รายงานล่าสุด PISA สะท้อนถึง “วิกฤต” ของระบบการศึกษาของไทยอย่างชัดเจน แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลของนายกฯเศรษฐา ทวีสินยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
นอกจากจะชี้ว่าอาการถดถอยของคุณภาพการศึกษาของไทยนั้นเริ่มต้นมายาวนานแล้ว
แต่นั่นไม่ได้แปลว่ารัฐบาลปัจจุบันจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจพอที่จะต้องประกาศ “ภาวะฉุกเฉิน” ด้านการศึกษาระดับชาติ
ที่ต้องเข้าใจคือ PISA ไม่ใช่การประเมิน “ความรู้” ตามหลักสูตร
แต่เป็นการประเมินความเข้าใจและความสามารถในการประยุกต์ใช้ความรู้กับบริบทต่าง ๆ
ฝรั่งเรียกว่า “literacy” ซึ่งไม่ได้แปลว่า “รู้เท่าทัน” เท่านั้น หากแต่ยังรวมหมายถึงการ “คิดวิเคราะห์” หรือ critical thinking ซึ่งมีการสอนในโรงเรียนไทยน้อยมาก
การเรียนการสอนเพื่อให้มี mindset ที่ทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลกจึงไม่เกิด
ดังนั้นการสอบ PISA จึงไม่ใช่แค่การทดสอบ “ความรู้” ด้านการอ่าน คณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์
หากแต่เป็นการทดสอบ ความฉลาดและมี literacy
หัวข้อทดสอบจึงใช้คำว่า “Reading/Mathematical/Scientific Literacy”
เท่ากับเป็นการเน้นความเข้าใจในเชิงนามธรรม
และการรู้จักใช้ความรู้เพื่อแก้ปัญหาในบริบทที่แตกต่างกัน
ซึ่งก็ไม่มีการสอนเป็นอย่างกิจลักษณะในโรงเรียนของเราอีกเช่นกัน
เขาจึงไม่ได้ให้เด็กขีดถูกขีดผิดหรือเติมคำลงในช่องว่าง
และไม่ได้ให้เด็กบวกลบคูณหารเลขเพื่อใส่คำตอบที่ถูกต้อง
แต่ในโจทย์นี้ เด็กต้อง “วิเคราะห์” ข้อมูลในข้อสอบโดยใช้การคิดแบบวิเคราะห์
ซึ่งอาจจะไม่มีถูกผิด แต่ต้องการจะทดสอบว่าเด็กมีความรอบรู้และใช้วิจารณญาณได้คล่องแคล่วอย่างไร
จึงไม่ใช่เพียงแต่ทดสอง “ความรู้” แต่ต้องการทดสอบ “สติปัญญา”
ซึ่งจากนี้ไปจะมีความสำคัญสำหรับการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้มากขึ้นทุกวัน
ถ้าเทียบระหว่างอุดมศึกษาของไทยกับเวียดนามก็จะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น
ดร.เมธี เวชารัตนา ภาควิชาวิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อม สถาบันเทคฌนโลยรนิวเจอร์ซี สหรัฐอเมริกา และนายกสมาคมนักวิชาชีพไทยในสหรัฐและแคนาดาเคยเขียนไว้ว่า
ข้อแตกต่างของสองประเทศอยู่ที่นโยบายของผู้บริหารมหาวิทยาลัยและอุดมศึกษา
อาจารย์บอกว่าไทยเราเน้นเรื่อง ranking กับ ภาพลักษณ์เฉพาะหน้า วิ่งตาม trends มากกว่าการวางรากฐานการศึกษา และวิจัย ที่มีทิศทางระยะยาวอย่างชัดเจน และมั่นคงแบบของเวียดนาม
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องลงทุนและทิศทางของงานวิจัย หรือของการศึกษา
ดร. เมธีบอกว่าไทยเราเน้น quick fix, quick return ที่ ขาดพื้นฐานที่แข็งแกร่งเพียงพอ
เพราะผู้บริหารแต่ละท่านมาเพียงสั้น ๆ
เพราะสี่ปีนั้นสั้นเกินไปสำหรับการบริหารมหาวิทยาลัย
ยิ่งรัฐมนตรีศึกษาก็อยู่สั้นกว่านั้นอีก
ทำให้ไม่มีผู้บริหารที่สนใจการลงทุนระยะยาว หรือความมั่นคงระยะยาวของอุดมศึกษา มหาวิทยาลัย และการวิจัย
อาจารย์บอกว่าในเรื่องของความสามารถนั้น อาจารย์ไทยไม่แพ้ใครในโลก
แต่ที่น่าเป็นห่วงคือการขาดวิสัยทัศน์ในการบริหาร ที่จะนำพามหาวิทยาลัยและอุดมศึกษาไทยไปสู่การสร้างความสามารถในการแข่งขันระดับโลก
“ดูจากห้องแลปทางด้านวิศวกรรมที่ใช้สอนนักศึกษาระดับ ป.ตรี จะเห็นถึงความล้าหลังอย่างไม่น่าเชื่อ มีใครจำได้บ้างว่า ครั้งสุดท้ายที่รัฐบาลไทยกับมหาวิทยาลัยไทยลงทุนเรื่องเครื่องมือสำหรับการเรียนการสอนทางด้านวิศวกรรม และเทคโนโลยี ของมหาวิทยาลัยไทยไทยอย่างจริงจังคือปีไหน”
ส่วนคุณพริษฐ์ (ไอติม) วัชรสินธุแห่งพรรคก้าวไกลมีข้อเสนอที่น่าสนใจหลายประเด็น
เมื่อคะแนน PISA การศึกษาไทย ลดลงทั้งกระดานก็ถึงเวลาจัดทำหลักสูตรการศึกษาใหม่อย่างจริงจัง
คะแนนของเด็กไทยลดลงมาอยู่ในจุดที่ต่ำสุดในรอบ 20 ปี ในทักษะทั้ง 3 ด้านที่มีการประเมิน โดยมีอันดับอยู่ในครึ่งล่างของตารางทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาคอาเซียน:
- คณิตศาสตร์: คะแนนลดลง 6% (อันดับ 58 จาก 81 ประเทศ-พื้นที่ที่เข้าร่วม)
- การอ่าน: คะแนนลดลง 4% (อันดับ 64 จาก 81 ประเทศ-พื้นที่ที่เข้าร่วม)
- วิทยาศาสตร์: คะแนนลดลง 4% (อันดับ 58 จาก 81 ประเทศ-พื้นที่ที่เข้าร่วม)
ผลลัพธ์นี้เป็นสิ่งที่หลายคนคาดการณ์ได้เนื่องจากคุณภาพของระบบการศึกษาไทยมีแนวโน้มถดถอยมาอย่างต่อเนื่องตลอด 10-20 ปีที่ผ่านมา
แต่หวังว่าผลลัพธ์นี้จะเป็นอีก “สัญญาณเตือนภัย” ที่ทำให้ทุกภาคส่วนเห็นชัดว่าการศึกษาไทยกำลังอยู่ในขั้น “วิกฤต”
พริษฐ์บอกว่าการที่เด็กไทยเรียนหนักเป็นอันดับต้นๆของโลก แต่กลับมีทักษะที่ตามหลังหลายประเทศ สะท้อนให้เห็นชัดว่าปัญหาของการศึกษาไทย ไม่ใช่เพราะเด็กไทยไม่ “ขยัน” แต่เป็นเพราะ “ระบบการศึกษา” ไม่สามารถแปรชั่วโมงเรียนและความขยันของนักเรียนให้ออกมาเป็นทักษะได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่ากับระบบการศึกษาของประเทศอื่น
แม้การยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยจำเป็นต้องอาศัยหลายมาตรการ แต่สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ คือการ “จัดทำหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานฉบับใหม่” มาแทนที่หลักสูตรปัจจุบันที่ไม่ได้มีการเขียนใหม่หรือปรับปรุงขนานใหญ่มาหลายปี
คุณ “ไอติม” บอกว่าหากก้าวไกลเป็นรัฐบาลจะชวนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง (เช่น ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ครู นักเรียน ผู้ปกครอง) มาร่วมออกแบบหลักสูตรให้เสร็จภายใน 1 ปี (เนื่องจากหลายภาคส่วนมีการพัฒนาข้อเสนอเรื่องหลักสูตรใหม่มาสักพักแล้ว) เพื่อเริ่มทยอยนำมาใช้ในแต่ละระดับชั้นให้ครบทั้งหมดภายในวาระของรัฐบาล
“เป้าหมายหลัก” ของหลักสูตรใหม่ ควรเป็นการเน้นพัฒนาทักษะ-สมรรถนะที่นำไปใช้ได้จริงในอาชีพการงานและในชีวิต โดยผมขอเสนอกรอบเบื้องต้นสำหรับการแลกเปลี่ยนเพิ่มเติมเช่น:
- ปรับวิชาหรือเป้าหมายของวิชาให้สอดคล้องกับเป้าหมายหลักเรื่องทักษะ-สมรรถนะ - ทบทวนวิชาที่ควรมีหรือไม่มี รวมถึงการปรับเป้าหมายของแต่ละวิชาให้เน้นทักษะที่สำคัญ มากกว่าแค่การอัดฉีดเนื้อหาหรือข้อมูลให้กับผู้เรียนเป็นหลัก (เช่น ภาษาอังกฤษที่เน้นการสื่อสาร / วิชาประวัติศาสตร์ที่เน้นการวิเคราะห์-ถกเถียง-แลกเปลี่ยน)
- ปรับวิธีการสอน - เสริมทักษะให้ครูสามารถพลิกบทบาทจาก “ครูหน้าห้อง” ที่เน้นถ่ายทอดความรู้หรือข้อมูลผ่านการบรรยายทางเดียว มาเป็น “ครูหลังห้อง” ที่เน้นสร้างบรรยากาศและจัดสรรเวลาในห้องเรียนให้นักเรียนได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นมากขึ้น
- ลดจำนวนชั่วโมงเรียนและคาบเรียน - ปรับจาก 1,200 ชั่วโมงต่อปี เหลือประมาณ 800-1,000 ชั่วโมงต่อปีตามมาตรฐานสากล โดยลดเนื้อหาการเรียนหรือกิจกรรมในส่วนที่จำเป็นลง เพื่อเน้นที่คุณภาพของชั่วโมงเรียน และให้นักเรียนเหลือเวลาเพียงพอสำหรับการเรียนรู้นอกห้องเรียนและการพักผ่อน
- ลดภาระการบ้านและการสอบแข่งขันที่หนักเกินไป - ปรับใช้วิธีประเมินผลรูปแบบอื่น (เช่น การบูรณาการการบ้านหลายวิชา การทำกิจกรรมในเวลาเรียน การทำโครงการกลุ่ม) เพื่อลดภาระและความเครียดที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตของเยาวชนไทย
- เพิ่มเสรีภาพในการเรียนรู้ - ลดวิชาบังคับ และเพิ่มวิชาทางเลือก ให้นักเรียนได้มีอิสรภาพและส่วนร่วมในการออกแบบเส้นทางการเรียนรู้ของตนเอง เพื่อโอบรับความหลากหลายของผู้เรียนที่มีความถนัดและความชอบที่แตกต่างกัน
- เพิ่มการตรวจสอบโดยประชาชน - เพิ่มกลไกในการทำให้หนังสือเรียนและข้อสอบปรับตามและสอดรับกับหลักสูตรใหม่ ผ่านการสร้างแพลตฟอร์มให้ประชาชนตรวจสอบเนื้อหาหนังสือเรียน และการเปิดข้อสอบ TCAS ย้อนหลังทั้งหมดพร้อมเฉลย
- 7. กระจายอำนาจด้านการออกแบบหลักสูตร - วางระบบให้มีหลักสูตร 3 ระดับ (แกนกลาง-จังหวัด-สถานศึกษา) ควบคู่กับการลดกลไกควบคุมจากส่วนกลาง เพื่อให้โรงเรียนมีอำนาจมากขึ้นในการออกแบบหลักสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการและความจำเป็นของผู้เรียนในแต่ละโรงเรียน
- วางกลไกสำหรับการพัฒนาหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง - กำหนดให้ทบทวนหลักสูตรแกนกลางทุก 4 ปี เพื่อให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกและทักษะที่จำเป็นในแต่ละยุคสมัย
- ส่งเสริมการเรียนรู้นอกห้องเรียนและการเรียนรู้ตลอดชีวิต - ออกแบบสภาพแวดล้อมและการเรียนการสอนในห้องเรียนที่เอื้อต่อการ “เติมไฟ” ให้นักเรียนมีความพร้อมในการตั้งคำถามและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ด้วยความตระหนักดีว่าการเรียนรู้ไม่ควรจำกัดอยู่ที่โรงเรียนหรือแค่ในช่วงวัยเรียน
ยังมีข้อเสนอจากผู้รู้ในแวดวงต่าง ๆ เรื่องนี้ที่จะนำมาแลกเปลี่ยนกันต่อไป
เพราะผมเห็นว่านี่คือ “วิกฤต” ของจริงของบ้านเมืองที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกันแก้ไขให้จงได้!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’
ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ


