คนมะกันมีทางเลือกคนที่จะมาเป็นประธานาธิบดีแค่สองผู้เฒ่าอย่างนั้นหรือ?
นี่คือสัญญาณของ “ประชาธิปไตยขาลง” หรือเปล่า?
ทำไมทั้งสองพรรคการเมืองหลักจึงหาคนอายุน้อยกว่านี้และที่มีสมองและประสบการณ์มาเป็นผู้นำไม่ได้?
เป็นคำถามคาใจคนทั่วโลกไม่น้อย
สำหรับคนอเมริกัน คงเป็นคำถามที่ต้องหาคำตอบให้ได้ก่อนที่สหรัฐฯจะกลายเป็นประเทศที่หาคนเก่งทำยายาก
ประวัติศาสตร์ต้องจารึกว่าการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีปี 2024 ทั้งประธานาธิบดีโจ ไบเดน และอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้สมัครที่อายุมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา
โจ ไบเดน 81 ปี
โดนัลด์ ทรัมป์ 77 ปี
แต่ดูเหมือนไบเดนจะโดนโจมตีประเด็นอายุมากกว่าทรัมป์
คลิปของแต่ละฝ่ายจะออกมาสะท้อนถึงความจำที่เสื่อม ภาษาที่ต่อไม่ติด พูดจากเลอะเลือนในบางครั้ง
ทรัมป์จำอะไรผิด ๆ ถูก ๆ เช่น ยกย่องนายกรัฐมนตรีฮังการี วิคเตอร์ ออร์บัน แต่เรียกเขาว่าเป็นผู้นำประเทศตุรกี
อีกวันหนึ่งก็เรียกนิกกี้ เฮลีย์ คู่แข่งของเขาสับสนเป็นแนนซี เปโลซี อดีตประธานสภาผู้แทนฯ
ไบเดนก็ใช่หยอก
ขานชื่ออดีตผู้นำยุโรปที่เสียชีวิตไปแล้วตอนเอ่ยถึงเพื่อนร่วมงานร่วมสมัยอีกคน
และเรียกชื่อประเทศอียิปต์เป็นเม็กซิโก
ผลสำรวจความคิดเห็นของนิวยอร์กไทมส์/เซียนาของ 6 รัฐในสมรภูมิการเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่มีความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับอายุของนายไบเดน
โดย 70 เปอร์เซ็นต์บอกว่า “แก่เกินแดง” แล้ว
แต่ขณะเดียวกัน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งน้อยกว่าครึ่งหนึ่งแสดงความกังวลแบบเดียวกันเกี่ยวกับนายทรัมป์
นั่นแปลว่าแม้ว่าเราจะรู้ว่าผู้สมัครทั้งสองคนมีอายุห่างกันแค่ 3 ปีครึ่ง แต่ฝ่ายหนึ่งดูเหมือนจะถูกตำหนิเรื่องอายุมากกว่านี้เล็กน้อย
นักวิเคราะห์ลงรายละเอียดบอกว่าความแตกต่างอาจจะมาจากลีลาและน้ำเสียงส่วนตัวของทั้งสองคน
สังเกตว่าระดับเสียงพูดจาของไบเดนนุ่มนวลและแหบแห้งมากขึ้นกว่าเดิม
ผมบางลงและหงอกมากขึ้น
หุ่นของไบเดนสูงและผอมเพรียว แต่อาการเดินเหินเริ่มจะโงนเงน
มากกว่าตอนสมัครชิงตำแหน่งในปี 2019 และ 2020
นักข่าวสังเกตเห็นไบเดนทำน้ำหกต่อหน้าสาธารณชนบ่อยขึ้น
ปั่นจักรยานก็เกิดล้มและยังมีอาการเดินสะดุดหกล้มหลายครั้ง
แต่ท่าทางของทรัมป์ดูเหมือนจะไม่มีอาการโซเซแบบไบเดนมากนัก
นักสังเกตการณ์บอกว่าทรัมป์ย้อมผมให้ดูเป็นสีที่ไม่ค่อยธรรมชาตินัก
ด้วยรูปร่างหนาและสูง ทำให้ทรัมป์ดูแข็งแรงกว่าไบเดนในยามปรากฏตัวต่อหน้าฝูงชน
บางครั้งทรัมป์ตอนเวที จะแสดงอาการชื่นชมกับแฟน ๆ อยู่หลายนาที ก่อนจะเริ่มพูด
บางทีก็เต้นรำไปพร้อมกับเพลง
ภาษาการปราศรัยก็จะดุดัน ร้อนแรง และปลุกเร้ามากกว่าไบเดน
บางทีพูดคนเดียวเป็นชั่วโมง สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของร่างกายได้ระดับหนึ่ง
ความจริง ทรัมป์แสดงอาการป้ำ ๆ เป๋อ ๆ ไม่น้อยกว่าไบเดน
แต่เขามีวิธีสลัดมันทิ้งได้ทันควัน ทำให้แฟนคลับไม่มองว่าเป็นอาการของคนแก่เกินวัย
แต่บางคนก็บอกว่าในการพูดคุยนั้น ไบเดนยังคงเฉียบคมมากกว่าทรัมป์
ข้อมูลทางการแพทย์ของทั้งสองคนก็ไม่มีรอยตำหนิอะไรร้ายแรง
เมื่อเกือบหนึ่งปีที่แล้ว ทำเนียบขาวได้เผยแพร่จดหมายจากแพทย์ที่เป็นที่รู้จักกันมานานของไบเดน
ใบรับรองแพทย์ระบุว่าไบเดนเป็น “ชายวัย 80 ปีที่แข็งแรง” หลังจากการตรวจร่างกาย
แต่ทำเนียบขาวไม่ได้ให้นักข่าวเข้าถึงแพทย์ได้
เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ทรัมป์ออกข่าวเกี่ยวกับการไปตรวจร่างกาย เป็นรายการที่ค่อนข้างคลุมเครือ
แต่บ่อยครั้งในช่วงหลัง ทรัมป์เริ่มจะพูดจาแบบงง ๆ และมีความจำเพี้ยนไปในหลายเรื่อง
เช่น อ้างว่าเขาชนะเลือกตั้งบารัค โอบามา ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016 ทั้ง ๆ คือฮิลลารี คลินตัน
อีกวันหนึ่งก็เตือนว่าประเทศนี้กำลังจะเจอกับ “สงครามโลกครั้งที่ 2” มีคนเห็นทรัมป์เดินงก ๆ เงิ่น ๆ ไปตามทางลาด
อีกวันหนึ่ง นักข่าวแอบเห็นทรัมป์พยายามจะถือแก้วน้ำที่หลุดมืออยู่หลายครั้ง
แต่ทรัมป์ก็ยืนยันว่าท่ามกลางรายงานข่าวเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย เขายังเป็น "อัจฉริยะที่มั่นคงมาก"
ทุกวันนี้ ทรัมป์ล้อเลียนไบเดนเรื่องอายุเป็นประจำ
แต่อารมณ์หุนหันพลันแล่นประกอบกับการพูดจาเลอะเทอะบ่อยครั้งตอกย้ำถึงภาพลักษณ์ของทรัมป์ในฐานะตัวแทนแห่งความโกลาหลที่ไร้การปรับปรุงหรือปรุงแต่ง
บางคนบอกว่านั่นคือเคล็ดลับของการที่ทรัมป์ได้รับความนิยมของคนในพรรครีพับลิกัน
สำหรับนักการเมือง บางที “ความเพี้ยน” ก็กลายเป็นเรื่องคุณสมบัติด้านบวกก็ได้
แต่ในกรณีของไบเดนพูดอะไรพล่อยๆ ไม่ได้ จะเกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ได้ทันที
เหมือนกับว่าคนอเมริกันตั้งมาตรฐานของทั้งสองคนไว้ต่างกันพอสมควร
ในแง่หนึ่งทรัมป์เป็นนักการเมืองผู้ให้ความบันเทิงมากกว่านักการเมืองในหลาย ๆ ด้าน
ขณะที่ผู้คนคาดหวังว่าไบเดนต้องสุขุมและนิ่มนวลกว่า
พูดง่าย ๆ คือคนอเมริกันมีความคาดหวังกับสองคนที่แตกต่างออกไป
หรือเป็นเพราะทรัมป์เคยเป็นดาราเรียลลิตี้โชว์ทางทีวีมาก่อน ผู้คนจึงยอมรับเขาในอีกรูปแบบหนึ่ง
ไบเดนใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในการเมือง ไม่เคยเป็นนักพูดในที่สาธารณะที่มีพรสวรรค์
ความจริง ตอนเด็ก ไบเดนเคยพูดติดอ่างมากด้วยซ้ำ
จึงมักจะเสี่ยงการพูดอะไรที่ซับซ้อนและหากยามใดที่ต้องพูดโดยไม่มีสคริปต์ กองเชียร์จะมีความวิตกกังวลมานานแล้ว
ท้ายที่สุด ไม่ว่าไบเดนหรือทรัมป์ชนะเลือกตั้ง ใครที่เป็นรองประธานาธิบดีก็ต้องมีความพร้อมที่จะรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะต้องรักษาการตำแหน่งประธานาธิบดี
เพราะในวัยนี้ ท่ามกลางความเครียดหนักของการทำหน้าที่ในตำแหน่งนี้ อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้เสมอกับคนที่นั่งทำเนียบขาวหลัง 20 มกราคมปีหน้าเป็นแน่แท้!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ตัวแปรหลักในสงคราม คือ ‘เจ้าพ่อเมียวดี’
คนที่ชายแดนแม่สอดบอกว่า ถ้าอยากจะเข้าใจสถานการณ์ความขัดแย้งในเมียวดีต้องรู้จักคนชื่อ พันเอก หม่อง ชิตตู่
เวียดนามกวาดล้างโกงกิน ระดับนำร่วงคนที่ 3 ในปีเดียว
เวียดนามเขย่าระดับสูงอย่างต่อเนื่อง...เป็นการยืนยันว่าจะต้อง “ชำระสะสาง” ให้สามารถจะบอกประชาชนและชาวโลกว่ายึดมั่นเรื่องธรรมาภิบาลและความโปร่งใสอย่างจริงจัง
สี จิ้นผิงบอกบลิงเกน: จีน-มะกัน ควรเป็น ‘หุ้นส่วน’ ไม่ใช่ ‘ปรปักษ์’
รัฐมนตรีต่างประเทศแอนโทนี บลิงเกนไปเมืองจีนครั้งล่าสุดเมื่อสัปดาห์ก่อนเจอกับ “เล็กเชอร์” จากประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเป็นชุด
สมรภูมิยะไข่: อีกจุดเดือด กำหนดทิศทางสงครามพม่า
หนึ่งในกองกำลังชาติพันธุ์ที่กำลังกล่าวขวัญกันอย่างกว้างขวางว่าได้ปักหลักสู้กับรัฐบาลทหารพม่าอย่างแข็งแกร่งคือ “อาระกัน” หรือ Arakarn Army (AA) ในรัฐยะไข่ ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศ ติดชายแดนบังคลาเทศ
ส่องกล้องสนามรบทั่วพม่า : แพ้ไม่ถาวร, ชนะไม่เบ็ดเสร็จ
แม้ว่าการสู้รบในเมียวดี ตรงข้ามกับแม่สอดดูจะแผ่วลง เพราะมีการต่อรองผลประโยชน์สีเทากันระหว่างกลุ่มต่างๆ แต่สงครามในเขตอื่นๆ ทั่วประเทศพม่ายังหนักหน่วงรุนแรงต่อไป
เมียวดี: สงคราม, ทุนสีเทา, กาสิโน, มาเฟียและยาเสพติด
สงครามในเมียวดีตรงข้ามแม่สอดของจังหวัดตากของไทยซับซ้อนกว่าเพียงแค่การสู้รบแย่งชิงพื้นที่ระหว่างฝ่ายกองทัพพม่ากับฝ่ายต่อต้านเท่านั้น