ตร.ก็ว้าวุ่นเลย

เปิดชื่อ 8 กุนซือข้างกาย ผบ.ต่อ-พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล แม่ทัพใหญ่กรมปทุมวัน ต้องบอกว่า "ไม่ธรรมดา" ล้วนระดมยอดฝีมือ "สีกากี" หลากหลายหน้างานมาช่วยขับเคลื่อน "สำนักงานตำรวจแห่งชาติ" อย่างน่าสนใจ ทั้งในด้านการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม การสืบสวนสอบสวนคดีอาญา การรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ รายแรก พล.ต.อ.เจตน์ มงคลหัตถี อดีตรอง ผบ.ตร. อดีตมือสอบสวนสีกากีระดับซือแป๋เรียกอาจารย์ ตามมาด้วย พล.ต.อ.สุรพล ธนโกเศศ อดีต ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. อดีตมือนโยบายและแผน ส่วน พล.ต.อ.ชยพล ฉัตรชัยเดช อดีตที่ปรึกษาพิเศษ ตร. และอดีตที่ปรึกษานายกฯ ตู่ อดีตมือกฎหมายข้างกาย พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล อดีตรอง ผบ.ตร. ต่อมา พล.ต.อ.มนตรี ยิ้มแย้ม อดีตที่ปรึกษาพิเศษ ตร. อดีตมือประสานสิบทิศที่คนในแวดวงสีกากีต่างรับรู้กัน คนที่ 5 พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ โชติมา อดีต ผบช.ปส. 

ถือเป็นมือขวาคนสำคัญของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ อดีต ผบ.ตร. คนที่ 6 พล.ต.ท.อนันต์ ศรีหิรัญ อดีต ผช.ผบ.ตร. เคยดูแลงานด้านจราจรของ ตร.มาแล้ว คนที่ 7 พล.ต.ท.รณศิลป์ ภู่สาระ อดีตผู้ช่วย ผบ.ตร.และอดีต ผบช.ภ.9 อดีตนักสืบฝีมือดี ผ่านงานสืบสวนคดีสำคัญๆ มาทั่วทั้งเมืองกรุงหรือแม้แต่ชายแดนภาคใต้ และคนสุดท้าย พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย อดีต ผบช.ภ.5 ก่อนหน้านี้มีข่าวถูกทาบทามไปเป็นโฆษกพรรค พปชร.ของลุงป้อม

สภากาแฟภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังคึกคัก ตามแนวนโยบาย ผบ.ต่อ ที่ต้องการเชิญผู้บังคับบัญชาระดับสูงของ สตช., รอง ผบ.ตร., ผู้ช่วย ผบ.ตร., ผบช.ในส่วนกลาง, อดีตผู้บังคับบัญชา และ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ ไปร่วมรับประทานอาหารเช้า โดย "ผบ.ต่อ" เคยบอกเอาไว้ "อยากให้พี่น้องมาร่วมพูดคุยเรื่องงานแบบเป็นกันเอง นอกจากการประชุมอย่างเป็นทางการ" เปิดสภากาแฟครั้งล่าสุดเมื่อเช้าวันอังคารที่ผ่านมา นอกจากมี รอง ผบ.ตร.และผู้ช่วย ผบ.ตร. มาร่วมจิบกาแฟแล้ว "3 ก.ตร." อดีตตำรวจเก่า ทั้ง บิ๊กนู-พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก, บิ๊กนัย-พล.ต.อ.วินัย ทองสอง  และบิ๊กเอก-พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ต่างก็มากันครบครัน รวมทั้งอดีต ผบ.ตร. อย่าง พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ อดีต ผบ.ตร.สมัยปี 2544-2547 ก็มาร่วมจิบกาแฟกับ "ผบ.ต่อ" ซึ่งทันทีที่ "อดีต ผบ.สันต์" มาเยือนกรมปทุมวันรอบนี้ ถึงกับเอ่ยกับรุ่นน้องในห้องประชุม "นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ผมเกษียณไป เพิ่งจะได้มา ตร.เป็นครั้งแรก"

ฟากฝ่ายการเมืองมี "ครม.สัญจร" ฝ่ายตำรวจเอง "ผบ.ต่อ" ก็จัดโครงการการประชุมบริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สัญจร) ประเดิมครั้งแรกไปแล้วเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ขึ้นเหนือยกคณะประกอบด้วย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ไปเยือนกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 (บช.ภ.5) มี พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 และรอง ผบช.ภ.5 รวมทั้งผู้การจังหวัดในสังกัดภาค 5 ร่วมประชุมรับทราบนโยบายการทำงานต่างๆ การประชุมบริหารสัญจรครั้งแรกนี้ "ผบ.ต่อ" ต้องการประชุมบริหารเวียนไปในพื้นที่ตำรวจภูธรภาคต่างๆ ทั่วประเทศ โดยนอกจากจะเป็นการประชุมบริหารแล้ว ยังจะได้ตรวจเยี่ยม กำชับนโยบาย และสร้างขวัญกำลังใจแก่ข้าราชการตำรวจในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ถือเป็นอีกนิมิตหมายหนึ่งที่ทำให้ "ผู้บังคับบัญชา" ได้ลงไปใกล้ชิดลูกน้อง  ได้รับรู้ รับทราบถึงปัญหาต่างๆ อย่างแท้จริง...เยี่ยมๆ

ทีนี้ก็ว้าวุ่นเลย! "ตำรวจ" ที่มีที่ตั้งหน่วยอยู่ในรั้วกรมปทุมวัน เพราะ บิ๊กแรก-พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล (ผบช.สกพ.) ส่งหนังสือเวียนแจ้ง ผบช.และ ผบก.หน่วยขึ้นตรงที่อยู่ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้สำรวจข้อมูลสถานภาพกำลังพลข้าราชการตำรวจในหน่วยงาน ที่มีสถานที่ทำการตั้งอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หนังสือดังกล่าวระบุว่า "ตามแนวทางการบริหารราชการของ ผบ.ตร. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ข้อ 9 พัฒนาคุณภาพชีวิต สวัสดิการ ขวัญกำลังใจ และความสามัคคีของข้าราชการตำรวจ โดย ผบ.ตร.มีนโยบายให้จัดโครงการอาหารกลางวัน เพื่อเป็นสวัสดิการให้กับข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติงานในหน่วยที่ตั้งอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อช่วยเหลือลดภาระค่าใช้จ่ายของข้าราชการตำรวจ  สกพ.จึงขอให้ทุกหน่วยสำรวจรายชื่อข้าราชการตำรวจในสังกัดระดับ ผบ.หมู่ ถึงระดับรอง ผกก.ที่ปฏิบัติงานในหน่วยที่ตั้งอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เฉพาะข้าราชการตำรวจที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่จริง" แม้จะเป็นโครงการที่ดี โครงการที่จะช่วยลดภาระผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ลูกน้องหลายคนก็สงสัยในยุค ผบ.เด่น-พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ อดีต ผบ.ตร. ที่ให้สำรวจรายชื่อตั้งแต่ ผบ.หมู่ ไปถึงผู้การ แต่ไฉนมายุค "ผบ.ต่อ" สำรวจถึงแค่ รอง ผกก.เท่านั้น

สำหรับเหตุการณ์คนไทยหนีกระเจิงก่อนที่เมือง “เล่าก์ก่าย” ในรัฐฉานเขตปกครองที่ 1 ของโกกั้งในประเทศเมียนมาจะถูกกวาดล้าง ส่วนที่หนีเข้าไปในเขตพื้นที่อิทธิพลของว้า ก่อนจะถูกส่งตัวผ่านมาให้ทหารเมียนมาเพื่อส่งต่อให้ทหารไทยผ่านช่องทางคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น  หรือทีบีซี ไทย-เมียนมา ทางด้านชายแดนแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก  ล็อตแรกจำนวน 41 คน และล็อตหลัง 24 คน ส่วนกว่า 200 คนที่เหลือติดอยู่ในเล่าก์ก่ายหนีออกมาไม่ได้ตั้งแต่ต้น ทางการเมียนมานำตัวคนไทยออกมาได้ก็กลับทางชายแดนจีน ก่อนส่งเข้ามาไทยทางสายการบิน โดยคนไทยทั้งหมดอยู่ในสถานะ “เหยื่อ” ที่ถูกหลอกเข้าไปทำงาน ย้อนกลับไปช่วงแรกที่สถานการณ์ยังก้ำกึ่ง คนไทยยังตกเป็นผู้สงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้หรือไม่ จนทำให้ล็อตแรกจำนวน  41 คนที่เดินทางมาทางหนานเติ้ง พักคอยที่เมืองยาง ก่อนมีทหารเมียนมามารับที่เชียงตุง แต่ก็หยุดชะงักไม่ยอมส่งต่อมาที่ท่าขี้เหล็ก โดยระบุว่า “หน่วยเหนือ” ไม่อนุมัติ ทำให้ พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผบ.ทบ.ที่สั่งการให้กองทัพภาคที่ 3 เตรียมการรับคนไทย ต้องใช้ช่องทางพิเศษให้ทุกอย่างลื่นไหล จนกลายเป็นข่าวเมาธ์กันให้แซ่ดว่า เป็นเพราะ “ฮอตไลน์สายตรง” เสียงต้นสายที่ไปถึง “มิน อ่อง  หล่าย” คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็น “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ ของไทย ที่มาเป็นตัวช่วยสำคัญทำให้ทุกอย่างราบรื่น จบภารกิจในส่วนนี้ได้สะดวกโยธิน

มาที่กองทัพเรือ พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ เปิดแถลงในวันกองทัพเรือเรื่องการแก้ไขปัญหาเรือดำน้ำที่ดูไม่มีความชัดเจนเสียที แถมฝ่ายค้านออกมาผสมโรงยืนอยู่ข้าง “บิ๊กดุง” และจัดหนัก “สุทิน คลังแสง” รมว.กลาโหม ที่ออกมาเปิดตัวแรงเรื่องการเปลี่ยนเรือดำน้ำ เป็นเรือฟริเกต ทั้งที่ ทร.ไม่อยากได้ เมื่อย้อนดูเบื้องหลังการถ่ายทำ ต้องนับจากวันที่ “สุทิน” ให้ ทร.ไปเสนอทางเลือกอื่นมาเพิ่มเติม หลังจาก พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือคนที่แล้ว ส่งผลการพิจารณาเครื่องยนต์จีนที่สามารถใช้ทดแทนเครื่องยนต์เยอรมันได้อย่างไม่เสียคุณค่าทางยุทธการ นั่นจึงกลายเป็นโจทย์ที่ ทร.ต้องไปตั้งมาใหม่ (โดยไม่ได้บอกกันว่าเต็มใจหรือไม่) เสนอเป็นเรือฟริเกต และโอพีวี ก่อนจะเคาะที่ “เรือฟริเกต” ในที่สุด แต่เมื่อมี “ข้อมูลใหม่” เรื่องเครื่องยนต์เรือดำน้ำที่จีนเพิ่งยอมให้เปิดเผยออกมา ทำให้ “บิ๊กดุง” ตั้งโพเดียมแถลงเดินหน้าเรือดำน้ำต่อ ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดพิจารณา 3 ข้อ ซึ่งมีผลต่อการให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบ เพราะเมื่อไร้ข้อกังขาทางกฎหมาย รัฐบาลก็ไม่ต้องเสี่ยงโดนฟ้องร้องในภายหลัง ปิดฉากแบบนี้ รมว.กลาโหมที่ชื่อ “สุทิน” ก็เหมือนออกตัวเก้อ แถมโดนฝ่ายค้านยำ เพราะเป็นคนย้ำเสมอเรื่องการเปลี่ยนเป็น “เรือผิวน้ำ" จนมีเสียงตัดพ้อจาก “สนามไชย” แบบห่อเหี่ยวดังถึงทำเนียบฯ

แต่ถึงอย่างไร “บิ๊กทิน” ก็ยังเป็นที่รักของทหาร เพราะเมื่อเข้ามาทำงานก็เข้าใจทหารมากขึ้น พร้อมทำหน้าที่ รมว.กลาโหม ในการอธิบายความจำเป็นต่างๆ ให้แทน และในวันที่ 30 ก.ย.นี้ก็มีกำหนดการไปเป็นประธาน พิธีเปิดการแข่งขันการปฏิบัติการทางอากาศยุทธวิธี ประจำปี 2567 และการสาธิตการใช้กำลังทางอากาศ ที่สนามฝึกใช้อาวุธทางอากาศชัยบาดาล จ.ลพบุรี โดยงานนี้ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล  ผู้บัญชาการทหารอากาศ  จัดเต็มรับ รมว.กลาโหม แฟนคลับตัวยงของเครื่องบินขับไล่เอฟ- 16 ส่วน “บิ๊กทิน” จะใส่ชุดนักบินเหมือนตอนที่ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็น รมว.กลาโหมหรือไม่ ต้องรอชม.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ไฟไหม้ห้องทำงาน รองผอ.รร.เมืองตลุงพิทยาสรรพ์  คาดอากาศร้อนทำเบรกเกอร์ช็อต

เกิดเหตุไฟไหม้ห้องรอง ผอ.โรงเรียนมัธยม อ.ประโคนชัย  จ.บุรีรัมย์ ลามไหม้ห้องวิชาการ  เสียหายทั้ง 2 ห้อง  ตรวจสอบพบเบรกเกอร์เครื่องปรับอากาศในห้องรอง ผอ. มีรอยไหม้ คาดไฟฟ้าลัดวงจร บวกกับอากาศที่ร้อนจัด

สายหื่นระวัง 4 ภัยมิจฉาชีพหลอกให้ตกเป็นเหยื่อ

พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบัน

อยากช่วย...อยากเชียร์...แต่เพลียแล้วนะ

ในคืนวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เราตกใจเมื่อเห็นผลของการเลือกตั้งที่พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งมาเป็นที่ 1 ได้ สส. 151 ที่นั่ง พรรคเพื่อไทยมาเป็นที่ 2 ได้ สส. 141 ที่นั่ง ส่วนพรรคที่เขาเรียกขานกันว่าเป็นพรรคอนุรักษ์หรือพรรคหนุนเผด็จการนั้น ได้จำนวน สส.ห่างไกลจาก 2 พรรคนี้มาก ภูมิใจไทยที่ได้จำนวน สส.มาเป็นที่ 3

ยุคพระอาทิตย์ 7 ดวง

ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่...แต่เผอิญไปป่วย หรือ อาพาธ อยู่ประมาณ 3 เดือน คือระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม ปีพุทธศักราช 2535 หรือประมาณ 35 ปีมาแล้ว

หึ่ง! เชือด 'นายพล' อีก

ดูเหมือนจะเป็นหน่วยงานแห่งความหวัง หน่วยงานที่พึ่งสำคัญ ในการจะกลับเข้ารับราชการตำรวจอีกครั้งของ บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. หลังจาก บิ๊กต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์