‘ลุงโจ’ แก่เกินกว่าที่จะคิด นั่งทำเนียบขาวสมัยที่ 2?

แม้ก่อนที่ “ลุงโจ” จะติดโควิดเมื่อวันพฤหัสฯที่ผ่านมาก็มีคำถามจากหลายวงการว่า

โจ ไบเดน แก่เกินไปที่จะเป็นประธานาธิบดีหรือไม่?

ถ้าถามเจ้าตัว จะได้คำตอบว่า “ผมยังไหว...ไม่ใช่ไหวแค่สมัยนี้ แต่ยังจะสมัครนั่งทำเนียบขาวอีกสมัยหนึ่งด้วย จะบอกให้”

คำถามนี้กำลังร้อนแรงในอเมริกา

ฝั่งรีพับลิกันและนักการเมืองปีกขวากำลังส่งเสียงดังก้องไปทั่วว่า “ลุงโจ” แกไม่ไหวแล้ว

ดูจากคะแนนนิยมที่สำรวจผ่านโพลทั้งหลายที่ร่วงเอา ๆ จนตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 30%

แต่พรรคเดโมแครตและสื่ออเมริกันส่วนใหญ่ยังไม่จับประเด็นนี้ออกมาอย่างโจ๋งครึ่มนัก

อีกทั้งยังต้องพิจารณาความเป็นไปได้ที่โดนัลด์ ทรัมป์จะกระโดดลงสนามอีกครั้งหนึ่งในปี 2024

ถ้าเขาไม่เจอกับข้อหาหนัก ๆ ที่กำลังอยู่ในกระบวนการสอบสวนและฟ้องร้องกันอยู่

ไบเดนปีนี้อายุ 79

ถ้าเขาสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกสมัยหนึ่งในปี 2024 เขาก็จะมีอายุ 81

และหากชนะเลือกตั้งคราวหน้าจริง ไบเดนก็จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในวัย 82

ก็จะทำสถิติเป็นผู้นำอายุมากที่สุดของสหรัฐฯในประวัติศาสตร์

ท่านผู้เฒ่าไม่ยี่หระต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์อายุเลย

เขาเพิ่งกลับมาทัวร์ตะวันออกกลางที่ทรหด และได้บอกกล่าวกับคนรอบข้างว่าเขาได้ตัดสินใจแล้วที่จะลงแข่งอีกหนึ่งสมัย

มีใครในบ้านยับยั้งเขาหรือไม่ยังไม่มีข่าว

แต่ที่แน่ ๆ คือแม้แต่ในพรรคเดโมแครตเองก็มีเสียงต่อต้านคัดค้าน แม้เสียงจะยังไม่ดังนัก

ผู้อาวุโสและทรงอิทธิพลในพรรคเดโมแครตเองก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับกรณีนี้

สำหรับไบเดนที่จะมีอายุครบ 80 ปีในวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้ ประเด็นนี้เป็นการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดในชีวิต

แต่ทุกอย่างอยู่ที่ผลงานและผลการเลือกตั้งกลางปีที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ด้วย

ถ้าผู้สมัครพรรเดโมแครตพ่ายแพ้เสียที่นั่งให้กับรีพับบลิกันในการแข่งขันกลางเทอมนี้ โอกาสที่ไบเดนจะขอโอกาสจากพรรคที่จะสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการนั่งทำเนียบขาวต่ออีก 4 ปีก็จะริบหรี่ลง

บางคนอ้างว่าไบเดนมีอาการหลง ๆ ลืม ๆ จากภาวะสมองเสื่อม แต่เจ้าตัวยืนยันเสียงแข็งว่าเขายังจำได้ทุกอย่างอย่างแม่นยำ ใครอย่ามาท้าเขาก็แล้วกัน

ความไม่พอใจต่อไบเดนเริ่มจะปรากฏให้เห็นแล้วในค่ายของเขาเอง

ผลสำรวจของนิวยอร์กไทมส์ที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ก่อนแสดงให้เห็นว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งในพรรคเดโมแครต 64% ต้องการเห็นคนอื่นที่ไม่ใช่ไบเดนลงสมัครในปี 2024

อายุของไบเดนถูกอ้างว่าเป็นเหตุผลหลักสำหรับผู้ที่ต้องการจะเห็นความเปลี่ยนแปลง

ถ้าไบเดนได้สมัยที่สองเขาจะเป็นประธานาธิบดีในวัย 82 ปีในช่วงเริ่มต้นของเทอมที่สองและ 86 ปีในช่วงท้าย

เปรียบเทียบกับโรนัล เรแกนซึ่งมีอายุ 77 ปีเมื่อเขาออกจากตำแหน่งในปี 1989

“อายุของไบเดนกลายเป็นปัญหาที่ไม่สบายใจสำหรับเขาและพรรคของเขา” The New York Times เขียนในบทนำเมื่อสัปดาห์ก่อน

ไบเดนเจองานหนักตั้งแต่สงครามในยูเครนและอัตราเงินเฟ้อที่ร้อนแรงบวกกับเหตุการณ์ความรุนแรงจากปืนที่ระบาดไปทั่วประเทศรวมไปถึงคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ยกเลิกสิทธิการทำแท้งที่เป็นประเด็นการเมืองสำคัญสำหรับสหรัฐฯมาตลอด

แต่ก็คงมีชาวอเมริกันไม่น้อยที่อิจฉาลุงโจที่ผลการตรวจสุขภาพเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว สรุปว่าเขาเป็นผู้ชายที่ "แข็งแรง" แม้จะมีปัญหาเล็กน้อยจากกรดไหลย้อนและโรคข้ออักเสบก็ตาม

ในวัยนี้ทำงานหนักอย่างนี้ผลการตรวจสุขภาพออกมาอย่างนี้ “ลุงโจ” ก็คงจะเก็บไว้คุยได้อีกนาน

แต่รูปร่างหน้าตาของเขาบอกว่าไบเดนกำลังเผชิญกับภาระที่หนักอึ้งเพราะยิ่งวันก็ยิ่งเห็นผมที่ขาวโพลนบางขึ้นเรื่อยๆ

สังเกตท่าทางการเดินเหินก็ระมัดระวังมากขึ้นอย่างมาก

สังเกตว่าบางครั้งเขาเสียสมาธิหรือเกิดอาการสะดุดขณะอ่านจากเครื่อง teleprompter

อีกบางจังหวะ อาการพูดติดอ่างก็กลับมาให้ได้เห็นหากไบเดนอยู่ในภาวะเครียดมาก ๆ

บ่อยครั้งเช่นกันที่เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวต้องออกมาแก้ไขคำพูดของไบเดนที่ออกความเห็นที่ขัดแย้งกับแนวทางหลักของตัวเอง

ไบเดน จึงเลือกที่จะแถลงข่าวและสัมภาษณ์น้อยกว่าผู้นำคนก่อน ๆ ด้วยการเลือกที่จะตีพิมพ์ความคิดเห็นในหนังสือพิมพ์ เพื่อสามารถควบคุมเนื้อหาได้มากกว่าเพื่อป้องการการ “หลุด” ที่อาจทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ร้อนแรงได้

ตอนประชุมสุดยอดผู้นำ G-7 เมื่อเดือนที่ผ่านมา เราเห็นภาพที่ทำให้เกิดการเปรียบเทียบเรื่องอายุพอสมควร

เพราะ Justin Trudeau นายกรัฐมนตรีแคนาดา วัย 50 ปี และประธานาธิบดี Emmanuel Macron ของฝรั่งเศส อายุเพียง 44 ปีเท่านั้น

เหมือนพ่อกับลูกคุยกันเลยทีเดียว

นอกเหนือจากปัญหาด้านสุขภาพแล้ว ยังมีคำถามทางการเมืองว่าประธานาธิบดีที่เกิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองคนนี้สามารถสื่อสารและเชื่อมต่อชาวอเมริกันที่อายุน้อยกว่าได้อย่างไร

ตัวอย่างเช่น ไบเดนดูเหมือนจะงง ๆ เมื่อผู้ประท้วงรุ่นเยาว์ที่บุกมาที่หน้าทำเนียบขาวเพื่อต่อต้านมติของศาลฎีกาที่ยกเลิกสิทธิของรัฐบาลกลางในการทำแท้ง

ไบเดนไม่มีคำตอบที่ชัดเจน บอกเพียงว่า "ประท้วงต่อไป ชี้ประเด็นของคุณต่อไป มันสำคัญมาก"

คำถามใหญ่คือใครจะแทนที่ไบเดนได้?

หนึ่งในทางเลือกคือรองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส วัย 57 ปี ซึ่งหากไบเดนตัดสินใจลงสมัครอีกครั้งจริง เธอก็คงจะยังคู่เป็นคู่หูของเขา

นอกนั้นก็มีชื่อของนักการเมืองค่ายเดโมแครตที่อาจจะเสนอตัวมาแทนไบเดนได้เมื่อจังหวะเหมาะเจาะมาถึง

เช่น ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย Gavin Newsom อายุ 54 ปี หรือ Pete Buttigieg รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม วัย 40 ปี

แต่ถ้า “ลุงโจ” เกิดดื้อขึ้นมา ไม่ยอมให้คนอื่นในพรรคเสนอตัวมาแข่งล่ะ?

การเมืองมะกันมีสีสันและความน่ากลัวตรงนี้แหละ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เชื่อไหม:อิสราเอลกับ อิหร่านเคยรักกัน?

อิสราเอลกับอิหร่านเปิดศึกสงครามที่สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วโลกวันนี้ มีคำถามว่าทั้ง 2 ชาตินี้กลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันอย่างรุนแรงเช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ และมีเหตุผลแห่งความบาดหมางกันอย่างไร

จีน-อินเดีย: 'สันติภาพร้อน' ที่ทำให้ร่วมแก้วิกฤตพม่าไม่ได้

วิกฤตพม่าทำให้ผมคิดถึงความความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอินเดียวันนี้ เพราะหากสองยักษ์แห่งเอเชียทำงานร่วมกัน ไทยก็อาจจะเป็นมือประสานให้เกิดกระบวนการเจรจาในพม่าได้

บทเรียนสีหนุวิลล์สำหรับไทย

ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดของจีนกับกัมพูชามาในหลายรูปแบบ...และหนึ่งในนั้นคือการสร้างสีหนุวิลล์เป็นศูนย์กลางด้านความบันเทิง หรือที่เรียกว่า Entertainment Complex

อิหร่าน-อิสราเอล: ทุกฉากทัศน์ล้วนเสี่ยงสูง

คณะรัฐมนตรีสงครามหรือ War Cabinet ของอิสราเอลประชุมกันเคร่งเครียดมาหลายรอบ...สรุปได้เพียงว่าจะต้องตอบโต้อิหร่านแน่...แต่ไม่ระบุว่าเมื่อไหร่และด้วยยุทธการแบบใด