มอง‘โบโกตา’จาก‘มอนแซราเต’

ความยาว 6,999 เมตรทำให้ “แอนดีส” เป็นเทือกเขาที่ยาวที่สุดในโลก มีความกว้างตั้งแต่ประมาณ 200 ถึง 700 กิโลเมตร ความสูงเฉลี่ยราว 4,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล จุดที่สูงที่สุด 6,961 เมตรอยู่ที่จังหวัดเมนโดซา สาธารณรัฐอาร์เจนตินา

เทือกเขาพาดผ่าน 7 ประเทศซึ่งล้วนมีภาษาสเปนเป็นภาษาประจำชาติ และในภาษาสเปนเทือกเขาแห่งนี้มีชื่อเต็มว่า Cordillera de los Andes โดย Andes ออกเสียงในภาษาสเปนว่า “อานเดส” แต่ผมขออนุญาตใช้ “แอนดีส” ตามคำเรียกสากล

ความคล้ายคลึงที่พอนึกออกหากจะหลับตาวาดภาพแผนที่ทวีปอเมริกาใต้ ผมขอเทียบกับภาพแผนที่ประเทศไทยโดยตัดภาคตะวันออกและภาคใต้ออกไป

เทือกเขาพาดผ่าน 7 ประเทศซึ่งล้วนมีภาษาสเปนเป็นภาษาประจำชาติ และในภาษาสเปนเทือกเขาแห่งนี้มีชื่อเต็มว่า Cordillera de los Andes โดย Andes ออกเสียงในภาษาสเปนว่า “อานเดส” แต่ผมขออนุญาตใช้ “แอนดีส” ตามคำเรียกสากล
ความคล้ายคลึงที่พอนึกออกหากจะหลับตาวาดภาพแผนที่ทวีปอเมริกาใต้ ผมขอเทียบกับภาพแผนที่ประเทศไทยโดยตัดภาคตะวันออกและภาคใต้ออกไป

เทือกเขาแอนดีสทอดยาวจากใต้สุดของแหลมขึ้นมาทางเหนือ โดยเลาะตะเข็บแผนที่ทางฝั่งตะวันตกหรือมหาสมุทรแปซิฟิก กั้นแบ่งชิลีกับอาร์เจนตินา เทือกเขาเลื้อยเข้าสู่โบลิเวีย เลื้อยต่อผ่านเปรู เข้าเอกวาดอร์ แล้วก็ถึงโคลอมเบีย

ผมขอมอบภาพหนังสติ๊กหรือไม้ง่าม (ด้ามคด) ของลูกเสือสำรองให้กับเส้นโครงร่างของเทือกเขาแอนดีสเมื่อมองลงมาจากท้องฟ้า และที่โคลอมเบียนี้เองคือที่ที่ไม้ง่ามหรือหนังสติ๊กแยกออกมาเป็น 2 ง่ามซ้าย-ขวา ง่ามซ้าย (เรียกว่า Western Ranges) ค่อยๆ ลดระดับความสูงกลายเป็นเขตทุ่งหญ้าสะวันนาเมื่อใกล้ฝั่งทะเลแคริบเบียน แต่ง่ามขวา (Eastern Ranges) แยกออกเป็นอีกง่าม โดยง่ามย่อยนี้ทางฝั่งซ้าย (Central Ranges) ก็มีชะตากรรมเหมือนกับง่ามซ้ายใหญ่ก่อนหน้านี้ ส่วนง่ามย่อยขวาเลื้อยต่อเข้าไปยังเวเนซุเอลา หากเทียบกับแผนที่ประเทศไทยก็พอเปรียบที่ตั้งของโคลอมเบียได้กับเชียงใหม่ และเวเนซุเอลาคือเชียงราย

ง่ามขวาใหญ่ หรือ Eastern Ranges ของแอนดีสที่ทอดผ่านโคลอมเบีย มีเขตที่ราบสูงชื่อว่า Altiplano Cundiboyacense ซึ่งกรุงโบโกตาตั้งอยู่ในเขตที่ราบสูงนี้ โดยถูกล็อกอยู่ระหว่างแนวเขา Eastern Hills ทางทิศตะวันออกและแม่น้ำโบโกตาทางทิศตะวันตก คล้ายเป็นเส้นขีดกรอบที่ทำให้พื้นที่กรุงโบโกตาประมาณ 1,500 ตารางกิโลเมตรขยายมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว

ตัวเมืองโบโกตาตั้งอยู่บนความสูง 2,640 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งถือว่าเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในโลกที่มีความสูงระดับเดียวกันหรือสูงกว่า และตั้งอยู่บนละติจูดต่ำ (ซีกโลกเหนือใกล้เส้นศูนย์สูตร) ทำให้มีอากาศเย็นตลอดทั้งปี เฉลี่ย 8-19 องศาเซลเซียส ฝนก็ตกเกือบทั้งปีเช่นกัน

และเพราะตั้งอยู่บนที่สูง ผู้มาเยือนโบโกตาต้องระวังเรื่องสุขภาพให้ดี อากาศที่บางเบาอาจสร้างปัญหาให้ท่านได้ มีอยู่หลายครั้งยามกลางค่ำกลางคืนที่อุณหภูมิลดต่ำ ผมมักจะเดินเร็วๆ โดยเฉพาะตอนออกไปซื้อเบียร์กลับมาดื่มที่โรงแรม ทั้งเพราะหนาวและถือเบียร์เย็นทั้ง 2 มือ เลยเร่งฝีเท้าจนกลายเป็นวิ่ง ยิ่งช่วงใกล้ถึงโรงแรมเป็นทางลาดชัน เพราะตั้งอยู่ใกล้ตีนเขา Eastern Hills เข้าโรงแรมได้ผมหายใจเหนื่อยหอบอยู่ตรงล็อบบี้ทุกที นึกว่าสภาพร่างกายอ่อนแอ ที่แท้อากาศกรุงโบโกตามีระดับออกซิเจนต่ำ เพิ่งจะมาถึงไม่กี่วัน ยังปรับร่างกายไม่เข้าที่เข้าทาง

การเล่าเรื่องของผมสำหรับทริปนี้ในบางตอนอาจเปลี่ยนไปจากแนวทางที่เคยเล่า ด้วยเพราะเมื่อมาถึงโคลอมเบียแล้วก็ไม่ได้เดินทางคนเดียวเหมือนอย่างเคยอีก อย่างน้อยก็ในช่วง 3 สัปดาห์แรกที่ผมได้ติดตามคณะพระธุดงค์เพื่อสันติภาพโลก นำโดยพระสุธรรม ฐิตธัมโม

พระธุดงค์มีอยู่ 4 รูป พระสงฆ์ไทยจากอเมริกา 1 รูป พระสงฆ์อเมริกัน 1รูป ภิกษุณีชาวอิตาเลียน 1 รูป พร้อมด้วยโยมติดตามอีกสี่ห้าคนยังคงอยู่ทัศนศึกษาในโคลอมเบียต่ออีกราว 1 สัปดาห์ หลังจากงานที่จัดโดยสถานเอกอัครราชทูตไทยและมหาวิทยาลัยในกรุงโบโกตาจบลง

คุณภูมิ นักธุรกิจชาวไทยผู้พำนักในเม็กซิโกที่เดินทางมาร่วมงานนี้ด้วย เวลากลางคืนก็พาผมไปกินไปดื่มบ้างแบบพอหอมปากหอมคอ กลับไม่ดึกเพราะต้องตื่นเช้ากันแทบทุกวัน เรื่องเล่าในบาร์ยามราตรีที่ผมถนัดมีไม่มากพอที่จะกล่าวถึงในแง่มุมที่น่าสนใจได้

บ่ายวันที่คณะกลับจากทัวร์ไร่กาแฟและโรงงานผลิตกาแฟนอกกรุงโบโกตา คุณภูมิพาผมและพระคุณเจ้าอีก 2 รูปไปทัศนศึกษาต่อที่ภูเขามอนแซราเต (Cerro de Monserrate) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวเขา Eastern Hills ที่ได้กล่าวถึงไป

การขึ้นสู่ยอดเขามอนแซราเตมีอยู่ด้วยกัน 3 วิธี ได้แก่ กระเช้าลอยฟ้า (Teleferico หรือ Cable Car), รถรางขึ้นเขา (Funicular) และเดินเท้า
ยอดเขาตั้งอยู่บนความสูง 3,152 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล หรือประมาณ 600 เมตรจากระดับถนนของกรุงโบโกตา สถานีกระเช้าลอยฟ้าและรถรางขึ้นเขานั้นอยู่ติดกัน รถรางเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1929 ส่วนกระเช้าไฟฟ้าเริ่มใช้เมื่อปี ค.ศ.1955 กระเช้าลอยฟ้าใช้เวลาแค่ 4 นาทีถึงสถานีบนยอดเขา ส่วนรถรางใช้เวลาประมาณ 15 นาที

หากใครร่างกายแข็งแรงและชินกับสภาพอากาศบนที่สูงก็สามารถเดินขึ้นเขาได้ โดยให้เริ่มเดินจาก Museo Quinta de Bolivar พิพิธภัณฑ์บ้านพักของท่านซิมอน โบลิวาร์ บิดาแห่งโคลอมเบีย เดินประมาณ 300 เมตรตรงไปยังตีนเขาใกล้กับสถานีกระเช้าลอยฟ้าและรถรางขึ้นเขา ทางขึ้นเขายาว 2,350 เมตร ความลาดชันประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ ใช้เวลาเดินเฉลี่ย 50 นาที มีเจ้าหน้าที่คอยรักษาความปลอดภัยเป็นจุดๆ ตลอดทางเดิน ไม่มีค่าบริการสำหรับผู้ออกแรงเดิน แต่หากจะลงด้วยรถรางหรือกระเช้าก็ต้องซื้อตั๋ว ไม่อนุญาตให้เดินลงเขาหลัง 4 โมงเย็น คงเพราะกังวลเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะเมื่อลงจากเขาแล้วต้องเดินต่อเข้าเมืองผ่านถนน Las Aguas ไปยังย่าน “ลา กันเดลาเรีย”

ค่าตั๋วโดยสารกระเช้าลอยฟ้าและรถรางขึ้นเขานั้นราคาเท่ากัน ตั๋วขึ้น-ลง 23.500 เปโซ หรือตก 200 กว่าบาท ขาเดียวราคา 14.000 เปโซ หากเป็นวันอาทิตย์ราคาจะเหลือแค่ 14.000 เปโซสำหรับขึ้น-ลง และ 8.000 เปโซสำหรับขาเดียว ผมยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดวันอาทิตย์ที่ความจริงแล้วมีผู้ใช้บริการเยอะกว่าวันอื่นๆ ราคาตั๋วถึงถูกลงเกือบครึ่ง ให้เดาก็คงเป็นเพราะว่าบนยอดเขามีโบสถ์ Monserrate Sanctuary ตั้งอยู่ จึงได้มีการส่งเสริมให้คนเข้าโบสถ์ในวันอาทิตย์ หรือไม่ก็เป็นเพราะว่าในวันอาทิตย์ยอดเขามอนแซราเตปิดเร็วกว่าปกติที่เวลา 17.30 น. โดยวันอื่นๆ ปิด 23.30 น.
คุณภูมิออกค่าตั๋วให้กับผมและพระคุณเจ้าทั้ง 2 รูป ระหว่างรอขึ้นกระเช้ามีหนุ่มเยอรมันเข้ามาทักทายพระสงฆ์เป็นภาษาไทย เขาเคยไปเที่ยวเมืองไทยหลายครั้งและพูดภาษาไทยได้หลายคำ

รถกระเช้าเข้ามาเทียบจอดแล้วเปิดประตู คุณภูมิบอกให้ผมรีบเข้าไปเพื่อยืนริมกระจกฝั่งซ้ายมือเพื่อดูวิวเมือง ผมช้าไปนิดเดียวก็ถูกชิงทำเลทองไปจนหมด

ตอนเราขึ้นไปถึงจุดชมวิวบนยอดเขานั้นตรงกับเวลาใกล้พระอาทิตย์ตก โบโกตาทั้งเมืองวางอยู่เบื้องล่าง แต่น่าเสียดายมีเมฆมาบังพระอาทิตย์ไว้ และหากท้องฟ้าเปิด เมื่อเราหันไปทางซ้ายมือก็จะเห็นรูปปั้นพระแม่มารี Our Lady of Guadalupe อยู่บนภูเขา “กัวดาลูเป” (Cerro de Guadalupe) ที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 2 กิโลเมตร
ภูเขากัวดาลูเปสูงกว่ามอนแซราเตอยู่นิดหน่อย ที่ 3,360 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ถือเป็นภูเขาสำคัญของโบโกตาเคียงคู่กับมอนแซราเต หากมองจากจัตุรัสโบลิวาร์ขึ้นไปทาง Eastern Hills มอนแซราเตจะอยู่ทางซ้ายมือ กัวดาลูเปอยู่ทางขวามือ ชาวมุยสกา (Muisca) ชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ก่อนการรุกรานของสเปนเรียกว่า “เท้าคุณยาย” และ “เท้าคุณตา” ตามลำดับ

ในวันที่พระอาทิตย์อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรมากที่สุด (Solstice) ในเดือนธันวาคม พระอาทิตย์จะขึ้นมาจากด้านหลังภูเขากัวดาลูเป และวัน Solstice ในเดือนมิถุนายน พระอาทิตย์จะขึ้นมาจากทางด้านหลังของภูเขามอนแซราเต ส่วนวัน Equinox หรือวันที่กลางวันและกลางคืนมีเวลายาวนานเท่ากัน ทั้งในเดือนมีนาคมและกันยายน พระอาทิตย์จะขึ้นมาจากจุดกึ่งกลางระหว่างเขาทั้ง 2 ลูกพอดิบพอดี ซึ่งเป็นการสังเกตทางดาราศาสตร์ที่ชาวมุยสกาบันทึกไว้นานแล้วก่อนจักรวรรดิสเปนจะเข้ามา
บนยอดเขากัวดาลูเปมีโบสถ์อยู่เช่นกัน และรูปปั้น Our Lady of Guadalupe ความสูง 15 เมตรตั้งอยู่บนอาคารโบสถ์ดังกล่าว ข้อมูลจากบางเว็บไซต์ไม่ได้เรียกว่าโบสถ์ แต่ใช่คำว่า Hermitage หรืออาศรม

ความนิยมในการเดินทางขึ้นไปของนักท่องเที่ยวมีน้อยกว่ามอนแซราเต เพราะขาดสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทาง รถโดยสารสาธารณะที่เปิดให้บริการจนไปถึงยอดเขานั้นมีแค่วันอาทิตย์ ส่วนวันอื่นๆ ต้องนั่งแท็กซี่หรือเดินขึ้นไป ซึ่งหลายเว็บไซต์ท่องเที่ยวไม่แนะนำให้เดินเพราะเสี่ยงถูกปล้น

คุณภูมิยังเชื่อว่าอีกประเดี๋ยวเมฆจะหายไปและจะได้เก็บภาพทันพระอาทิตย์ตก ที่ไหนได้นอกจากเมฆไม่หายไปแล้ว พอมืดลงหมอกยังลงมาห่มปิดเมือง มีเวลาช่วงสั้นๆ ที่สามารถมองลงไปเห็นเมืองในรูปของแสงไฟอย่างถนัดชัดเจน แต่ตึกสูงที่ให้แสงเป็นสีสันหลักของโบโกตาจำนวน 2 ตึก ค่ำนี้มีตึกเดียวที่มาตามนัด

ช่วงที่รอให้หมอกจาง ผมถือโอกาสเดินเข้าชมโบสถ์ Monserrate Sanctuary ที่เริ่มสร้างขึ้่นตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1650 รูปปั้นพระเยซูในชื่อ El Señor Caído หรือ The Fallen Lord เป็นที่นิยมศรัทธามานานเกือบ 4 ศตวรรษ มีผู้แสวงบุญเดินทางมาสักการะไม่ขาดสาย เชื่อกันว่าสามารถขจัดปัดเป่าโพยภัยต่างๆ ทั้งภัยธรรมชาติและโรคร้าย อำนวยอวยชัยแก่คู่รัก อีกทั้งมอบโชคและความสุขสงบแก่ผู้จาริกมาถึง

ตลาดขายของที่ระลึกอยู่ถัดไปจากโบสถ์ ส่วนมากเป็นงานฝีมือของชนพื้นเมือง ช่วงประมาณ 1 ทุ่มตลาดเริ่มวายแล้ว ผมเลยไม่ได้เดินไปจนสุดพื้นที่ตลาด

บนนี้ยังมีร้านอาหาร ซุ้มขายของกินเล่นและเครื่องดื่มด้วย นึกอยากจะดื่มเบียร์ แต่ก็กลัวว่าอากาศเย็นๆ เช่นนี้จะทำให้ปวดฉี่ง่ายจึงยั้งใจไว้ เดินกลับมายังจุดชมวิว มีนักท่องเที่ยวเข้ามาทักทายไถ่ถามและสนทนากับพระสงฆ์ทั้ง 2 รูปเป็นระยะ จนกลายเป็นดาราของยอดเขาสำหรับวันนี้เลยทีเดียว
จังหวะที่หมอกหายไป ผมสามารถถ่ายภาพด้วยมือถือได้มาอีกนิดหน่อย แต่ยิ่งเวลาผ่านไป อากาศก็ยิ่งหนาว จึงชวนกันกลับ ก่อนจะเดินลงไปขึ้นกระเช้าลอยฟ้าเราได้แวะสนทนากับสุภาพสตรี 3 ท่าน คะเนอายุน่าจะประมาณยี่สิบกลางๆ เธอทั้งสามเดินทางมาจากต่างเมือง

คนหนึ่งเป็นนักฟุตบอลอาชีพในลีกของโคลอมเบีย มีแข่งในวันพรุ่งนี้ คนหนึ่งจะไปเชียร์เพื่อน อีกคนเป็นกรรมการผู้ตัดสินระดับฟีฟ่า แต่ไม่ได้ลงตัดสินในเกมนี้ จะไปเชียร์เพื่อนอีกแรง

นอกจากขึ้นมาชมวิวกรุงโบโกตาแล้ว พวกเธอคงพ่วงขอพร The Fallen Lord ให้การแข่งขันได้รับชัย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ลัคนามังกรกับลีลาสำคัญของชีวิตปี2569

ในบรรดาเรื่อง บวกและลบ ที่เกิดในชีวิตได้ตลอดเวลานั้น ปี 2569 นี้ ลางจากดาวขนาดใหญ่ ที่บ่งบอก เหตุการณ์สำคัญ (ยังมีเรื่องยิบย่อยอีกมาก) ที่มีแนวโน้มจะเกิดกับท่า

ความจริงเทียมทำร้ายสังคม

การสื่อสารของสื่อสารมวลชนที่ทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าประตูข่าว เลือกข่าวที่จะนำเสนอ และปิดข่าวที่ไม่ต้องการเสนอ ทำให้สังคมรับรู้ความจริงเทียม (Pseudo-reality)

น้ำท่วม!!!...กับ'พรหมวิหาร4'

ออกจะหนักหนา-สาหัสมิใช่น้อย...สำหรับ น้ำท่วมปักษ์ใต้ คราวนี้!!! ไม่ใช่แต่เฉพาะ หาดใหญ่-สงขลา ที่แม้แต่ผู้เป็นห่วง เป็นใย ออกไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ยังอดร้องห่ม ร้องไห้

เมื่อ 'ศูนย์ฯ' กลายเป็น 'ศูนย์'

ฟังเหตุผล ผบ.ต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ แม่ทัพใหญ่สีกากี ถึงเรื่องที่ พล.ต.ต.ธีรศักดิ์ ไชยโยธา ผู้การสงขลา มีคำสั่งเด้ง ผู้กำกับหาดใหญ่-พ.ต.อ.ธรรมรัตน์ เพชรหนองชุม

ดวงชะตาเมืองรัตนโกสินทร์ปี 2569 (ตอนที่2) เหตุสำคัญที่มีเกณฑ์เกิดในเมืองปี 2569

ตลอดปีเสียอะไรไปสู้ได้กลับมา-ภายใน 21 เมษายน เมืองยังมีโอกาสเสียคนหรือของรัก-ฟาดเคราะห์ให้เมืองด้วยการร่ว

เมื่อผู้ใหญ่จัญไรอัปรีย์...จะมีอะไรดีให้ลูกหลาน

ลองวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองของไทยเราขณะนี้ เราก็จะเห็นว่าประเทศไทยเรากำลังตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ เพราะมีผู้ใหญ่เห็นแก่ตัว ทำตัวชั่วช้าสามานย์