เมื่อวานเขียนถึงคำประกาศของสี จิ้นผิง ให้กองทัพจีนเตรียมตั้งรับ “สถานการณ์ฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุด” ก็มีเรื่องต้องเขียนต่อเนื่องกันหลายประเด็นทีเดียว
เช่น ข่าวจากสื่ออังกฤษที่อ้างว่า ผู้อำนวยการ CIA ที่ชื่อ William Burns ได้แอบย่องเข้าจีนเพื่อไปพบปะกับผู้หลักผู้ใหญ่ด้านข่าวกรองของจีน
เพื่อไปพูดคุยให้คลายความตึงเครียดในความสัมพันธ์
และให้ฝ่ายกรองของทั้ง 2 ประเทศมีช่องทางการสื่อสาร ไม่ให้เกิดกรณีความเข้าใจผิดที่อาจนำไปสู่การเผชิญหน้าอันไม่พึงปรารถนา
ตามมาด้วยข่าวที่ประชุม Shangri-La Dialogue ว่าด้วยความมั่นคงที่สิงคโปร์
เห็นภาพของรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ Lloyd Austin เดินเข้าไปขอจับมือกับรัฐมนตรีกลาโหมจีน Li Shangfu ในงานดินเนอร์ของผู้นำด้านกลาโหมของประเทศต่างๆ ทั่วโลก
ท่ามกลางข่าวว่า ก่อนหน้านี้มีการขอจากฝั่งสหรัฐฯ ว่า ในโอกาสนี้จะขอประชุม “นอกรอบ” ระหว่าง 2 รัฐมนตรีกลาโหม
แต่ข่าวบอกว่าฝ่ายจีนปฏิเสธ ไม่สนใจจะพูดคุยด้วย เพราะปักกิ่งไม่เชื่อในความจริงใจของวอชิงตัน
ต้องไม่ลืมว่า พลเอกหลี่ ซ่างฝู ของจีนนั้นเคยถูกฝั่งสหรัฐฯ ขึ้น “บัญชีดำ” มาก่อน โดยกล่าวหาว่าเขามีส่วนในการช่วยสั่งซื้ออาวุธจากรัสเซีย ซึ่งเป็นการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรต่อมอสโกของโลกตะวันตก
อีกทั้งเรื่องระหองระแหงระหว่าง 2 ยักษ์ใหญ่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะมีหนทางที่จะมีช่องทางของการผ่อนคลายได้แต่อย่างไร
แต่ฝั่งอเมริกาก็ยังสำทับว่า 2 ประเทศจะต้องพูดจากัน
ขณะที่ฝ่ายจีนบอกว่าพูดกันมากี่รอบก็ยังไม่มีผลในทางสร้างสรรค์แต่อย่างไร
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเจรจาระหว่าง 2 ประเทศ
โดยบอกว่าการเจรจา "เป็นสิ่งจำเป็น" เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้นได้หากไม่มีช่องทางการสื่อสารที่ถูกต้อง
ออสเตินบอกว่า “ในฐานะผู้นำด้านกลาโหมที่มีความรับผิดชอบ เวลาที่เหมาะสมในการพูดคุยคือทุกเวลา”
เป็นคำกล่าวในการประชุม Asia Security Summit หรือ Shangri-la Dialogue ที่สิงคโปร์
และยังย้ำอีกว่า "เวลาที่เหมาะสมในการพูดคือทุกจังหวะเวลา และเวลาที่เหมาะสมในการพูดคือตอนนี้"
มีคนฟังที่เป็นตัวแทนด้านกลาโหมกว่า 600 คน จากกว่า 40 ประเทศมารวมตัวกันเพื่อระดมความคิดเกี่ยวกับความท้าทายด้านความมั่นคงและภูมิรัฐศาสตร์ในเอเชียแต่ออสตินก็ยังใช้โอกาสนี้ “แซะ” จีนอีกจนได้
โดยกล่าวอ้างถึงกรณีการ “สกัดกั้นบนน่านฟ้าสากลที่ก้าวร้าวและไม่เป็นมืออาชีพ" กับฝ่ายจีนเมื่อไม่นานมานี้
“สาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) ยังคงดำเนินการสกัดกั้นเครื่องบินของสหรัฐฯ และพันธมิตรซึ่งยกระดับความเสี่ยงจนน่าตกใจ ทั้งๆ ที่เหตุเหล่านี้เกิดในน่านฟ้าสากล” ออสติน กล่าว
และยังตอกย้ำว่า สหรัฐฯ จะไม่ยอมถูกขัดขวางโดย "พฤติกรรมการปฏิบัติการที่เป็นอันตราย" ในน่านฟ้าสากล
ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน มีการเผยแพร่วิดีโอซึ่งแสดงให้เห็นเครื่องบินขับไล่ของจีนทำสิ่งที่กองบัญชาการภาคพื้นอินโดแปซิฟิกของสหรัฐฯ เรียกว่า "การซ้อมรบที่ก้าวร้าวโดยไม่จำเป็น" ระหว่างการสกัดกั้นของสหรัฐฯ เครื่องบินของกองทัพอากาศ เมื่อวันที่ 26 พ.ค.
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเหนือทะเลจีนใต้ในน่านฟ้าสากล
จีนตอบโต้ด้วยการเรียกร้องให้ยุติเที่ยวบินดังกล่าวของสหรัฐฯ
เป็นที่มาของการที่ปักกิ่งปฏิเสธคำขอจากเพนตากอนให้มีการประชุมระหว่างออสตินกับหลี่ ซางฟู่ คู่หูของจีน นอกรอบการประชุมสุดยอดที่สิงคโปร์เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
แต่รัฐมนตรีจีนก็ยอมจับมือของออสติน อันถือเป็นการทักทายสั้นโดยมารยาทในงานเลี้ยงอาหารค่ำสำหรับการประชุมสุดยอด
แต่ไม่มีการแลกเปลี่ยนอะไรที่เป็นกิจจะลักษณะแต่อย่างไร
ออสตินต้องการจะมีการนั่งลงพูดคุยอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่ดูเหมือนฝ่ายจีนจะยังไม่พร้อม
“การจับมืออย่างจริงใจระหว่างมื้อค่ำไม่สามารถทดแทนการมีส่วนร่วมที่สำคัญได้” เขากล่าว
แต่รัฐมนตรีกลาโหมจีนประกาศว่า สหรัฐฯ (โดยไม่ระบุชื่อ) กำลังสร้างบรรยากาศ “สงครามเย็น” กลับมาอีกครั้ง
และความพยายามของอเมริกาที่จะใช้ “สองมาตรฐาน” กับจีนนั้นไม่ก่อให้เกิดบรรยากาศของการพูดจากันแต่อย่างไร
ออสตินก็ยังยืนยันว่า อเมริกาจะมีบทบาทคึกคักในย่านนี้
เขาบอกว่าอเมริกาจะรักษา "การแสดงตนอย่างเข้มแข็งและมีความรับผิดชอบ" ทั่วอินโดแปซิฟิก
และจะทำงานต่อไปเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีประเทศใดสามารถอ้างสิทธิ์ในการควบคุมเหนือเส้นทางน้ำที่ใช้ร่วมกันได้
“ในทะเลจีนใต้ เราจะทำงานร่วมกับพันธมิตรและหุ้นส่วนของเราต่อไปเพื่อรักษาเสรีภาพในการเดินเรือและการบินบนเครื่องบิน” เขากล่าว
“ผมขอย้ำอีกครั้งถึงความสำคัญของคำตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการในปี 2559 ซึ่งมีผลผูกพันทางกฎหมายและถือเป็นที่สิ้นสุด” เขากล่าวเสริม
โดยอ้างถึงคำตัดสินของศาลระหว่างประเทศที่ประกาศข้อโต้แย้งทางประวัติศาสตร์ของจีนที่อ้างสิทธิ์ในทะเลจีนใต้
ในประเด็นเรื่องช่องแคบไต้หวัน ออสตินกล่าวว่า สหรัฐฯ ยังคง "มุ่งมั่นอย่างสุดซึ้ง" ในการรักษาสถานะที่เป็นอยู่
แต่ยังอ้างว่าแนวทางนี้ยังสอดคล้องกับ “นโยบายจีนเดียว” ที่มีมาอย่างยาวนาน
แต่ขณะเดียวกันวอชิงตันก็ปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้กฎหมายความสัมพันธ์ไต้หวัน
อันเป็นกฎหมายของสหรัฐฯ ที่กำหนดให้วอชิงตันต้องปฏิบัติเพื่อให้ไต้หวันมีศักยภาพในการป้องกันตนเอง
“นโยบายของเรามั่นคงและแน่วแน่ มีผลใช้จริงในฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ” ออสตินประกาศ
“เราจะยังคงคัดค้านการเปลี่ยนแปลงสถานะที่เป็นอยู่จากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างเด็ดขาด”
ออสตินย้ำว่า โลกมีส่วนได้เสียในการรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน
โดยเน้นไปที่ความปลอดภัยของเส้นทางเดินเรือพาณิชย์และห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
ออสตินบอกว่า สหรัฐฯ เชื่อว่าการ “สื่อสารแบบเปิดเผย” กับจีนมีความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างฝ่ายกลาโหมและผู้นำทางทหารจากทั้ง 2 ฝ่าย
“ผมกังวลอย่างยิ่งว่าจีนไม่เต็มใจที่จะมีส่วนร่วมอย่างจริงจังมากขึ้นเกี่ยวกับกลไกที่ดีกว่าสำหรับการจัดการวิกฤตระหว่างกองทัพทั้ง 2 ของเรา” ออสตินกล่าว
"แต่ผมหวังว่ามันจะเปลี่ยนไปและในไม่ช้า"
ฝ่ายจีนคงจะรอจังหวะการตอบสนองท่าทีของสหรัฐฯ เรื่องนี้...เพราะหาก สี จิ้นผิง เห็นว่าสหรัฐฯ ยังมีท่าทีเป็นศัตรูกับปักกิ่งเช่นนี้ การไม่พูดคุยกันจะเป็นการส่งสัญญาณได้ชัดเจนกว่าการสนทนาที่ไร้ผล.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
อนาคตประเทศไทย ที่ยังเต็มไปด้วยอุปสรรค!
พอมองว่ารัฐบาลเศรษฐา 1/1 จะต้องวางยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจอย่างไรก็ต้องฟังความเห็นของผู้ที่ช่วยกันคิดว่าเราจะต้องทำอะไรบ้างจึงจะกระชากประเทศชาติจาก “กับดัก” รายได้ปานกลางที่เราติดอยู่ยาวนาน
ครม.เศรษฐกิจเศรษฐา 1/1: ปัญหาอำนาจเชิงซ้อน
คำถามใหญ่สำหรับ ครม. เศรษฐา 1/1 คือทีมเศรษฐกิจจะมีหน้าตาอย่างไร
ตัวชี้วัดเศรษฐกิจล้วนไปทางลบ... ท้าทายฝีมือ ครม. เศรษฐา 1/1
ตัวเลขชี้วัดเศรษฐกิจไทยที่โผล่ออกมาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาล้วนเป็นข่าวชวนคิดและกังวล
ตัวแปรหลักในสงคราม คือ ‘เจ้าพ่อเมียวดี’
คนที่ชายแดนแม่สอดบอกว่า ถ้าอยากจะเข้าใจสถานการณ์ความขัดแย้งในเมียวดีต้องรู้จักคนชื่อ พันเอก หม่อง ชิตตู่
เวียดนามกวาดล้างโกงกิน ระดับนำร่วงคนที่ 3 ในปีเดียว
เวียดนามเขย่าระดับสูงอย่างต่อเนื่อง...เป็นการยืนยันว่าจะต้อง “ชำระสะสาง” ให้สามารถจะบอกประชาชนและชาวโลกว่ายึดมั่นเรื่องธรรมาภิบาลและความโปร่งใสอย่างจริงจัง
สี จิ้นผิงบอกบลิงเกน: จีน-มะกัน ควรเป็น ‘หุ้นส่วน’ ไม่ใช่ ‘ปรปักษ์’
รัฐมนตรีต่างประเทศแอนโทนี บลิงเกนไปเมืองจีนครั้งล่าสุดเมื่อสัปดาห์ก่อนเจอกับ “เล็กเชอร์” จากประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเป็นชุด