัมภาษณ์ "รองศาสตราจารย์สมชัย" เพื่อสอบถามถึงมุมมองและแนววิเคราะห์ในหลายประเด็นการเมืองที่หลายคนสนใจในช่วงปัจจุบัน โดยมีรายละเอียดบางส่วนดังนี้

เริ่มที่การให้วิเคราะห์ถึงท่าทีของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่า อาจจะตัดสินใจยุบสภาก่อนไทม์ไลน์เดิมคือ 31 มกราคม 2569 หากพรรคฝ่ายค้านยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่ง "รศ.สมชัย" มองเรื่องนี้ว่า เรื่องการยุบสภาต้องดูว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด ที่ก็มีการคาดการณ์ไว้หลายอย่าง เช่นนายกฯ จะรักษาการทำข้อตกลง MOA กับพรรคประชาชนไว้ คือยุบสภาไม่เกิน 31 มกราคม 2569 หรือจะเร็วกว่านั้น หรือจะช้ากว่านั้น ที่เป็นไปได้ทั้งสามทาง แต่หากถามผมก็คิดว่าอาจจะช้ากว่านั้น ซึ่งก็ยังคิดว่ายังมีโอกาส

..คือขณะนี้เสียงขู่ๆ กันที่บอกว่าจะยุบสภาก่อน 31 ม.ค.ปีหน้า หลังเพื่อไทยบอกว่าจะยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากจับมือกับพรรคประชาชน เพราะหากยื่นญัตติด้วยกันทั้งสองพรรคการเมือง รัฐบาลล้มแน่นอน ขณะเดียวกันนายกฯ บอกว่าหากจะล้ม ก็จะยุบสภาก่อน ที่ก็เป็นลักษณะ "ขู่มาก็ขู่กลับ" หลังฝ่ายค้านขู่ว่าหลังเปิดสมัยประชุมสภา 12 ธ.ค. 2568 ก็จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจทันที ทางพรรคประชาชนก็สำทับว่าหากไม่ทำอะไรต่างๆ ก็จะร่วมอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย เหมือนกับการขู่นายกฯ อนุทินว่าให้ตามใจเขา ที่ก็เอาจริงคือขู่มาก็ขู่กลับ

 ...ถามว่าหากนายกฯ อนุทินตัดสินใจยุบสภา ที่ก็เป็นอำนาจของนายกฯ และหากยุบสภาก่อนยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทางพรรคประชาชนจะไม่ได้อะไรเลย ที่ตั้งใจต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผมเชื่อว่าในการโหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 3 ของรัฐสภา อาจยังไม่ทันเดือนธันวาคมด้วยซ้ำ เพราะการจะโหวตให้จบวาระ 3 ด้วยการที่จะขอเปิดประชุมสมัยวิสามัญ ผมเชื่อว่าคงไม่ได้จบแบบง่ายๆ เพราะกระบวนการถกกันในเรื่องของที่มาของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญและกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ จะมีที่มาอย่างไร จะให้มีกี่คน เป็นเรื่องที่คนคิดไม่เหมือนกันน่าจะคุยกันลำบากพอสมควร ที่ก็ทำให้หากมีการไปขู่กันมาก แล้วยุบสภาเสียก่อน การโหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก็อาจไม่ทันตอนโหวตวาระ 3

...ผลก็คือจะทำให้การทำประชามติ อาจถามประชาชนได้แค่คำถามเดียวคือ เห็นด้วยหรือไม่กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ส่วนวิธีการและสาระสำคัญที่จะอยู่ในคำถามที่สองมันยังไม่เกิด ทำให้เวลาทำประชามติจะถามได้แค่คำถามเดียว ก็ไม่ค่อยคุ้ม โดยหากยังไม่มีอะไรตกผลึกก็ต้องรอสภาชุดใหม่เข้ามาหลังการเลือกตั้ง รอรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาที่ไม่ได้ทำ MOA กับพรรคประชาชนแล้ว คุณจะไปขู่อะไรเขา หากการแก้ไขรัฐธรรมนูญคุยกันไม่ตกผลึก หรือไม่สามารถทำได้ตามกำหนดการ มันก็ต้องยอมให้กระบวนการจัดทำมันยืดออกไป พอยืดออกไปทุกอย่างก็ต้องผลักออกไป

"สมชัย" วิเคราะห์ท่าทีของพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชน ต่อการยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ในส่วนของ "พรรคประชาชน" ณ วันนี้ผมใช้คำว่าต้องการสร้างภาพในแง่ของการที่ว่า ตัวเองเอาจริงเอาจังในการกำกับรัฐบาล และไม่อยากให้เกิดภาพของสีเทาๆ เกิดขึ้น ตอนนี้ก็ทำสโลแกนออกมา "มีเราไม่มีเทา" ที่เป็นการ remind เพื่อพยายามให้คนคิดถึงคำเก่าๆ ก่อนหน้านี้ "มีเราไม่มีลุง" พอตอนนี้ไม่มีลุงแล้ว ก็เลยต้องหาแพะตัวใหม่  เมื่อก่อนลุงเป็นแพะ มีเราไม่มีลุง ตอนนี้แพะตัวใหม่ก็ต้องเป็น "เทา" ซึ่งเทาเป็นใครไม่รู้ เพราะเขาต้องการได้ผลหลังการเลือกตั้งให้ได้เสียงมากที่สุด ที่จะทำให้ตัวเองเป็นต่อในการจัดตั้งรัฐบาล ขนาดถึงกับตั้งเป้าว่าต้องการให้ได้ถึง 250 เสียงจะได้ไม่ต้องพึ่งพาใคร

หากให้เดา ผมว่าพรรคประชาชนไม่ยื่นอภิปรายกับพรรคเพื่อไทย เพราะต้องการรักษาการให้ได้มาซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นธงหลัก ก็ขู่ไปเท่านั้น ต้องการสร้างกระแสเท่านั้นเอง หากให้ผมคาดเดาก็คงจะไม่ยื่นทั้งอภิปรายรายบุคคลและรัฐบาลทั้งคณะ ยกเว้นเขาอยากจะเล่นสีเทาอะไรสักอย่างทำนองนั้น

ส่วน "พรรคเพื่อไทย" ผมมองว่าเขาคงจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะพรรคเพื่อไทยตอนนี้วิธีการที่จะกอบกู้พรรคให้คืนมา มันต้องแสดงให้เห็นถึงการเอาจริงเอาจังในแง่การตรวจสอบรัฐบาล และทำให้คนรู้สึกว่าเพื่อไทยมีทิศทาง มีความหวัง มีบุคลากรที่มีคุณภาพ ซึ่งการอภิปรายไม่ไว้วางใจคือโอกาสที่จะทำให้ประชาชนเห็น เพื่อโชว์คนของตัวเอง

รูปแบบการยื่นญัตติ หากให้ผมคาดเดาเขาคงไม่ต้องการล็อกไว้แบบแคบๆ เพราะหากยื่นอภิปราย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกฯ และ รมว.เกษตรฯ คนเดียว  หากจะขอเวลาอภิปราย 3 วัน แล้วจะเอาอะไรมาอภิปราย แต่หากยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจทั้งคณะ ก็จะมีสโคปในการอภิปรายที่กว้างขวาง พูดได้ทุกเรื่องทุกมิติของการบริหารราชการแผ่นดิน และได้โชว์ศักยภาพ เพื่อไทยก็ต้องใช้โอกาสนี้เป็นโอกาสสุดท้ายเพื่อแสดงให้ประชาชนเห็น แต่เพื่อไทยก็ต้องระวังเพราะตัวเองก็มีแผลเยอะ เพราะเคยบริหารประเทศมาสองปี ก็อาจถูกย้อนกลับมาได้ว่าสมัยเป็นรัฐบาลทำไมไม่ทำ แต่หากยื่นอภิปราย ร.อ.ธรรมนัสเขาก็อาจมีข้อมูลเด็ดๆ อยู่หลายอย่าง หรือข้อมูลอินไซด์ของคนในพรรคเพื่อไทยที่เคยไปติดต่อกับเขา เช่นตอนแถลงนโยบายที่บอกว่า "มาอภิปรายว่าอะไรผม คุณยังเคยจะขอมาอยู่กับผมเลย" (ตอบโต้นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.พรรคเพื่อไทย)

การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจใช้เสียง สส.แค่หนึ่งในห้า ก็ประมาณร้อยคน ซึ่งเพื่อไทยพรรคเดียวเสียงพออยู่แล้ว  โดยหากเพื่อไทยยื่นแล้วพรรคประชาชนจะไม่ร่วมด้วย ผมมองว่าเขาก็คงมีเหตุผลไปอภิปรายของเขาได้ เพราะหากไปจับมือกันยื่นอภิปราย (กับพรรคเพื่อไทย) ก็จะเป็นอย่างที่นายกฯ บอก หากเห็นท่าไม่ดีก็จะยุบสภา แล้วคุณจะไม่ได้อะไรเลย หากพรรคประชาชนไม่ไปร่วมอภิปรายไม่ไว้วางใจกับเพื่อไทยด้วย ฝ่ายค้านก็ไม่สามารถไปล้มอนุทินได้จากสมการตัวเลขเสียง สส.ที่เป็นอยู่ 

"นายกฯ ไม่ต้องรีบยุบสภา เพราะยิ่งยืดเวลาออกไป คือให้ครบตามกรอบเวลา MOA คือ 31 มกราคม 2569 หรือหากจะบวกเวลาให้มากกว่านั้น บนเหตุผลที่พรรคประชาชนยอม เพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จเสร็จสิ้น  อาจจะหนึ่งเดือนซึ่งเต็มที่แล้ว รัฐบาลก็สามารถใช้เวลาในการสร้างผลงานให้กับคณะรัฐมนตรีและพรรคภูมิใจไทย ถ้ารีบยุบเร็วฯ ก็จะสร้างผลงานไม่ทัน

ขณะเดียวกันก็ขึ้นอยู่กับว่า ตอนนี้โพลใครนำมา ซึ่งตอนนี้พรรคประชาชนยังนำอยู่ เพราะฉะนั้นต้องรอจังหวะ ต้องอยู่ไปอีกสักระยะหนึ่ง สร้างผลงานให้มากขึ้น แล้วถึงตอนนั้น ฝ่ายตัวเองก็จะได้เปรียบ

ตอนนี้หากให้ผมประเมิน หากเลือกตั้งกันทันที พรรคประชาชนยังอยู่อันดับหนึ่ง แต่หากผมประเมินก็คิดว่าคงได้เสียง สส.น้อยลงกว่าเดิมจากที่เคยได้ตอนเลือกตั้งปี 2566 ก็คือประมาณสัก 130 เสียง ส่วนภูมิใจไทยตอนนี้คนก็ไหลเข้าพรรคเรื่อยๆ อาจจะอยู่อันดับ 2 ก็อาจจะสักประมาณ 110 เสียง โดยหากมีระยะเวลามากขึ้น พรรคประชาชนอาจเดินแล้วขัดขาตัวเอง หรือโดนจัดการอะไรบางอย่างเพิ่มขึ้น โดยภูมิใจไทยอาจมีไหลเพิ่มเข้ามาอีก ก็อาจแซงขึ้นมาได้ จากประชาชน 130 ภูมิใจไทย 110 มันก็อาจสวนกันก็ได้ หากออกมาแบบนี้ ภูมิใจไทยก็จะเป็นพรรคที่มีเสียง สส.มาเป็นอันดับ 1 ก็จะเป็นพรรคหลักที่มีความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาล"

"รศ.สมชัย" ย้ำว่า การเมืองหากใครได้เปรียบทุกคนจะไหลเข้า ตอนนี้ภูมิใจไทยอยู่เฉยๆ ก็มีแต่คนเข้ามาหา  ส่วน "เพื่อไทย" ผมเชื่อว่าคงมาอันดับ 3 ส่วนพรรคอันดับ 4 ก็คงเป็นพรรคกล้าธรรม ที่แม้จะมีคนไหลเข้าพรรคแต่ก็ยังไม่ได้แกร่ง ไม่ได้มากเพียงพอที่จะแซง 3 พรรคแรกได้  ก็คงอาจเป็น "พรรคตัวแปร" หากได้ สส.สัก 50-60 เสียง ณ วันนี้แม้จะมีกระแสในการโจมตีรัฐบาลภูมิใจไทย แต่ผมก็ยังมองว่ายังไม่ถึงจุดที่ทำให้เขาเพลี่ยงพล้ำ การตอบโต้หรือการหาทางในการจัดการ มันมีมาตรการที่ทยอยออกมาตลอดเวลา เช่นการตั้งคณะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาและมีกระบวนการในการหาคำตอบต่างๆ เพียงแต่ว่าการสื่อสารกับประชาชน ทางโฆษกรัฐบาลเขายังเงีบบไปหน่อย ยังชี้แจงน้อยไป

ประชามติยกเลิก MOU อาจไม่เกิดขึ้น

"รศ.สมชัย อดีต กกต." ยังกล่าวถึงการทำประชามติในวันเดียวกับการเลือกตั้ง สส.ด้วยว่า กกต.ยังไงก็ต้องทำ  แต่ต้องมาดูว่าจะเขี่ยเรื่องบางเรื่องออกไปก่อนหรือไม่ จะอยู่ในการทำประชามติด้วยหรือไม่

เรื่องแรกคือ "การยกเลิก MOU 43 - MOU 44" ที่ถึงตอนนี้ยังไม่รู้ว่าถึงวันเลือกตั้ง เรื่องนี้จะยังคงอยู่หรือไม่ เพราะหลายคนก็มองว่า ครม.สามารถมีมติในการยกเลิกได้  หรือจะไม่ยกเลิกแต่จะให้มีการปรับปรุงแก้ไขก็ได้ เพราะเรื่องนี้ทางเข้าคือมติ ครม. แล้วเรื่องอะไรที่ทางออกจะต้องไปหาประชาชน และการหาประชาชนดังกล่าว โอกาสที่จะทำให้ประชาชนเกิดความรู้ความเข้าใจเพียงพอก่อนตัดสินใจยากมาก

เพราะถึงวันนี้คนยังไม่รู้เลยคืออะไร คือจะทำเรื่องนี้โดยเหตุเพียงอย่างเดียว คือเป็นเรื่องการเมืองเพื่อให้มาซึ่งคะแนนเสียงของพรรคการเมืองบางพรรค และทำลายคะแนนเสียงของพรรคการเมืองบางพรรค แค่นั้นเอง  เพราะหากไม่ทำประชามติคนก็ไม่ได้ว่าอะไร คนจะดีใจด้วยซ้ำ กกต.ก็ดีใจด้วยซ้ำ ก็เป็นเรื่องจังหวะเวลาที่คุณอนุทินต้องไตร่ตรองว่าจะเอาอย่างไร เขาเลยบอกว่าจะรอผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการที่สภาตั้งขึ้นมาศึกษาเรื่องนี้ ที่ความจริงก็พอเดาออกว่าจะเป็นอย่างไร

เรื่องนี้ก็อาจเป็นเรื่องหนึ่งที่อาจเขี่ยออกไปได้ก่อน ที่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่อาจจะไม่ได้ทำประชามติเรื่อง MOU 43 - MOU 44 ก็จะเหลือแค่ประชามติรัฐธรรมนูญ ที่ก็อาจเขี่ยไปได้อีก คือจากที่จะถามสองคำถาม ก็อาจเหลือคำถามเดียว ก็ทำให้ตอนเลือกตั้งบัตรที่จะให้ประชาชน ก็จะมีสามใบคือ บัตรเลือก สส.เขต บัตรเลือก สส.บัญชีรายชื่อ  และบัตรประชามติเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่หากให้ผมเดาหรือทาย ณ เวลานี้ก็อาจมีแค่คำถามเดียว คำถามที่สองอาจไม่ทัน ไม่มี

...วันก่อนวุฒิสภามีการจัดอภิปรายกันที่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ผมก็ไปร่วมเป็นวิทยากร ผมก็กล่าวบนเวทีว่า การทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจจะมีแค่คำถามเดียว คำถามที่สองอาจไม่ได้ ทางคุณนิกร จำนง (พรรคชาติไทยพัฒนา) ที่เคยเป็นตัวหลักในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่นั่งอยู่ข้างล่างเวที เขาก็ทำหน้าเห็นด้วย คืออาจประชามติแค่คำถามเดียว

จุดเสี่ยงพรรคประชาชน คดีแก้ 112 เกิดผลช่วงเลือกตั้ง หลังปิดรับสมัคร

เมื่อถามว่า คงไม่มีเหตุการณ์ทางการเมืองอื่นๆ เข้ามาแทรกซ้อนอีกแล้ว "รศ.สมชัย" ให้มุมมองว่า ก็มีประเด็นที่ทางพรรคส้มอาจต้องระมัดระวัง คือเรื่องของผลการพิจารณาไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่เคยให้ข่าวก่อนหน้านี้ว่า จะมีผลสรุปคดีคำร้องเรื่องอดีต สส.ก้าวไกลร่วมกันลงชื่อเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

ผมมองว่าเรื่องจังหวะเวลาที่จะออกมาในเรื่องนี้ยิ่งช้ายิ่งเป็นผลเสีย เพราะหากออกมาก่อน เขา (พรรคประชาชน) จะได้ตั้งตัวทันว่าจะเอาอย่างไรต่อไป ผิดก็ผิด จะตัดสิทธิ์ใครก็ว่ากันไป เพราะหากเสร็จจาก ป.ป.ช.(ถ้ามีการชี้มูล) ก็จะต้องส่งไปยังศาลฎีกาฯ จากนั้นศาลฎีกาฯ จะต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนถึงหนึ่งเดือนครึ่งไม่เกินสองเดือน เพื่อคอนเฟิร์มสิ่งที่ ป.ป.ช.ส่งมาว่าเป็นไปตามมติดังกล่าวหรือไม่ โดยหากสมมุติว่าศาลฎีกาฯ เกิดชี้ว่าผิด แล้วเป็นจังหวะที่ว่าการเลือกตั้งเกิดขึ้นแล้ว มีการรับสมัครเสร็จ  มีการให้เบอร์กับผู้สมัครรับเลือกตั้ง สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ  บุคคลที่เป็นผู้สมัครเหล่านั้นก็จะมีปัญหาเรื่องไม่มีคุณสมบัติของการเป็นผู้สมัคร สส.

...ตรงนี้พรรคประชาชนก็รู้อยู่ว่ามีทางออก ทางแก้ไข เช่นหากลงสมัครระบบเขต เบอร์ก็จะกลายเป็นเบอร์เสียไป  หากตอนเลือกตั้งมีคนไปกาเบอร์ดังกล่าวก็จะกลายเป็นบัตรเสีย แต่หากเอาคนที่มีชื่อถูกยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ไต่สวน ที่มี สส.พรรคประชาชนรวม 25 คนไปลงสมัครระบบบัญชีรายชื่อ หากทั้งหมดมีปัญหา รายชื่อผู้สมัครคนอื่นๆ ที่อยู่ลำดับถัดๆ ไปถือว่ายังดีอยู่ นี้คือสิ่งที่ต้องระมัดระวังในจังหวะเวลาที่อาจเกิดขึ้นที่เรียกว่า "จังหวะนรก" เพราะจังหวะอื่นยังไม่นรก

เช่นหากเกิดขึ้นช่วงก่อนรับสมัครรับเลือกตั้ง ก็ยังไม่ใช่จังหวะนรก หรือประกาศเร็วๆ มาเลยตอนนี้ก็ยังไม่นรก แต่หากว่าเกิดช่วงเลือกตั้ง มีการไปสมัครแล้วปิดรับสมัครเรียบร้อย ได้เบอร์เรียบร้อย หากเป็นแบบนี้คือจังหวะนรกจริงๆ ก็เป็นเรื่องที่พรรคประชาชนเองก็ต้องประเมินสถานการณ์ในทางที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อน เพื่อที่จะเตรียมตัวกับการรับสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งผมก็เคยพูดให้คนของพรรคประชาชนฟังหลายรอบแล้ว

-ในฐานะที่เคยเป็น กกต. มองดูความพร้อมของกกต.ยุคนี้ต่อการจัดเลือกตั้งที่จะมีขึ้นอย่างไร?

ก็ถือว่าอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน เพราะอยู่ในช่วงที่จะมีกกต.บางคนหมดวาระการทำหน้าที่ เริ่มมีการเลือกคนที่จะเข้าไปเป็น กกต.ใหม่เข้าไปทำหน้าที่ ในจังหวะเปลี่ยนผ่าน ต้องยอมรับว่า คนใหม่ที่จะเข้ามาก็เรียนรู้งานไม่ทัน ต้องอาศัยสำนักงานและเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน กกต.เป็นหลักในการชงเรื่องต่างๆ เข้ามา

อย่างผมเองก่อนหน้าเข้าไปเป็น กกต.ก็เคยทำงานกับมูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย หรือ P-NET ผมรู้กลไกต่างๆ มากมาย ผมเข้าไป กกต.ผมต้องใช้เวลาสองปีกว่าจะเรียนรู้งานได้ทุกเรื่อง ตอนแรกเข้าไปเขาพูดเรื่องการสอบสวน การจัดการเลือกตั้ง ผมก็ยังงงๆ เพราะว่ามีกฎหมายที่เกี่ยวข้องมากมาย ว่าอะไรทำได้ ทำไม่ได้ มีทั้งรัฐธรรมนูญ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้อง ระเบียบต่างๆ ของ กกต. ข้อบังคับ กกต. คำสั่ง กกต. แล้วใครจะไปรู้ได้ทุกเรื่อง แล้วแต่ละเรื่องเคยมีแนวคำวินิจฉัยอย่างไร ก็ต้องถามเจ้าหน้าที่หมด ผมพูดตามตรงๆ ผมใช้เวลาสองปี ขนาดผมคล่องๆ ปีที่สามถึงเริ่มคล่อง

-สิ่งที่หลายคนติดใจก็คือ กกต.ไม่เคยเอาผิดใครที่โกงการเลือกตั้งมาให้ดูกันเห็นๆ ปล่อยให้รอดกันไปได้?

เป็นปัญหาระบบภายในจริงๆ เดิมเขาเคยกำหนดระยะเวลา 30 วันหลังเลือกตั้งให้ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ที่ก็มีการบอกว่าเวลา 30 วันไม่เพียงพอ จะให้ใบเหลืองใบแดงไม่ได้ สำนวนทำไม่ทัน ก็มีการไปคุยกับกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (ปี 2560) เพื่อขอขยายเวลาออกไปเป็น 60 วัน พอประกาศผลช้าคนก็ด่า ใช้เวลา 60 วัน โดยความคาดหวังก็คือ เมื่อมีเวลามากขึ้นก็จะได้ให้ใบเหลืองใบแดง ก่อนประกาศรับรองผลเลือกตั้งที่ยังอยู่ในเขตอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพราะหากให้ใบเหลืองใบแดงไปแล้วไม่จบ ต้องไปศาลอีกทีหนึ่ง แต่ก็กลายเป็นว่าแม้ขยายเวลาออกมาเป็น 60 วัน แต่ยังไม่ได้อะไรสักอย่างหนึ่ง เคยได้ครั้งเดียวคือตอนให้ใบส้มการเลือกตั้งเขต 6 จังหวัดเชียงใหม่ (เลือกตั้งปี 2562) จนต่อมาโดนผู้สมัครฟ้องกลับ กกต. ก็มีการให้ชดใช้ 70 ล้านบาท (ศาลได้มีคำตัดสินให้คณะกรรมการการเลือกตั้งชดใช้ค่าเสียหายแก่นายสุรพล เกียรติไชยากร อดีต สส.เชียงใหม่ เป็นจำนวนเงิน 70 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย) ซึ่งเข้าใจว่าตอนนี้เรื่องอยู่ที่ศาลฎีกา หลัง กกต.แพ้ทั้งที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ หากศาลฎีกาชี้เสร็จออกมา ก็ต้องมาหาผู้กระทำผิดทางละเมิด หากผิดขึ้นมาก็ต้องไปหาร (เพื่อร่วมกันชดใช้เงิน) กันต่อไป

ในส่วนของ กกต.เองต้องพยายามให้เขาทำงานอย่างเต็มที่ และอาจจะต้องให้กำลังใจเขา และสังคมต้องคาดหวังว่า กกต.จะจัดการอย่างเต็มที่กับเรื่องทุจริต เพราะตอนนี้กลายเป็นว่าทุกคนยึดคติอย่างเดียว โกงไว้ก่อน หากจับไม่ได้ก็แล้วไป ที่ส่วนใหญ่จับไม่ได้ คือผมก็เชื่อว่า จะมีการใช้เงิน แต่ผมก็ยังไม่เชื่อว่าคนที่ใช้เงินจะชนะ เพราะบทเรียนการเลือกตั้งหลายครั้งที่ผ่านมา การใช้เงินก็ไม่ได้เป็นปัจจัยของชัยชนะ บางทีพรรคการเมืองพรรคนั้นก็ให้ พรรคการเมืองนี้ก็ให้เงิน แล้วท้ายที่สุดประชาชนอาจไม่ได้ตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองที่ให้เงินก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตเมืองที่ประชาชนจะได้ข้อมูลข่าวสารมาก ก็จะตัดสินใจบนพื้นฐานข่าวสารข้อมูล ประเมินวิเคราะห์ทั้งในส่วนของนโยบาย และตัวผู้สมัครรายบุคคลแต่ละพรรคการเมือง

-เลือกตั้งที่จะมีขึ้นคิดว่ากระแสกับกระสุน อะไรจะชนะ?

กระแสยังชนะ เพราะว่ากระแสสามารถทำได้ทั้งในส่วนของบัญชีรายชื่อ ที่จะได้มาเป็นกอบเป็นกำ และในแง่ของ สส. ที่อยู่ในเขตเมือง ส่วนในพื้นที่ชนบทคิดว่าอิทธิพลอะไรต่างๆ จะเริ่มน้อยลง มันเป็นเรื่องของพัฒนาการ ผ่านการทำพรรคการเมืองให้มีคุณภาพ และผ่านการคัดหาตัวผู้สมัคร สส.ที่มีคุณภาพ แล้วไปเสนอต่อประชาชน เป็นสิ่งที่พรรคการเมืองต้องทำ อย่าคิดเพียงแค่เรื่องบ้านใหญ่หรือไปหาคนที่มีอิทธิพลในท้องถิ่นต่างๆ มาเข้าพรรคเพียงอย่างเดียว อยากให้พรรคการเมืองทุกพรรคคิดใหม่ ในการนำคนที่มีคุณภาพแล้วมาเร่งพัฒนาในเชิงนโยบาย แข่งขันกันในเชิงนโยบาย การเมืองไทยก็จะดีขึ้น

ผลเลือกตั้ง 2569-พรรคภูมิใจไทย  ชนะพรรคประชาชน ได้ สส.มาอันดับหนึ่ง

-หากสุดท้าย ไทม์ไลน์การเลือกตั้งยังเหมือนเดิม คือเลือกตั้ง 29 มีนาคม 2569 ประเมินตัวเลขที่พรรคการเมืองแต่ละพรรคจะได้ สส.หลังเลือกตั้งเป็นอย่างไร?

ถูกผิดไม่รู้นะครับ ผมประเมินว่าพรรคภูมิใจไทยจะได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และจะแซงพรรคประชาชน ภูมิใจไทยอาจจะไปที่ 140-150 เสียง ส่วนพรรคประชาชนอาจจะเหลือสักประมาณ 120 ที่นั่ง ส่วนพรรคเพื่อไทยก็จะเป็นพรรคอันดับ 3 ที่อาจจะได้ สส.ต่ำกว่า 100 ที่นั่ง คือประมาณ 80-90 เสียง ส่วนพรรคกล้าธรรมคาดว่าจะได้ประมาณสัก 50-60 ที่นั่ง

ส่วนอันดับ 5 ก็ต้องดูว่าจะเหลือเป็นพรรคการเมืองใด  ก็อาจเป็นพรรคประชาธิปัตย์ ที่ผมว่าน่าจะประมาณ 20 เสียง แม้จะมีหัวหน้าพรรคเป็นนายอภิสิทธิ์ก็ตาม แต่ผมคิดว่าจะได้ไม่เยอะ แม้นายอภิสิทธิ์จะเข้ามาก็ตาม แต่ผมว่ายังไม่สามารถฟื้นได้ทันทีเพราะ สส.เขตหายไปเยอะ ส่วนคะแนนปาร์ตี้่ลิสต์อาจจะเพิ่ม แต่ก็ไม่ได้เพิ่มเยอะ แต่ก็ขึ้นอยู่กับคู่แข่งด้วยว่าแต่ละฝ่ายจะเสนออะไรออกมา แล้วประชาธิปัตย์จะเสนออะไร แต่ว่าในเวทีดีเบตนายอภิสิทธิ์ชนะแน่นอน เพราะในความเป็นอดีตนายกฯ ก็รู้เรื่องราวต่างๆ มากกว่าคนอื่น และสามารถคุมสถานการณ์การพูดได้ดีกว่า แต่ดีเบตก็คือดีเบต คงไม่ถึงกับทำให้คะแนนเสียงกลับมามากมาย ส่วนพรรคการเมืองอื่นๆ ก็คงเป็นพรรคระดับต่ำสิบหรือไม่เกินยี่สิบเสียง ไม่เกินไปกว่านั้น

"หลังเลือกตั้งหากพรรคภูมิใจไทยได้ สส.มาเป็นอันดับหนึ่ง ภูมิใจไทยก็จะเลือกในการจับมือกับพรรคการเมืองอื่นๆ คำถามคือจะจับมือกับพรรคประชาชนหรือไม่ ซึ่งผมคิดว่าชอยซ์ในการตัดสินใจที่จะเลือกพรรคประชาชน จะเป็นชอยซ์สุดท้ายที่จำเป็นจริงๆ เพราะพรรคประชาชนค่อนข้างตั้งเงื่อนไขเยอะพอสมควร เพราะเขาอาจมีมาตรฐานในการทำงานสูง ก็อาจไม่ต้องการทำงานกับพรรคแนวแบบนี้ พรรคประชาชนก็อาจกลายเป็นพรรคฝ่ายค้าน"

ผมยังคิดว่านายอนุทินยังเป็นต่ออยู่ เพราะหากไม่เป็นต่อ การไหลเข้า (พรรคภูมิใจไทย) คงไม่เกิดขึ้นมากมายขนาดนี้ ซึ่งตอนนี้นายกฯ ถือว่ายังไม่เสียหายมาก แต่ก็อย่าประมาท

-หากเป็นไปตามสูตรนี้ คณิตศาสตร์การเมืองที่บอกมาก็อาจเป็น พรรคภูมิใจไทยบวกกับเพื่อไทย  กล้าธรรม ประชาธิปัตย์ คิดว่าประชาธิปัตย์เอาไหม?

คิดว่าเอา เพราะว่าการเป็นรัฐบาลย่อมสร้างผลงานได้กว่าการเป็นพรรคฝ่ายค้าน

-สุดท้ายภูมิใจไทยอาจจูบปากกับเพื่อไทย?

ก็อาจคุยกันได้ง่ายกว่าการที่ไปจับมือกับพรรคประชาชน ก็เป็นเรื่องท่าทีของพรรคประชาชนว่าจะทำการเมืองโดยที่มีมิตร มีคนที่สามารถจับมือด้วยกันได้หรือไม่ แต่โดยท่าทีการทำการเมืองแบบนี้ ก็ทำให้หลายคนไม่อยากจับมือด้วย และอาจทำให้กลายเป็นพรรคฝ่ายค้านอีกหนึ่งสมัย และถึงแม้ว่าหากทางพรรคประชาชนได้ สส.มาเป็นอันดับ 1 ผมก็ยังเชื่อว่าอาจจะเป็นฝ่ายค้าน คือเป็นที่หนึ่งโดยไม่เกิน 200 ที่นั่ง หรือผมให้ไม่เกินหนึ่ง 180 ที่นั่ง ก็ยังเป็นฝ่ายค้าน แต่ถ้าถึง 200 ที่นั่งก็มีโอกาสเป็นรัฐบาล เพราะมีโอกาสที่ยื่นมือไปแล้วจะมีคนมาร่วมจับมือมากขึ้น  ตัวเลขที่พรรคประชาชนจะเป็นรัฐบาลได้คือ ต้องได้ สส.ประมาณ 180 ที่นั่งขึ้นไป แต่ 180 ก็อาจจะยังไม่มีคนอยากจับมือด้วย แต่ถ้าได้ 200 ที่นั่ง จะมีคนอยากจับมือด้วย

สำหรับ "พรรคเพื่อไทย" ที่บอกว่าจะได้ต่ำกว่า 100 ที่นั่ง เพราะหากสังเกตจากที่ไหลออกจากพรรคไปในตอนนี้ ก็จะทำให้อยู่ประมาณนั้น และจะมีไหลออกจากพรรคเพื่อไทยไปอีก ยังมีอีก เพราะโดยธรรมชาติของการเมือง อย่างสุทิน คลังแสง ก็บอกตลอดว่าไม่ออกๆ แต่ข่าวก็บอกว่าอาจจะไปตั้งพรรคการเมือง เห็นไปตีกอล์ฟกับนายจาตุรนต์ ฉายแสง จะมีนัยอะไรหรือไม่ จะมีการไหลออกอีกหรือไม่ก็ต้องรอดู

แต่ว่าขณะนี้เพื่อไทยก็พยายามฟื้นฟู พยายามสร้างกำลังใจ ทำคำขวัญออกมาต่างๆ ซึ่งหากมีการทำซ้ำบ่อยๆ โดยที่ฝ่ายชินวัตรไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง ก็อาจสร้างภาพได้ว่าไม่เข้ามาเกี่ยวข้องจริงๆ แต่ว่าในแง่ประชาชนเองจะเชื่อถือหรือไม่ก็ต้องดูพฤติกรรมต่างๆ เช่น หาก น.ส.แพทองธาร  ชินวัตร ยังเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย แล้วขึ้นเวที ก็ยังเป็นตัวหลักในการปราศรัย โดยนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคก็ต้องนอบน้อม ก็จบ ก็เหมือนกับตอน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่เวลาขึ้นเวที ก็ต้องน้อมแล้วน้อมอีก ซึ่ง น.ส.แพทองธารต้องแสดงให้เห็นว่าไม่ได้เป็นตัวหลักแล้ว แล้วให้ทางพรรคชูนโยบายและผลักดันคนของพรรคเพื่อไทยออกมาพูดต่อสาธารณะมากขึ้น เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะเอาตัวเองมาช่วยหาเสียงให้ มีแต่จุดอ่อนที่ทำให้คนโจมตี และทำให้คนระแวงสงสัยว่าพรรคก็ยังไม่หลุดจากตระกูลชินวัตร จะมีแต่ผลเสีย ต้องทำให้คนลืมไปให้ได้ วิธีทำให้คนลืมก็คือ ต้องไม่แสดงตัว  เพราะถ้าแสดงตัวคนก็จะบอกว่ายังอยู่ ยังเป็นตัวหลักอยู่  แม้จะบอกว่าการอยู่ทำให้คนในพรรคมีขวัญกำลังใจ แต่การที่คนในพรรคมีขวัญกำลังใจ แต่พรรคไม่ได้คะแนน แล้วพรรคจะเอาอะไร.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

รัฐบาลยกเว้น 'ค่าไฟ' พ.ย. 420 ล้าน เยียวยาน้ำท่วมสงขลา

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การเยียวยาและฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะในจังหวัดสงขลา เดินหน้าไปอย่างมาก โดยปัจจุบันสามารถนำประชาชนกลับบ้านไปได้กว่า 90%

'อนุทิน' สวน พท. ใครทำงานห่วย ยุครัฐบาลนิด-อิ๊งค์ ติดโพลอันดับ 2

'อนุทิน' สวนเพื่อไทย ถ้าทำงานห่วย คนตั้งก็แย่สิ ยุครัฐบาล 'อิ๊งค์ - เศรษฐา' ผลโพลชี้ชัดนั่งแท่นอันดับ 2 ทิ้งห่าง พท. หัวเราะให้คะแนนตัวเอง 'เดี๋ยวจะหาว่าคุย'

นายกฯ ประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ทำบุญตักบาตร ถวายพระราชกุศล 'ร.9'

นายกฯ เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ 'ในหลวง ร.9' วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธ.ค. 2568

รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ