หลับและฝันดีนะ...พิธา!

"พิธา" มีอิทธิพลต่อ "ตลาดหุ้น" เหมือนกันนะ

ข่าวว่า "รอด" เท่านั้นแหละ

ที่พะงาบๆ ดัชนี "เด้งพรวด" ขึ้นไป ๒๐ กว่าจุด!

สอดรับเสียง "พิธา..นายกฯ..พิธา..นายกฯ" กระหึ่มหน้าศาลรัฐธรรมนูญ บ่ายวาน (๒๔ ม.ค.๖๗)

คำวินิจฉัย "คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ" ด้วย ๘-๑ เสียง มีว่า

"นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์" เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท  ไอทีวี จำกัด (มหาชน) แต่ข้อเท็จจริง "ในทางไต่สวน" รับฟังได้ ว่า

"บริษัทไม่ได้ประกอบกิจการหรือมีรายได้จากกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ"

นายพิธาจึงไม่ใช่ผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง สส. ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๙๘ (๓)

สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกร้องไม่สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๐๑ (๖)

สรุป นายพิธา กลับเข้าสภาตามเดิม!

เรื่องนี้ ขอบอกไว้ล่วงหน้าเลย

ถ้าอ่านคำวินิจฉัยแค่ ๘ บรรทัด โปรดอย่าแสดงความคิดเห็น โดยใช้แค่ความรู้สึก "ตรงใจ-ขัดใจ" วิพากษ์-วิจารณ์เป็นอันขาด

ต้องอ่านให้ครบความ แล้วท่านจะเป็น "ผู้เจริญแล้ว" ในเหตุและผล

เหตุและผลคือ "ดุลยธรรม" เมื่อใจเรารับรู้ถึงดุลยธรรมก็เท่ากับรับรู้ "ความเที่ยงตรง"

เพราะคำวินิจฉัยนี้ ชัดเจนทั้งด้านกฎหมายและด้านข้อเท็จจริงในความจริงที่เป็น

แรกๆ ได้ยินเขาตะโกน "พิธารอดโว้ย" ฉุนกึกคำว่า "อะไรวะ" เกิดขึ้นในใจ แต่พออ่านคำวินิจฉัย จากอะไรวะ เปลี่ยนเป็น "เข้าใจแล้วจ้ะ" ทันที!

ผมสังเกตว่า ศาลฯ คงเดาใจ "ความรู้สึก" แต่ละด้านของคนรอฟังคำวินิจฉัยออก

ฉะนั้น ในคำวินิจฉัย ศาลฯ ท่านจึงวินิจฉัยแยกแยะ "ทีละประเด็น" ให้เห็นและให้เป็นบรรทัดฐานไว้เลย

ผมจะยกมาให้เข้าใจกันไปทีละประเด็น ต่อไปนี้

  • ประเด็นถือหุ้น "ครอบงำสื่อ"

               ตามข้อโต้แย้งของพิธา ที่ว่าไม่มีอำนาจครอบงำกิจการบริษัทไอทีวี เพราะถือหุ้นแค่ ๔๒,๐๐๐  หุ้น คิดเป็นสัดส่วน ๐.๐๐๓๔๘% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท นั้น       

ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า........

บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ห้ามเข้าถือหุ้นในกิจการต้องห้าม ดังนั้น ถือหุ้นเพียงหุ้นเดียว ไม่ว่าจะมีอำนาจบริหารหรือครอบงำกิจการหรือไม่

ก็ถือว่า "ถือหุ้นแล้ว" ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๙๘ (๓) แล้ว

  • ถือหุ้นในฐานะผู้จัดการมรดก

ข้อโต้แย้งกรณีปรากฏชื่อนายพิธาเป็นผู้ครอบครองหุ้น เป็นการครอบครองแทนนายภาษิณ ก่อนโอนหุ้นให้นายภาษิณ นั้น

ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า........

นายพิธารับโอนหุ้นจากนายพงศ์ศักดิ์ตามคำสั่งศาล ซึ่งเป็นการโอนในฐานะผู้จัดการมรดก

แต่นายพิธาก็มีฐานะทายาทที่มีสิทธิในหุ้นดังกล่าว จึงเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทไอทีวี นับตั้งแต่ปี ๒๕๕๐

  • กรณีโอนหุ้นให้ผู้อื่นถือแทน

กรณีที่อ้างไม่ทราบว่าหุ้นสามารถโอนได้เนื่องจากไม่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ จนได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ตลาดหลักทรัพย์ว่าโอนได้ จึงมีการโอนหุ้นให้นายภาษิณ นั้น

ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า .........

เมื่อพิจารณาจากข้อพิรุธหลายประการ จึงยังฟังไม่ได้ว่า นายพิธาโอนหุ้นดังกล่าวจริง

และฟังได้ว่า นายพิธายังเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ ในวันที่พรรคก้าวไกลยื่นบัญชีรายชื่อผู้สมัคร สส.ต่อ กกต.

  • ไอทีวี ยังเป็นสื่อมวลชนหรือไม่?

การประกอบกิจการของบริษัทไอทีวี ยังเป็นสื่อมวลชนหรือไม่ นั้น

ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า....

การพิจารณาว่านิติบุคคลใดเป็นสื่อมวลชนหรือไม่นั้น

ไม่อาจพิจารณาแต่เพียงวัตถุประสงค์ของนิติบุคคลที่จดแจ้งไว้อย่างเดียวเท่านั้น

แต่จะพิจารณาควบคู่กับพฤติการณ์ของนิติบุคคลด้วยว่ามีการประกอบกิจการตามวัตถุประสงค์นั้นหรือไม่

ข้อเท็จจริงปรากฏว่า

บริษัทไอทีวี ระบุวัตถุประสงค์ดำเนินกิจการบริษัททั้งหมด ๔๕ ข้อ ข้อ ๑๘, ๔๐, ๔๑, ๔๓ เป็นกิจการ "สื่อมวลชน"

ต่อมา สปน.มีหนังสือลงวันที่ ๗ มี.ค.๕๐ แจ้ง "บอกเลิกสัญญา" บริษัทไอทีวี         

และจนถึงปัจจุบัน ยังพบข้อมูลจาก "สำนักงานประกันสังคม" ว่า บริษัทไอทีวีหยุดกิจการชั่วคราว ตั้งแต่ ๘ มี.ค.๕๐ จนถึงปัจจุบัน

อีกทั้งเมื่อพิจารณาแบบนำส่งงบการเงิน ปี ๖๐-๖๕     ระบุประเภทธุรกิจว่า "สื่อโทรทัศน์" ระบุสินค้าและบริการว่า "ปัจจุบันไม่ได้ดำเนินการ เนื่องจากติดคดีความ"

มีรายได้จาก "ผลตอบแทนการลงทุนและดอกเบี้ยรับ" ขณะที่บริษัทย่อยก็ "หยุดดำเนินกิจการ" ไปด้วย

เมื่อพิจารณา ภ.ง.ด.๕๐ ตั้งแต่ปี ๖๐-๖๕ ระบุรายได้โดยตรงจากการประกอบกิจการ เป็น ๐ บาท

ระบุรายได้อื่นว่า มาจาก "ดอกเบี้ยรับ"

กรณีเอกสารงบการเงินบริษัทในปี ๖๕ ที่มี ๒ ฉบับนั้น

 "คิมห์ สิริทวีชัย" (ผู้ลงนามการประชุมผู้ถือหุ้น  ITV) เบิกความว่า

เอกสารงบการเงินทั้ง ๒ ฉบับ เป็น "ฉบับจริง"

แต่มีการยื่นเอกสารฉบับหลังแก้ไข "เพื่อยกเลิกเอกสารฉบับแรก" ที่ระบุประเภทสินค้าว่า "สื่อโฆษณา" เป็นไปตามคำแนะนำของ "กระทรวงพาณิชย์"

ว่า "การกรอกงบการเงินในกรณีที่ไม่ได้ประกอบกิจการให้ระบุตามวัตถุประสงค์บริษัท"

ส่วนกรณี "รายงานการประชุมผู้ถือหุ้น" ที่มีผู้ถือหุ้นถามว่า "บริษัทยังประกอบกิจการเป็นสื่อมวลชนหรือไม่"

"คิมห์ สิริทวีชัย" บอกว่า

"การที่ตอบว่าบริษัทยังประกอบกิจการอยู่ตามวัตถุประสงค์ของบริษัทนั้น ไม่ใช่การยืนยันว่าบริษัทยังดำเนินกิจการสื่อมวลชน"

นอกจากนี้ หาก "ศาลปกครองสูงสุด" พิพากษาให้บริษัทชนะคดี จึงจะพิจารณาอีกครั้งหนึ่งว่า "จะดำเนินกิจการต่อหรือไม่"

เมื่อพิจารณาประกอบการนำส่งงบการเงินของบริษัท แม้จากการไต่สวนฟังได้ว่า "บริษัทไอทีวี ตั้งขึ้นเพื่อประกอบกิจการสื่อ"

แต่เมื่อ "งบการเงินตั้งแต่ปี ๖๐-๖๕" ปรากฏข้อมูลที่ตรงกันว่า "ไอทีวีหยุดกิจการ"

ตั้งแต่ "สปน.บอกเลิกสัญญาในปี ๒๕๕๐"

และบริษัท "ไม่มีสิทธิในคลื่นความถี่" ที่จะดำเนินการสถานีโทรทัศน์ได้อีกต่อไป

และเกิดคดีพิพาทในศาลปกครองสูงสุด ซึ่งบริษัทไอทีวี "ไม่ได้ฟ้องร้องเรียกร้องให้มีการคืนสิทธิสถานีโทรทัศน์ให้" แต่อย่างใด                 

และเห็นว่า หากท้ายที่สุด "บริษัทไอทีวี" ชนะคดี

"ก็ไม่มีผลให้ได้รับคืนคลื่นความถี่และประกอบกิจการสื่อโทรทัศน์ได้อีก"

สรุปได้ว่า.......

บริษัทไอทีวี "ไม่มีสิทธิประกอบกิจการสื่อโทรทัศน์" ตามกฎหมาย ตั้งแต่วันที่ ๗ มี.ค.๕๐

การที่บริษัทไอทีวียังคงสถานะนิติบุคคลเดิมไว้ ก็เพื่อ "การดำเนินคดีที่ค้างอยู่ในศาล" เท่านั้น

นอกจากนี้ ไม่ปรากฏบริษัทมีรายได้จากการประกอบกิจการที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชน

แต่มีรายได้จากผลตอบแทนจากการลงทุนและดอกเบี้ยรับ และการที่นายคิมเบิกความว่า

"หากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้บริษัทไอทีวีชนะคดี จะมีการพิจารณาอีกครั้ง ระหว่างกรรมการบริษัทและผู้ถือหุ้น ว่าบริษัทจะดำเนินกิจการต่อไปหรือไม่"

ซึ่งอาจประกอบกิจการสื่อมวลชนหรือประกอบกิจการตามวัตถุประสงค์บริษัทข้อใดข้อหนึ่งจาก  ๔๕ ข้อ ก็ได้

ซึ่งเป็น "เรื่องในอนาคต"

จึงแสดงให้เห็นว่า ตั้งแต่ "สปน.บอกเลิกสัญญา" จนถึงปัจจุบัน บริษัทไอทีวีไม่ได้ประกอบกิจการที่เกี่ยวกับสื่อมวลชน         

อีกทั้ง "ไม่ปรากฏหลักฐาน" ว่าบริษัทไอทีวี ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการเกี่ยวกับสื่อมวลชนต่างๆ

รวมทั้งกิจการภาพยนตร์ วีดิทัศน์ และสื่อโฆษณา

ดังนั้น ณ วันที่นายพิธาสมัครรับเลือกตั้ง สส. บริษัทไอทีวีไม่ได้ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ

การถือหุ้นดังกล่าว....

จึงไม่ทำให้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา  ๙๘ (๓) อาศัยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงวินิจฉัยว่า

"สมาชิกภาพ สส.ของนายพิธา" ไม่สิ้นสุดลง  ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๐๑ (๖) ประกอบมาตรา ๙๘ (๓)

.............................

สรุป ตามคำวินิจฉัยศาลฯ 

-ไอทีวี เป็นหุ้นสื่อ

-ถือหุ้นเดียวก็ผิด

-รับโอนมรดกก็ผิด

แต่ที่พิธารอด ทั้งที่บริษัทไอทีวียังไม่ได้จดแจ้งเลิก

ตรงนี้ ต้องทำความเข้าใจให้ชัด

บริษัทไอทีวี จุดประสงค์ทางธุรกิจ ไม่ได้มีเฉพาะทำสื่ออย่างเดียว หากแต่จดในการตั้งบริษัทไว้ ๔๕ ข้อ คือ ๔๕ แขนงธุรกิจ

แต่ตั้งแต่ ๗ มี.ค.๕๐

"สิทธิประกอบกิจการสื่อโทรทัศน์" ของไอทีวี ไม่มีแล้ว

เพราะ "สำนักงานปลัดสำนักนายกฯ" เจ้าของ "คลื่นความถี่" บอกเลิกสัญญากับบริษัทไอทีวีไปแล้ว

บริษัทไอทีวีกลับมาทำ "สถานีโทรทัศน์" อีกไม่ได้แล้ว

ทั้งกิจการสื่อด้านอื่น ไอทีวีก็ไม่มีใบอนุญาตเลย

ที่สำคัญ.......

ที่ฟ้องร้องอยู่ใน "ศาลปกครองสูงสุด" บริษัทไอทีวี ไม่ได้ฟ้องเรียกร้องให้ สปน. "คืนสิทธิสถานีโทรทัศน์" ให้แต่อย่างใด!

นั่นคือ ตั้งแต่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๐ จนถึงขณะนี้  บริษัทไอทีวียังอยู่ แต่สิทธิประกอบธุรกิจสื่อไม่มีแล้ว

พูดชัดๆ หุ้นในบริษัทไอทีวี ตั้งแต่ ๗ มี.ค.๕๐ ไม่ใช่หุ้นสื่อแล้ว!

"พิธา" รอดตรงนี้

ต้องไปขอบคุณ "นายคิมห์ สิริทวีชัย" (ผู้ลงนามการประชุมผู้ถือหุ้น ITV) ที่มาเบิกความเขาซะ

ที่เขาเอาหนังสือ สปน.บอก "แจ้งเลิกสัญญากับ บ.ไอทีวี" มาแสดง

นำเอกสารหลักฐาน "หยุดกิจการ" จากสำนักงานประกันสังคม และแบบนำส่ง "งบการเงิน ปี ๖๐-๖๕" มาแสดง

ระบุประเภทธุรกิจ "สื่อโทรทัศน์" ว่าไม่ได้ดำเนินการเพราะ "ติดคดีความ" ผลประกอบการเป็น ๐ มาแสดง

ครับ...ก็ชอบด้วยนิติธรรมและดุลยธรรม

ยินดีด้วยกับ "พิธา" ที่ได้กลับเข้าสภาและเป็น "นายกฯ ว่าว" ของชาวส้มอีกครั้้ง

แถมท้ายนิด เพื่อ "ความดีใจ" คงที่ของชาวส้ม

คดี "พิธา-ก้าวไกล" หาเสียงด้วยการให้ "ยกเลิกมาตรา ๑๑๒" และศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย  ๓๑ ม.ค.นี้ นั้น

ทะแนะเปลว "ฟันธง" ให้เลยว่า รอด ๑๐๐%

๑.เพราะ ๑๑๒ เป็นเพียงมาตราหนึ่งของกฎหมาย

๒.ไม่เข้าลักษณะต้องห้ามหาเสียงของ กกต.

๓.เป็นเพียง "พูด" ยังไม่มีการลงมือ "ทำ" และ

๔.เมื่อยังไม่ทำ ความผิดจึงยังไม่เกิด

ก็หลับให้สบายและฝันถึงว่าวต่อไปนะ..พิธา!

-เปลว สีเงิน

๒๕ มกราคม ๒๕๖๗

 

คนปลายซอย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

🛑LIVE ‘ดร.สุวิชา’ เปิดชัดๆ นิด้าโพล เลือกตั้ง’69 พลิกล็อก.!? พรรคต่อพรรค-ภาคต่อภาค | อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร

‘ดร.สุวิชา’ เปิดชัดๆ นิด้าโพล เลือกตั้ง’69 พลิกล็อก.!? พรรคต่อพรรค-ภาคต่อภาค อิสรภาพแห่งความคิด กับ..สำราญ รอดเพชร : วันเสาร์ที่ 06 ธันวาคม พ.ศ.2568

๕ ธันวา ‘ฟ้าอวยชัย’

๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๐ “พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร”

ประณีต 'ข้าวแบรนด์โลก'

เมื่อ ๘๐-๙๐ ปี ที่แล้ว.... ในหนังสือเรียนชั้นประถมปีที่ ๑ ครูให้ท่อง “สินค้าส่งออกที่ขึ้นหน้า-ขึ้นตาของไทย" ไม่ใช่ “ดินสอพอง” หรือ “แป้งผัดหน้า”

เงิน ‘ประชามติ’ แจกน้ำท่วม

มันเป็น “ความสุขอย่างหนึ่ง” ของคน “บางจำพวก” ที่ได้อาศัย “ความทุกข์” ชาวบ้าน จากน้ำท่วมหาดใหญ่และหลายๆ จังหวัดในภาคใต้ ยกเป็นเหตุ ขยี้ขยำ ตำกระทืบ “นายกฯ อนุทิน”

“มิตรในยามยาก”

“หาดใหญ่”...มันใหญ่ที่ไหน รู้มั้ย? มันใหญ่ที่ “ใจ” นั่นไง! มหาอุทกภัยครั้งนี้ ก็เข้าใจ ว่ามันรากเลือดหนักหนา-สาหัส แต่ทำไงได้

‘ดี-ร้าย’ อยู่ที่ ‘มุมมอง’

แล้วก็มาถึง “เดือนสุดท้ายของปี ๒๕๖๘ จนได้! นึกย้อนไปเมื่อ ๒๑ ปีที่แล้ว ๒๖ ธันวา.๔๗ “สึนามิ” ถล่ม ๖ จังหวัดใต้ ภูเก็ต, พังงา, ระนอง, กระบี่, ตรัง และสตูล ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวต่างชาติ เสียชีวิต ร่วม ๖,๐๐๐ คน เจ็บประมาณ ๘,๐๐๐ คน และสูญหายจำนวนมาก