
(ต่อจากตอนที่แล้ว) ในรายงานวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1932 (พ.ศ. 2475) ของพันโท อองรี รูซ์ ผู้ช่วยทูตทหารบกและทหารเรือประจำสยาม ประจำสถานอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำสยาม เรื่อง เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในเมืองหลวงของสยาม
“สืบเนื่องจากรายงานฉบับที่ 22/A ลงวันที่ 24 มิถุนายนฉบับที่แล้วของข้าพเจ้า (ดูตอนที่ 5/ผู้เขียน) ว่าด้วยการยึดอำนาจโดยทหารในบางกอกเมื่อเช้าวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา ส่งถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ข้าพเจ้ามีความยินดีที่จะรายงานให้ท่านทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบางกอกหลังจากวันก่อการปฏิวัติ 1 สัปดาห์
เรื่องที่จะรายงาน ได้แก่
เรื่องที่ 1 – พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยอมรับคำขาดที่ได้รับทูลเกล้าฯถวายและทรงยอมรับรัฐบาล ‘คณะราษฎร’
เรื่องที่ 2 – การประกาศใช้รัฐธรรมนูญปกครองแผ่นดิน (แนบฉบับแปลมา ณ ที่นี้ด้วย)
เรื่องที่ 3 – การแต่งตั้งคณะรัฐบาลชุดใหม่
1.ท่าทีของบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการทำรัฐประหาร
ในส่วนของพระมหากษัตริย์ ได้กล่าวไปในตอนที่แล้ว ต่อไปเป็นรายงานเกี่ยวกับท่าที่ของพระบรมวงศานุวงศ์
“เห็นได้ชัดว่า การปฏิวัติครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อต่อต้านพระบรมวงศานุวงศ์ และดูเหมือนว่า ความคิดเรื่องนี้จะเป็นเอกฉันท์ ในสยาม มีชนชั้นมูลนายจำนวนมาก แม้ว่าราชวงศ์จักรีพยายามจะลดจำนวนพระบรมวงศานุวงศ์โดยเร็วตั้งแต่ 150 ปีที่แล้ว (ทราบกันว่า บรรดาศักดิ์ของเจ้านายแต่ละพระองค์จะลดทอนลงหนึ่งลำดับทุกๆรุ่น และเมื่อสิ้นสุดรุ่นที่ 5 แม้แต่ผู้สืบสายพระโลหิตของกษัตริย์ก็จะกลายเป็นสามัญชน) rพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชโอรสและพระราชธิดาประมาณ 80 พระองค์ แม้กระทั่งทุกวันนี้ พระบรมวงศานุวงศ์เหล่านี้ก็ยังมีผลประโยชน์มหาศาล อาทิ ได้รับเบี้ยหวัดพิเศษ ได้รับพระราชทานที่อยู่อาศัยจากพระมหากษัตริย์ (ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินทั้งหมดในราชอาณาจักรและเป็นเจ้าชีวิตของพสกนิกร) มีตำแหน่งในกองทัพและฝ่ายบริหารราชการ”
ต่อความเห็นของนายพันโท อองรี รูซ์ ที่ว่า “พระมหากษัตริย์ ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินทั้งหมดในราชอาณาจักร” ผู้เขียนเห็นว่า มีความเป็นไปได้ที่จะมีความหมายสองประการ ประการแรก ผู้เขียนพยายามมองนายพันโท อองรี รูซ์ในแง่ดี คือ นายพันโท อองรี รูซ์ กำลังกล่าวในทางหลักการทฤษฎี ประการที่สอง นายพันโทอองรี รูซ์ เข้าใจผิด เพราะในปี พ.ศ. 2444/5 (ร.ศ. 120) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้เสนาบดีกระทรวงเกษตริธการจัดทำทะเบียนที่ดินเพื่อเป็นหลักฐานเกี่ยวกับโฉนดที่ดิน ให้ผู้ที่มีชื่อเป็นผู้ถือครองโฉนดที่ดินเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินมีอำนาจในที่ดินนั้น รัฐไม่สามารถมาทวงที่ดินคืนได้ สาเหตุที่ให้มีการจัดทำทะเบียนที่ดินขึ้น เพราะพระองค์ทรงพบว่ามีการร้องเรียนเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นจำนวนมาก [1] ส่วนการกล่าวว่า “พระมหากษัตริย์เป็นเจ้าชีวิตของพสกนิกร” ก็เช่นกัน มีความเป็นไปได้ที่จะมีความหมายสองประการดังที่กล่าวไปข้างต้น เพราะได้เริ่มมีการใช้กฎหมายลักษณะอาญาขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. 2447/8 (ร.ศ. 127) โดยพระองค์ทรงให้มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายไทยให้เป็นกฎหมายที่ทันสมัยและยอมรับกันโดยทั่วไปเช่นเดียวกับที่ใช้ในยุโรป [2]
--------------
ในรายงานของนายพันโทอองรี รูซ์ ได้กล่าวต่อไปว่า
“ตั้งแต่แรกเริ่ม ‘คณะราษฎร’ ออกประกาศการจับกุมพระบรมวงศานุวงศ์ในลำดับชั้นที่ 1 และ 2 (ชั้นสมเด็จฯ เจ้าฟ้าและพระเจ้าบรมวงศ์เธอ) หลังจากถูกกักขังอยู่ในพระราชวังดุสิต (พระราชวังแห่งใหม่ ซึ่งเป็นที่ทำการของรัฐบาลชั่วคราว) พระบรมวงศานุวงศ์ส่วนใหญ่จึงถูกปล่อยตัวให้กลับวังที่ประทับของแต่ละองค์ตามลำดับ โดยมีทหารติดอาวุธควบคุมดูแล คงเหลือก็แต่ สมเด็จฯเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต (พระบรมเชษฐาในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย และอาจได้รับสถาปนาเป็นรัชทายาท) และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร (กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน พระโอรสในเจ้าจอมมารดา ซึ่งดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงพานิชย์และคมนาคม ดูเหมือนว่า ความเคียดแค้นชิงชังของคณะราษฎรจะตกอยู่กับพระบรมวงศานุวงศ์สองพระองค์นี้
ก่อนหน้าการรัฐประหารเพียงไม่กี่วัน หนังสือพิมพ์สยามฉบับหนึ่งเรียกกรมพระนครสวรรค์วรพินิตอย่างเปิดเผยฝ่า เป็น ‘คนทรยศต่อชนชาติไทย’ (พระองค์เพิ่งไปแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลในเรื่องดังกล่าว) ในบทความเดียวกันนั้น กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธินถูกกล่าวหาว่า นำเงินของประเทศไปใช้ในต่างประเทศอย่างฟุ่มเฟือยเพื่อผลประโยชน์ส่วนพระองค์ ทหารปืนใหญ่นายหนึ่งที่เฝ้าพระราชวังดุสิตและจากมาตอนเย็นวานนี้ ฉวยโอกาสสองสามนาทีมาเข้าพบข้าราชบริพารใกล้ชิดในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 คนหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าก็อยู่ด้วยในตอนนั้น บอกว่า เจ้านายบอกเขาและเพื่อนๆว่า ทรัพย์สินต่างๆของพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งสองพระองค์นี้ มีจำนวนมากกว่าร้อยล้านบาท (1 บาท มีค่าเท่ากับ 8.20 ฟรังก์) และด้วยเงินจำนวนดังกล่าว สยามจะมั่งคั่งบริบูรณ์ไปอีกนาน
กรมพระนครสวรรค์วรพินิตยังคงถูกควบคุมตัวอยู่ที่พระราชวังดุสิต ซึ่งดูเหมือนพระองค์จะถูกปฏิบัติอย่างไร้ความปรานีและไม่ให้เกียรติแต่ประการใด ส่วนกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธินเสด็จกลับวังของพระองค์และเจอทหารเฝ้ารักษาการณ์อย่างแน่นหนา ทุกคนต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธินจะต้องไปให้การต่อศาลฎีกา เพื่อตอบคำถามในข้อกล่าวหายักยอกเงินดังที่ถูกกล่าวหา เจ้านายเชื้อพระวงศ์องค์ที่ 3 ในฐานะขุนนางชั้นผู้ใหญ่ คือ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพที่เพิ่งจัดงานฉลองพระชนมายุครบรอบ 70 พรรษาอย่างยิ่งใหญ่เมื่อ 3 วันก่อน โดยเชิญชาวยุโรปในสยามจำนวนมากและชนชั้นสูงชาวสยามมาร่วมงาน พระองค์เพิ่งถูกปล่อยตัวให้เสด็จกลับวังภายใต้การดูและอย่างใกล้ชิด สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (นายกสภาหอพระสมุดและราชบัณฑิตยสภา) ไม่ถูกตำหนิในข้อหาที่ชัดเจน นอกเหนือจากข้อกล่าวหาในบทความหนังสือพิมพ์สยามฉบับหนึ่งที่ว่า พระองค์เป็นต้นคิดที่จะคืนดินแดนพระตะบองให้อินโดจีนเมื่อ 25 ปีก่อน
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านักขัตรมงคล กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ ซึ่งสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเสนาธิการทหารบกฝรั่งเศส รุ่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ถูกกักตัวไว้ในพระราชวังดุสิตเช่นเดียวกับกรมพระนครสวรรค์วรพินิต พระองค์ถูกมองว่า เป็นนายทหารที่ฉลาดปราดเปรื่องมาก และสร้างปัญหาให้รัฐบาลชุดใหม่ได้ ยิ่งกว่านั้น อาจเป็นไปได้ว่า ทรงมีปัญหาขัดแย้งในหน้าที่ราชการกับหัวหน้าผู้ก่อการปฏิวัติ พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา รองผู้บัญชาการทหารบก
สำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ใน 3 อันดับแรก (ได้แก่ สมเด็จฯ เจ้าฟ้า 10 พระองค์ ที่เป็นพระปิตุลาและพระเชษฐาธิราชในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมวงศานุวงศ์อื่นๆที่เป็นพระญาติใกล้ชิดและพระราชนัดดาจำนวน 33 พระองค์ รวมทั้งเจ้านายชั้นพระองค์เจ้าอีก 131 พระองค์ มีเพียงสมเด็จพระสังฆราชเจ้าองค์ที่ 11 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์พระองค์เดียวเท่านั้นที่ได้รับการยกเว้น) ดูเหมือนว่า รัฐบาลชุดใหม่จะกีดกันพระบรมวงศานุวงศ์เหล่านี้ให้พ้นจากกองทัพตลอดไป และอาจจะพ้นจากการบริหารราชการทุกประเภทก็เป็นได้”
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
(พันโท อองรี รูซ์มีความสามารถทางด้านภาษา สามารถพูดได้หลายภาษา ได้แก่ เยอรมัน สเปน ลาว เวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาไทย. ข้อความทั้งหมดข้างต้น มาจาก การปฏิวัติสยาม ๒๔๗๕ ในทัศนะของพันโท อองรี รูซ์, Henri Roux เขียน พิมพ์พลอย ปากเพรียว แปล, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน: 2564) หน้า 33, 35-36)
[1] ฐิติมา เงินอาจ, ธัญวรรณ อาษาสำเร็จ, วรดา สังอุดม, อรยา สอนโก่ย และเชาวลิต สมพงษ์เจริญ, “จากโฉนดที่ดินฉบับแรกของสยามสู่การได้กรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินตามพระราชบัญญัติการออกโฉนดที่ดิน ร.ศ. 127” วารสารวิชาการวิทยาลัยบริหารศาสตร์ ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 (เมษายน-มิถุนายน 2563), หน้า 151.
[2] ดู “กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127” ฐานข้อมูลสถาบันพระปกเกล้า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ไทยก้าวใหม่ : ก้าวใหม่ให้ไทยสตรอง เดินหน้าขับเคลื่อนธนู4 ดอก กับโอกาสปักธง แจ้งเกิดเลือกตั้ง 69
“พรรคไทยก้าวใหม่”ที่มี ดร.เอ้ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตนักการศึกษาชื่อดัง-อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นหัวหน้าพรรคถือเป็นอีกหนึ่งพรรคการเมืองใหม่ที่เปิดตัวมาก่อนการยุบสภาฯ
จบเลือกตั้ง 8ก.พ.2569 อนุทิน นายกฯรอบสอง
รายการ ไทยโพสต์ อิสรภาพแห่งความคิด สัมภาษณ์พิเศษซินแสชื่อดังที่ทุกคนรู้จักกันดี ภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล ประธานสถาบันศาสตร์แห่งชีวิตแห่งประเทศไทย-อดีตสมาชิกวุฒิสภา
‘เท้ง’กลัวไม่ได้ตั้งรัฐบาล
กกต.เผยรับสมัคร สส.ทั้ง 400 เขตเรียบร้อยดี เตรียมรับสมัคร สส.บัญชีรายชื่อวันอาทิตย์นี้ เตือนประชาชนโพสต์ข้อความผิด กม.เลือกตั้ง เจอคุก 10 ปี
‘อภิสิทธิ์’ ขอคะแนน กทม. ชี้ 2 เดือน กระแส ปชป. ดีขึ้น ย้ำการเมืองสุจริต
หัวหน้าประชาธิปัตย์ระบุ กระแสตอบรับช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาเป็นบวก ย้ำไม่มีใครเป็นเจ้าของประชาชน ตั้งคำถามเลือกตั้ง กทม. สองรอ
'อนุทิน' ห้อยเหรียญพระนเรศวรบุกกรุงเก่า ขึ้นสแตนด์เชียร์ลุ้นจับเบอร์ผู้สมัคร สส.อยุธยา
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พร้อมด้วย นางสาวธนนนท์ นิรามิษ ภริยา เดิน
เรื่องขี้ๆหน้าที่เรา ‘เรืองไกร’ นำ พปชร.ชิง 22 เขต กทม.
"เรืองไกร" นำ 22 ขุนพล กทม. สมัครชิงเก้าอี้ เลือกตั้ง 69 ชู สโลแกน “เรื่องขี้ๆ หน้าที่เรา” ลั่น กรุงเทพฯ ต้องดีกว่าเดิม พร้อมชนทุกปัญหา ด้าน"ปิติพงษ์"นำ ว่าที่ผู้สมัครหญิงหนึ่งเดียว"ศรัณย์รัชต์" ลงชิงพื้นที่กทม.

