
ในช่วงวันที่ 10-11 ธันวาคม จะมีการประชุมร่วมกันระหว่างสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา อันเป็นการประชุมรัฐสภาในช่วงการเปิดประชุมสมัยวิสามัญ ที่จะมีการพิจารณาเรื่องสำคัญคือ การพิจารณารายงานของ คณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พุทธศักราช ....ของรัฐสภา ที่ได้พิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย ที่ผ่านความเห็นชอบวาระแรกขั้นรับหลักการจากที่ประชุมรัฐสภา จนกลายเป็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับของคณะกรรมาธิการฯ ซึ่งเป็นการพิจารณาในวาระสอง และหากผ่านวาระสองแล้วจะต้องพักการพิจารณาไว้ 15 วัน เพื่อมานัดประชุมโหวตวาระสามต่อไป โดยในวาระสามนั้น การโหวตเพื่อให้ผ่านรัฐสภาจะต้องได้เสียงเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกรัฐสภาที่ปฏิบัติหน้าที่ และต้องมีเสียงโหวตเห็นชอบจากสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ด้วยไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 หรือ 67 เสียง ร่างแก้ไข รธน.ถึงจะผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาเพื่อนำไปสู่การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
"นางสาวพนิดา มงคลสวัสดิ์ สส.สมุทรปราการ พรรคประชาชน ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พุทธศักราช ....ของรัฐสภา" กล่าวสรุปเนื้อหาของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงได้ตอบคำถามถึงความมั่นใจว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะผ่านรัฐสภาวาระสามหรือไม่ ว่าการแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว ประเด็นหลักคือการเพิ่มหมวดการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งหากเท้าความย้อนไป รัฐธรรมนูญจะไม่มีการบัญญัติวิธีการเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะว่าจำเป็นจะต้องเป็นรัฐธรรมนูญฉบับถาวร แล้วก็จะบอกว่ารัฐธรรมนูญคือบ่อเกิดหลักของอำนาจทุกอำนาจในทุกกฎหมายในประเทศ แต่ถ้าเมื่อมีเจตจำนงร่วมกันของประชาชนและของสมาชิกรัฐสภา ว่าเราอยากจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จึงต้องทำการแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มหมวดในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เข้าไป
ซึ่งสาระสำคัญของการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มันคือการที่จะต้องมากำหนดว่าถ้าจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ใครจะเป็นคนเขียนรัฐธรรมนูญ ที่ก็คือผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ที่เป็นประเด็นแรก ประเด็นที่ 2 กลไกการร่างรัฐธรรมนูญจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ละขั้นตอนใช้ระยะเวลาเท่าใด ใช้เงื่อนไขให้ใครเป็นผู้อนุมัติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่บ้าง และใช้กลไกใดบ้าง ประเด็นที่ 3 ก็คือกรอบเนื้อหา เนื่องจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญมีการบอกว่าต้องให้มีการจัดทำประชามติ แล้วมีในส่วนของกรอบเนื้อหาด้วย มันเลยจะต้องมีกรอบนี้บัญญัติไว้ในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และสุดท้ายก็คือแก้ไขกฎหมายเพิ่มเติม ในส่วนของกฎหมายที่มีความเกี่ยวข้องกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ)
..ทั้งหมดคือกรอบหลักใหญ่ๆ ที่คณะกรรมาธิการฯ ได้ร่วมกันนั่งพิจารณากันในการประชุมของคณะกรรมาธิการรวมทั้งสิ้น 15 ครั้ง ซึ่งจุดสำคัญที่สุดคือใครคือคนเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
...สำหรับร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาวาระแรก มีด้วยกันสองร่างคือ ร่างของพรรคประชาชนกับร่างของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งก็น่าเสียดายที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทยไม่ผ่านความเห็นชอบของสมาชิกวุฒิสภาเข้ามาด้วย โดยในส่วนของร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชน เรากำหนดให้ใช้วิธีการเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญทางอ้อม เนื่องจากข้อจำกัดสำคัญที่สุดเลยคือคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เขียนบัญญัติไว้ตอนที่รัฐสภามีการส่งประเด็นคำถามไปยังศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 10 กันยายน และได้มีการส่งคำวินิจฉัยกลับมาที่รัฐสภา โดยตอนที่มีการถามไปเป็นการถามในเรื่องการทำประชามติ แต่ศาลได้มีการแถมเข้ามาในคำวินิจฉัย ก็คือไม่สามารถให้ประชาชนเป็นผู้เลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง ซึ่งหลังจากที่มีการออกคำวินิจฉัยนี้ออกมา ทำให้ทุกพรรคการเมืองที่เคยมีร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเสนอเข้าไปที่รัฐสภาก่อนหน้านั้น ก็ต้องเอาร่างของตัวเองกลับมาแก้ทั้งหมด และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครยื่นข้อเสนอเข้ารัฐสภา ให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญมาจากการเลือกตั้งทางตรงจากประชาชนอีกเลย ซึ่งร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนที่ผ่านรัฐสภาวาระแรก ก็ให้มาจากการเลือกทางอ้อม คือให้ประชาชนเป็นผู้เลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญข้างต้นเข้ามาใส่ในบัญชีปาร์ตี้ลิสต์ แล้วให้สมาชิกรัฐสภาซึ่งก็คือทั้ง สส.และ สว. รวมตัวกัน 20 คนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญจากบัญชีรายชื่อได้ 1 คน ที่เราเรียกกันว่าสูตร 20 หยิบ 1
และเมื่อผู้ร่างรัฐธรรมนูญไม่สามารถเลือกจากประชาชนโดยตรง โดยพรรคประชาชนก็เสนอให้ใช้วิธีการเลือกทางอ้อมแล้ว เราก็อยากให้มีคนที่ทำหน้าที่ทำงานคู่ขนานไปกับผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ที่มาจากการเลือกของประชาชนโดยตรง เราก็เลยเขียนให้มีสภาที่ปรึกษาที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง แบบแบ่งเขตเลือกตั้งเหมือน สส.เขต ให้มีจำนวน 100 คนทำงานคู่ขนานกันกับผู้ร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อทำหน้าที่เป็นคนกลางในการรับฟังความเห็นของประชาชนในการร่างรัฐธรรมนูญในวาระต่างๆ เช่นไปจัดเวทีเสวนาไปพูดคุยกับประชาชน แล้วนำเอาข้อมูลจากการคุยกับประชาชนมาคุยกับผู้ร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการไปพิจารณากันในห้องประชุมคณะกรรมาธิการฯ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เสร็จสมบูรณ์ออกมา มีการตัดคูหาเลือกตั้งออกทั้งหมด ทั้งคณะกรรมาธิการฯ ที่เป็นผู้เขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ตอนแรกต้องมาจากการเลือกของประชาชนก่อน แล้วค่อยไปผ่านการเลือกของ สส.และ สว.ก็มีการตัดการเลือกของประชาชนออก เพราะมีความกังวลว่าอาจจะไปขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ หากเรามีคูหาให้ประชาชนได้เลือก กรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่เลยโหวตไม่เห็นชอบ ซึ่งกรรมาธิการของพรรคประชาชนแม้จะยืนยันว่ามันไม่ได้เป็นทางตรง แต่มันเป็นทางอ้อม มันสามารถไปได้ แต่สุดท้ายก็แพ้ไปในประเด็นนี้ กลายเป็นว่าร่างหลักที่จะเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ที่มาของผู้ร่างรัฐธรรมนูญ จะเปิดให้มีการรับสมัครตามคุณสมบัติที่มีการกำหนดในรัฐธรรมนูญ แล้วคัดกรองมาให้ สส.และ สว. รวมกลุ่มกัน 20 คนเลือก 1 คน

ส่วนสภาที่ปรึกษาฯ ที่ตามร่างของพรรคประชาชน ให้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน กรรมาธิการจากพรรคประชาชนก็ยืนข้อเสนอเดิม แต่แพ้เสียงข้างมากในที่ประชุม และมีการปรับรูปแบบออกมาเป็นกรรมาธิการรับฟังความคิดเห็น 35 คน ที่มาจากการเลือกแบบ 20 หยิบ 1 เหมือนกัน โดยมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันกับผู้ร่างรัฐธรรมนูญ แต่ก็ให้สมาชิกรัฐสภาทั้ง สส.และ สว.รวมกลุ่มกัน 20 คน เพื่อเลือก 20 หยิบ 1 เหมือนกันกับคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ โดยสองคณะนี้จะทำงานคู่ขนานกันไป ต่างคนต่างทำหน้าที่ตามบทบาทของตัวเองตามกรอบระยะเวลาที่ระบุไว้ประมาณ ส่วนที่หลายคนถามกันว่าแล้วสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ส.ส.ร.หายไปไหน ทำไมไม่มี ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่เรายืนยันกันมาตลอด เหตุก็เนื่องจากมันขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เพราะสสร.มาจากสภาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งรูปแบบการร่างรัฐธรรมนูญตั้งแต่อดีต ตั้งแต่ยุคการร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 เรามี ส.ส.ร. มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ ที่เป็นเอกเทศ แยกออกจากรัฐสภา แต่พอมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญวันที่ 10 กันยายน 2568 ออกมาว่าประชาชนไม่สามารถเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง เราก็พยายามหาทางที่จะสร้างความยึดโยงกับประชาชนให้ได้มากที่สุด สร้างความยึดโยงความใกล้ชิดที่คนเขียนรัฐธรรมนูญจะต้องแคร์ต่อประชาชน รับฟังความเห็นและเสียงสะท้อนจากประชาชน มีส่วนร่วมกับประชาชน เราเลยใช้กลไกของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาในการเลือก เพราะอย่างน้อยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ผ่าน การเลือกจากประชาชนมาข้างต้น ก็ใช้หลักการเดียวกันกับคุณอยากได้นายกฯ เป็นใคร คุณก็เลือกผู้สมัคร สส.พรรคนั้นเยอะๆ คุณอยากได้คนเขียนรัฐธรรมนูญเป็นใคร มีความคิดความอ่านแบบไหน มีอุดมการณ์แบบไหน คุณก็เลือก สส.พรรคนั้นเข้าไปเยอะๆ ประมาณนี้เช่นเดียวกัน ส่วนการที่ไม่ได้ใช้รูปแบบของสภา (สภาร่างรัฐธรรมนูญ) ก็เพราะในเมื่อคนที่จะมานั่งเป็นสภา ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง ไม่มีข้อเสนอของพรรคการเมืองใดให้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ในเมื่อมันไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนแล้ว การจะมีสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อเป็นไข่ดาวก้อนใหญ่ แล้วค่อยให้สภาร่างฯ ไปเลือกไข่แดงที่เป็นคณะกรรมการผู้เขียนรัฐธรรมนูญอีกที มันไปเพิ่มความห่างชั้นออกจากประชาชนไปอีกระดับหนึ่ง เสียงส่วนใหญ่ในกรรมาธิการเลยไม่ได้เลือกวิธีนั้น
ส่วนหากถามว่า ร่างแก้ไข รธน.ฉบับนี้ตอบโจทย์ของพรรคประชาชนทั้งหมดหรือไม่ “พนิดา กมธ.ฯ จากพรรคประชาชน" ยอมรับว่า เราเองก็ได้บางอย่าง แล้วก็เสียบางอย่างไปหลายข้อ อย่างเช่นเรายืนยันว่าเราอยากให้มีการเปิดคูหา ให้ประชาชนได้มีสิทธิ์เลือกข้างต้น เพราะอย่างน้อยที่สุดประชาชนควรจะรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ ได้มีสิทธิ์เลือกตัวแทนบางส่วนเข้าไป ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นคนเลือกเองทั้งหมดก็ตาม อย่างผู้ร่างรัฐธรรมนูญอย่างน้อยที่สุด ประชาชนน่าจะมีส่วนในการเลือกเบื้องต้น แล้วค่อยให้สมาชิกรัฐสภาไปเลือกขั้นสุดท้าย จุดนี้เรายืนยัน ซึ่งอันเนี้ยเราเสียไป ไม่ได้ตรงตามเจตนารมณ์แรกของเรา แต่เราก็ยังยืนในหลักการที่ว่า 20 หยิบ 1 ซึ่งผ่านความเห็นชอบของเสียงส่วนใหญ่ในกรรมาธิการฯ เรื่องนี้เรายืนยันว่าเป็นวิธีการป้องกันการผูกขาดเสียงข้างมาก
อยากชวนประชาชนนึกภาพว่า ถ้าเราใช้วิธีการเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญจากการโหวตเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภา เท่ากับว่าจะใช้เสียงส่วนใหญ่กำหนดหน้าตาของผู้ร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 35 คนได้ทั้งหมด แล้วเสียงส่วนน้อยจะไม่สามารถมีตัวแทนเข้าไปเป็นผู้เขียนรัฐธรรมนูญได้เลย หากใช้แบบเหมือนกับการโหวตร่างกฎหมายทั่วไป คนที่คุมเสียงข้างมากในสภาได้จะเป็นผู้กำหนดหน้าตาของคณะกรรมการผู้ร่างรัฐธรรมนูญทั้งหมด เราเลยไม่เชื่อว่าวิธีนั้นจะเป็นวิธีที่ดีเพราะมันไม่มีหลักประกันเสียงส่วนน้อย เราเลยเชื่อว่าหลัก 20 หยิบ 1 มันคือการที่หากคุณรวมตัวกันได้ 20 คน คุณมีตัวแทน 1 คนแน่นอน หากคุณรวมตัวกันได้ 20 คน คุณมีตัวแทนความคิดความเชื่อคุณไปเป็นผู้เขียนรัฐธรรมนูญ โดยที่ไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากใครอีก เท่ากับว่าทุกคนจะมีหลักประกันว่าจะมีตัวแทนในการเข้าไปร่างรัฐธรรมนูญ ทุกกลุ่มความคิดจะมีตัวแทนเข้าไปร่างรัฐธรรมนูญ
นี่คือข้อยืนยันว่า แม้เราอาจจะไม่ได้คูหาเลือกตั้งอย่างที่เราคาดหวัง เราก็ยังได้สูตร 20 หยิบ 1 ที่เป็นหลักประกันว่าทุกความคิดจะมีตัวแทนในการเขียนรัฐธรรมนูญ ในร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่จะเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาต้องยอมรับว่าอาจจะไม่ใช่สูตรที่ดีที่สุด หมายถึงอาจไม่ใช่ร่างที่ดีที่สุดที่เราจะออกแบบกระบวนการการเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ เพราะคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่จำกัดมันไว้ แต่บนข้อจำกัดที่เรามี แล้วก็ความท้าทายที่มันจะต้องผ่านเสียงความเห็นชอบของรัฐสภาเกินกึ่งหนึ่งและต้องมีเสียง 1 ใน 3 ของสมาชิกวุฒิสภา คือ 67 คนโหวตเห็นชอบด้วย ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีความเป็นไปได้สูงที่สุดแล้ว หลังจากมีประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 เลยคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีของประชาชนที่จะได้พิจารณาร่วมกัน แล้วก็ของรัฐสภาที่เราจะได้มีโอกาสมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไปด้วยกัน

"มันอาจจะไม่ได้ดีที่สุด จึงถูกตั้งคำถามอยู่บ้าง เพราะมันมาจากเงื่อนไขคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เราจำเป็นจะต้องหาวิธีการที่มันออกแบบสูตรต่างๆ เพื่อสร้างความยึดโยงกับพี่น้องประชาชนให้ได้มากที่สุด และสะท้อนต่อความต้องการของพี่น้องประชาชนอย่างตรงไปตรงมา บนข้อจำกัดที่มี"
-ประเมินสถานการณ์ดูแล้วคิดว่า หลังผ่านวาระ 2 ไป ในการโหวตวาระ 3 จะได้เสียงโหวตเห็นชอบจาก สว.ถึง 1 ใน 3 หรือไม่?
จากที่พิจารณากันในคณะกรรมาธิการฯ ที่ก็มีตัวแทน ของสมาชิกวุฒิสภา ก็เป็นเสียงที่สะท้อนให้เห็นภาพรวมของทางวุฒิสภาสภาทั้งองค์คณะได้ เราก็มองว่าจากที่มี ข้อสังเกตเข้ามาหรือว่าเป็นความกังวลใดๆ ของทางวุฒิสภา คณะกรรมาธิการเราก็รับมาพิจารณา จนมีการปรับการเปลี่ยนออกแบบกันเพื่อให้ได้รับความเห็นชอบจากเสียงคณะกรรมาธิการฯ เสียงส่วนใหญ่ไปเรียบร้อย จนออกมาเป็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหน้าตาแบบนี้ ทางเราก็คิดว่า เมื่อผ่านการโหวตในห้องประชุมคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญได้ ก็มีความเป็นไปได้สูงอยู่แล้วที่จะผ่านความเห็นชอบในวาระสาม เพื่อนำไปสู่การผลักดันได้สำเร็จ
“คิดว่าทุกข้อกังวลที่ สว.มีและฝากเข้ามาให้กรรมาธิการพิจารณา ได้ถูกพิจารณาแล้ว และมีการปรับแก้ให้ได้รับการยอมรับได้ไม่มากก็น้อย ได้มีการถกกันทุกประเด็น เลยคิดว่าน่าจะผ่านความเห็นชอบ มีความเป็นไปได้สูงที่จะผ่านความเห็นชอบ โดยคณะกรรมาธิการที่ทำร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกมา ก็ต้องช่วยกันชี้แจงคำถามหรือข้อสงสัย หรือข้อกังวลที่หลายคนอาจจะมีการอภิปรายฝากไว้ในการประชุมวาระ 2 ให้สำเร็จให้ได้”
โดย วรพล กิตติรัตวรางกูร
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'เด็จพี่' โผล่หยัน 'ปชน.' ไม่กล้าซักฟอก 'อนุทิน' กลัว 'ยุบสภา' ทำแก้รัฐธรรมนูญค้างเติ่ง
‘พร้อมพงศ์’ อัด ปชน. ตรรกกะย้อนแย้ง จี้ ‘อนุทิน’ ปลดรัฐมนตรีทุนเทา ไม่ได้ผล สอนมวย ยื่นอภิปรายใช้เสียงสภาฯ เกินครึ่งโหวตคว่ำ ปลดได้แน่ ผิดหวังห่วงเรื่องแก้รธน. มากกว่า ซักฟอกในสภาฯ ชี้ ทำแฟนคลับผิดหวัง เตรียมโดนลงโทษวันเลือกตั้ง
🛑LIVE ‘ดร.สุวิชา’ เปิดชัดๆ นิด้าโพล เลือกตั้ง’69 พลิกล็อก.!? พรรคต่อพรรค-ภาคต่อภาค | อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร
‘ดร.สุวิชา’ เปิดชัดๆ นิด้าโพล เลือกตั้ง’69 พลิกล็อก.!? พรรคต่อพรรค-ภาคต่อภาค อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร : วันเสาร์ที่ 06 ธันวาคม พ.ศ.2568
การเรียนประวัติศาสตร์ สำคัญต่อเรื่องการเมือง-นโยบายหรือไม่ 'เอ็ดดี้' มีคำตอบ
ไม่มีชาติใดกำหนดอนาคตได้ ถ้าไม่รู้ว่าตัวเองเดินมาจากไหน ประเทศที่มองอดีตไม่ออก จะถูกครอบงำโดยผู้นำที่อ้างประวัติศาสตร์ผิดๆ
ส้มขีดเส้นโหวตก่อนปีใหม่!
'อนุทิน' สวนเพื่อไทย ถ้าทำงานห่วย คนตั้งก็แย่สิ ยุครัฐบาล 'อิ๊งค์ - เศรษฐา' ผลโพลชี้ชัดนั่งแท่นอันดับ 2 ทิ้งห่าง พท. หัวเราะให้คะแนนตัวเอง 'เดี๋ยวจะหาว่าคุย'
ปชน. ค้านนัดโหวตแก้ รธน. วาระ 3 หลังปีใหม่ หวั่นกระทบไทม์ไลน์ทำประชามติ
"ณัฐวุติ" ย้ำโหวตแก้ รธน. วาระ 3 ต้องเสร็จก่อนปีใหม่ หวั่นกระทบไทม์ไลน์ทำประชามติ เสี่ยงผิด MOA เชื่อไม่มีเงื่อนไขให้ สว. ควํ่าวาระ 3 เผย หลังโหวตเสร็จ ปชน. เตรียมชง 2 คำถามประชามติให้สภาฯ เคาะทันที
🛑LIVE ร้องข้ามกำแพงคุก!! | ห้องข่าวไทยโพสต์
ร้องข้ามกำแพงคุก!! ห้องข่าวไทยโพสต์ : ประจำวันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2568

