สัปดาห์ก่อน ทิม คุก ซีอีโอของ Apple บินข้ามไทยไปเวียดนาม, อินโดนีเซียและสิงคโปร์ เพื่อสรุปแผนการลงทุนหรือเพิ่มกิจกรรมในประเทศเหล่านั้น
แต่แกไม่ยักแวะมาประเทศไทย
ทั้งๆ ที่เมื่อเดือนก่อนหน้านั้น นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน บอกว่าทิม คุก ขอมาพบตอนไปเยือนอเมริกา และได้ “แสดงความสนใจ” ที่จะ “ศึกษาความเป็นไปได้” ที่จะมาลงทุนในไทย
แต่แล้วเรื่องก็เงียบหายไป
มาเป็นข่าวอีกที แกก็ขึ้นภาพและข้อความ ถ่ายเซลฟีกับคนรุ่นใหม่ที่เป็นมันสมองด้านเทคโนโลยีของเพื่อนบ้านเรา
เพราะ Apple ไปเปิดสถาบันบ่มเพาะคนรุ่นใหม่ให้เรียนรู้เทคโนโลยีที่สอดคล้องกับการขยายตัวของธุรกิจของเขาในประเทศเหล่านั้น
ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ China Plus One ของหลายๆ บริษัทที่เริ่มจะหวาดหวั่นต่อความไม่แน่นอนของจีน
ยุทธศาสตร์นี้สำหรับ Apple หมายถึงการโอนฐานการผลิตส่วนหนึ่งจากจีนมายังประเทศใกล้เคียงในอาเซียน
เพราะเศรษฐกิจจีนเริ่มเจอปัญหาเรื่องอสังหาริมทรัพย์ และบทเรียนจากช่วงโควิด ทำให้บริษัทต่างๆ ต้อง “ลดความเสี่ยง” ด้วยการกระจายการลงทุนออกไปประเทศอื่นๆ
เวียดนามและอินโดนีเซียเป็นสองประเทศที่ Apple เลือก
ทิม คุก บอกว่า Apple จะมุ่งเน้นไปที่เวียดนามมากขึ้น และขยายความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ หรือ supply chain ในประเทศและลงทุนมากขึ้นในภูมิภาค
เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ทิม คุก ต้องทบทวนยุทธศาสตร์เกิดในปี 2022 เมื่อโรงงานของ Foxconn ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ของ Apple ปิดตัวลงเนื่องจากการระบาดของโควิด-19
เป็นจังหวะที่จีนมีนโยบายควบคุมโรคระบาดอย่างเข้มงวด ทำให้แผนการผลิตถูกกระทบ ซ้ำเติมด้วยปัญหาแรงงานเมื่อคนงานประท้วงว่านายจ้างเข้มงวดเกินเหตุ
การหยุดชะงักในกระบวนการผลิตครั้งนั้นส่งผลให้เกิดการขาดแคลน iPhone ประมาณ 6 ล้านเครื่อง
ทำให้ Apple สูญเสียรายได้ไปมหาศาล
หลังเหตุการณ์ครั้งนั้น Apple เริ่มมองหาวิธีในการกระจายห่วงโซ่อุปทานไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค
เวียดนามและอินเดียกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญในการขยายการดำเนินงานสำหรับการผลิตสินค้าตัวสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น AirPods, Apple Watch และล่าสุดคือ iPad
อีกเหตุผลหนึ่งที่สอดคล้องกับการขยับมาเวียดนาม ก็เพราะซัพพลายเออร์หลักหลายรายของ Apple เช่น Foxconn และ Luxshare ก็มีความแข็งแกร่งในประเทศนั้นเช่นกัน
ตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา Apple ได้ลงทุนประมาณ 16 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณเกือบ 6 แสนล้านบาท) เพื่อตั้งฐานการผลิตในเวียดนาม
อีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้บริษัทยักษ์ๆ ต้องปรับแผน ก็เพราะความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
นอกจากนี้ การที่รัฐบาลสหรัฐฯ สั่งห้ามบริษัทจีนไม่ให้เข้าถึงเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง ควบคู่ไปกับข้อกล่าวหาว่าจีนทำให้บางภาคส่วนมีสินค้าราคาถูกท่วมตลาดของประเทศอื่น ก็ยิ่งทำให้ระดับความตึงเครียดเพิ่มสูงขึ้นอีก
และที่มองข้ามไม่ได้คือ Apple เผชิญกับยอดขายที่ลดลงในประเทศจีนด้วยเช่นกัน เพราะการแข่งขันจากยี่ห้อจีน และเพราะเศรษฐกิจที่ซึมลงทำให้อำนาจซื้อของชนชั้นกลางจีนอ่อนแอตามไปด้วย
โดยยอดขาย iPhone หดตัวลง 24% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
ก็เพราะยอดขายที่ลดลงประกอบกับภาวะการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากยี่ห้อแบรนด์สมาร์ทโฟนจีน ส่งผลให้การจัดส่ง iPhone ลดลง 10% ในไตรมาสแรกของปีนี้
นั่นแปลว่า Apple ต้องสูญเสียตำแหน่งผู้ขายสมาร์ทโฟนอันดับต้นๆ ของโลกให้กับ Samsung
จึงพอจะสรุปได้ว่าเวียดนามมีความสำคัญต่อ Apple มากขึ้น เพราะบริษัทพยายามที่จะกระจายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีน
ทิม คุก เข้าพบนายกรัฐมนตรีเวียดนาม ฝ่าม มิงห์ จิ่ง เพื่อตอกย้ำถึงนโยบายที่จะมาขยายการลงทุนในประเทศนั้นอย่างต่อเนื่อง
ในการแถลงข่าว ทิม คุก บอกว่า “ไม่มีประเทศไหนเหมือนเวียดนาม เพราะเป็นดินแดนที่มีชีวิตชีวาและมีธรรมชาติที่สวยงาม”
พร้อมทั้งเสริมว่าการลงทุนของ Apple ในเวียดนามเพิ่มขึ้นสองเท่านับตั้งแต่ปี 2019
ทิม คุก เข้าคลุกคลีกับคนรุ่นใหม่อย่างคึกคัก ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา โปรแกรมเมอร์ และผู้สร้างเนื้อหาบนโซเชียลมีเดีย
ความจริง Apple เริ่มบุกเข้าเวียดนามเมื่อกว่าทศวรรษที่แล้ว และถึงวันนี้ได้สร้างงานมากกว่า 200,000 ตำแหน่งที่นั่น
เวียดนามวันนี้จึงกลายเป็นหนึ่งในห้าผู้ผลิตเกมมือถือชั้นนำของโลก
เวียดนามได้ก่อร่างสร้างฐานสำหรับการลงทุนของ Apple มายาวนาน ดูได้จากที่มีซัพพลายเออร์ 26 ราย และมีโรงงาน 28 แห่งในเวียดนาม
ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในจังหวัดทางตอนเหนือ ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับห่วงโซ่อุปทานที่มีอยู่ในจีนตอนใต้ได้อย่างง่ายดาย
เวียดนามตอนเหนือยังเป็นศูนย์กลางในการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในอดีตและมีแรงงานที่มีทักษะราคาถูก
จากเวียดนาม ทิม คุก ก็บินไปอินโดนีเซียเพื่อพูดคุยกับประธานาธิบดีโจโก วิโดโด เรื่องจะไปขยายการลงทุนที่นั่นเช่นกัน
อินโดฯ เป็นประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“เราได้พูดคุยเกี่ยวกับความปรารถนาของประธานาธิบดีที่จะเห็นการผลิตในประเทศ และนั่นเป็นหัวข้อที่เรากำลังพิจารณาอยู่” ทิม คุก บอกนักข่าวหลังพบผู้นำอินโดฯ
“ความสามารถในการลงทุนในอินโดนีเซียไม่มีที่สิ้นสุด มีสถานที่ดีๆ มากมายให้ลงทุนและเรากำลังลงทุน” เขากล่าวเสริม
แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดของแผนการลงทุนในด้านใดเป็นพิเศษ
แต่ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน Apple ได้ประกาศแผนการที่จะส่งเสริมการลงทุนในอินโดนีเซีย โดยจะเริ่มด้วยการเปิด Apple Developer Academy แห่งที่สี่ของประเทศในบาหลี
สถาบันนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อบ่มเพาะผู้มีความสามารถด้านเทคโนโลยีในระบบเศรษฐกิจแอป iOS ที่กำลังเติบโตของประเทศ โดยมุ่งเน้นที่การสอนการเขียนโค้ดและการออกแบบ
รัฐมนตรีอุตสาหกรรมอินโดฯ Agus GumiwangKartasasmita บอกว่า Apple ได้ลงทุนเป็นเงินรวม 1.6 ล้านล้านรูเปีย (ประมาณ 3,500 ล้านบาท) ในสถาบันทั้ง 4 แห่งในอินโดนีเซีย
รัฐบาลอินโดฯ ได้ขอให้ Apple จัดตั้งสถาบันการศึกษาอีกสองแห่ง แห่งหนึ่งอยู่ในอินโดนีเซียตะวันออก และอีกแห่งในเมืองหลวงใหม่บนเกาะบอร์เนียว
อินโดฯ เตรียมย้ายเมืองหลวงจากจาการ์ตาไปยังนูซันตาราในเดือนสิงหาคม
ประธานาธิบดีโจโกวีขอให้ทิม คุก เข้าร่วมโครงการ “เมืองอัจฉริยะ” ในเมืองหลวงแห่งใหม่อีกด้วย
อินโดฯ เพิ่งออกกฎใหม่ให้บริษัททั้งหลายเพิ่มสัดส่วนของชิ้นส่วนที่ทำในประเทศเพิ่มส่งเสริมการผลิตของประเทศ
เมื่อปี 2022 รัฐบาลได้เพิ่มจำนวนชิ้นส่วนและส่วนประกอบในประเทศที่ Apple ต้องใช้ในสมาร์ทโฟนเป็น 35% ของมูลค่าในปีนั้น
โดยเพิ่มจาก 20% ในปี 2016
ด้วยเหตุผลที่ว่าซอฟต์แวร์ต้องเป็นไปตามข้อกำหนดการจัดซื้อในท้องถิ่น Apple จึงได้จัดตั้งฐานการฝึกอบรมทั่วประเทศตั้งแต่ปี 2018
การประกาศล่าสุดถือเป็นการตอบสนองต่ออัตราส่วนการจัดซื้อในประเทศที่สูงขึ้น
การจัดซื้อซอฟต์แวร์ในประเทศนั้นคำนวณจากปัจจัยต่างๆ รวมถึงการออกแบบ สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา และการจ้างงานด้วย
ทุกวันนี้ Apple มีส่วนแบ่ง 11.57% ของตลาดโทรศัพท์มือถือของอินโดนีเซีย
ตามข้อมูล ณ เดือนมกราคม ของ Statista ผู้นำตลาดคือ Oppo โดยมีส่วนแบ่งเกือบ 18%
ตามมาด้วย Samsung ที่ประมาณ 17.44%
ทั้งหมดพอจะอธิบายได้ไหมว่าทำไมทิม คุก จึงไม่แวะประเทศไทย?
หรือรัฐบาลไทยยังต้องการการวิเคราะห์ที่ต้องลึกและกว้างกว่านี้...เพื่อบอกประชาชนคนไทยว่า
เวียดนาม, อินโดฯ มีอะไรที่ไทยเรายังไม่มี?.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ตัวชี้วัดเศรษฐกิจล้วนไปทางลบ... ท้าทายฝีมือ ครม. เศรษฐา 1/1
ตัวเลขชี้วัดเศรษฐกิจไทยที่โผล่ออกมาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาล้วนเป็นข่าวชวนคิดและกังวล
ตัวแปรหลักในสงคราม คือ ‘เจ้าพ่อเมียวดี’
คนที่ชายแดนแม่สอดบอกว่า ถ้าอยากจะเข้าใจสถานการณ์ความขัดแย้งในเมียวดีต้องรู้จักคนชื่อ พันเอก หม่อง ชิตตู่
เวียดนามกวาดล้างโกงกิน ระดับนำร่วงคนที่ 3 ในปีเดียว
เวียดนามเขย่าระดับสูงอย่างต่อเนื่อง...เป็นการยืนยันว่าจะต้อง “ชำระสะสาง” ให้สามารถจะบอกประชาชนและชาวโลกว่ายึดมั่นเรื่องธรรมาภิบาลและความโปร่งใสอย่างจริงจัง
สี จิ้นผิงบอกบลิงเกน: จีน-มะกัน ควรเป็น ‘หุ้นส่วน’ ไม่ใช่ ‘ปรปักษ์’
รัฐมนตรีต่างประเทศแอนโทนี บลิงเกนไปเมืองจีนครั้งล่าสุดเมื่อสัปดาห์ก่อนเจอกับ “เล็กเชอร์” จากประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเป็นชุด
สมรภูมิยะไข่: อีกจุดเดือด กำหนดทิศทางสงครามพม่า
หนึ่งในกองกำลังชาติพันธุ์ที่กำลังกล่าวขวัญกันอย่างกว้างขวางว่าได้ปักหลักสู้กับรัฐบาลทหารพม่าอย่างแข็งแกร่งคือ “อาระกัน” หรือ Arakarn Army (AA) ในรัฐยะไข่ ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศ ติดชายแดนบังคลาเทศ
ส่องกล้องสนามรบทั่วพม่า : แพ้ไม่ถาวร, ชนะไม่เบ็ดเสร็จ
แม้ว่าการสู้รบในเมียวดี ตรงข้ามกับแม่สอดดูจะแผ่วลง เพราะมีการต่อรองผลประโยชน์สีเทากันระหว่างกลุ่มต่างๆ แต่สงครามในเขตอื่นๆ ทั่วประเทศพม่ายังหนักหน่วงรุนแรงต่อไป