ไม่ใช่..แค่ป้ายโฆษณา

ถ้าใครไปโอซากา แล้วไม่ได้ถ่ายรูปคู่กับ "ป้ายกูลิโกะ" บนถนนย่าน Dotonbori ก็ต้องบอกว่าไปไม่ถึงโอซากานะคะ เพราะเป็นสัญลักษณ์ของเมืองโอซากาไปเสียแล้ว จนกระทั่งผู้บริหารเมืองอาจจะต้องขอร้องเจ้าของขนมกูลิโกะด้วยซ้ำว่า ..ห้ามวิ่งหนีไปไหนนะ ขอให้อยู่ตรงนี้ต่อไปเรื่อยๆ ชั่วนิรันดรกาล

เรียกว่า จุดถ่ายรูปตรงสะพานคลองโดตงโบริ ไม่เคยว่างเว้นผู้คน ที่จะไปถ่ายรูปกับป้ายผู้ชายชุดขาวชูสองมือหราให้อารมณ์เหมือนกำลังวิ่งเข้าเส้นชัยเลย ตั้งแต่เช้าสายบ่ายเที่ยงไปจนถึงย่ำค่ำดึกดื่น เพราะมนุษย์ป้าลองดูแล้วค่ะ ด้วยเห็นว่าตอนบ่ายผู้คนพลุกพล่านมาก จนเบียดเสียดไม่ไหว เล็งไว้ว่าสัก 4 ทุ่ม คนน่าจะโรยรา เหนื่อยล้ากลับที่พักกันแล้ว 555 กลับกลายเป็นว่า ยิ่งดึกยิ่งคึกคักครึกโครม เพราะเจ้าป้ายกูลิโกะมันส่องแสงสวย งดงามกว่าตอนกลางวันเสียอีก

เล่นเอาเหนื่อยเลยทีเดียว กว่าจะได้รูปที่ถูกใจ จากนั้นก็ต้องถามตัวเองว่า ..บ้าหรือเปล่า?!?

ไม่มีคำตอบนอกจากเสียงหัวเราะ และตั้งคำถามต่อไปว่า ทำไม..ป้ายสี่เหลี่ยมแค่ป้ายเดียวมีพาวเวอร์มากมายมหาศาล ดึงดูดผู้คนให้ต้องมาถึงจุดนี้..ให้ได้    

ทั้งๆ ที่ประวัติความเป็นมาของป้ายนี้ที่ริเริ่มติดตั้ง ณ จุดนี้มาตั้งแต่ปี 1935 นั้น นายริอิจิ เอซากิ ผู้ก่อตั้งบริษัทกูลิโกะ ก็คงไม่ได้คิดอะไรใหญ่โตเลยเถิดถึงขนาดนี้

อย่างไรก็ตาม เพราะอยากรู้ว่า ทำไม??? นี่แหละ เลยพาให้มนุษย์ป้าได้ความรู้เพิ่มเติมว่า จากความพยายามของพ่อที่อยากทำให้ลูกหายป่วยจากไข้รากสาด จึงเป็นต้นเรื่องที่ก่อให้เกิดกูลิโกะ ..

อ่านแล้วสนุกมากค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับข้อมูลที่บอกว่า ป้ายกูลิโกะปัจจุบันที่ถือว่าเป็นรุ่นที่ 6 นั้น มีหลอดแอลอีดีถึง 140,000 ดวง เพื่อประหยัดพลังงาน และเป็นการสดุดีนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น 3 คนที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์จากผลงานการประดิษฐ์คิดค้นไดโอดเปล่งแสงสีน้ำเงิน หรือแอลอีดี (LED) สีน้ำเงิน ซึ่งเมื่อนำมารวมกับแอลอีดีสีแดงและแอลอีดีสีเขียวที่มีอยู่แล้ว ส่งผลให้เกิดหลอดประหยัดไฟแสงสีขาวความเข้มสูง และผลงานนี้ยังได้รับการยอมรับว่ามีประโยชน์สูงสุดต่อมนุษยชาติ

ถ้าจะสรุปว่า นี่คือตัวอย่างของซอฟต์พาวเวอร์อย่างแท้จริง ที่มิต้องไปโพนทะนา แต่มันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ด้วยการใส่ใจของกูลิโกะซึ่งเลือกในสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุด และคืนกลับให้กับสังคมมากที่สุด  ..ได้หรือเปล่า?!?.

                                                       "ป้าเอง"

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ไม่ใช่เวลา..จับผิด!!

ความทุกข์ของคนที่จังหวัดสงขลา ไม่ว่าจะมากจะน้อยแล้วแต่เขตอำเภอ และพื้นที่แต่ละแห่ง ล้วนไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไร เพราะชีวิตประจำวันที่เคยเดินทางสัญจร ไปไหนมาไหนตามอำเภอใจนั้น ถูกจำกัดโดยปริยาย ซึ่งหมายความว่า ต่างได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า

“น้ำใจของคนไทย" ความงดงามที่ทำให้สังคมน่าอยู่

ประโยคนี้ใครไม่เห็นด้วย..ยกมือขึ้น!! ถ้าใครยังมองไม่เห็น แค่หรี่ตาข้างเดียวก็ได้ แล้วมองเหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้ในช่วงนี้ รับรองว่าจะเห็นแจ่มแจ้งถึงพลังแห่งความช่วยเหลือจากทุกทิศทางหลั่งไหลไปไม่ขาดสาย

ความเป็น..จีน..ที่เปลี่ยนไป

เวลาที่คิดจะไปเที่ยวเมืองจีน สิ่งแรกที่คิดถึงจนเป็นความกังวลของมนุษย์ป้าเอง เห็นจะไม่พ้นเรื่องของ "ห้องสุขา" ที่เรียกขานตามภาษาถิ่นของเขาว่า "สีโส่วเจียน" เพราะเอกลักษณ์อันไม่อาจลืมเลือนของที่นั่นคือ ความสะอาดที่ยากจะหาเจอ

เรื่องของ..มิวเซียม

เมื่อเดือนที่แล้วมีโอกาสไปเที่ยวมิวเซียม ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรียค่ะ ได้ความรู้และอรรถรสของการชมสถานที่สำคัญและน่าจดจำ ไม่ว่าจะเป็น Kunsthistorisches Museum Wien (พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ศิลปะเวียนนา) ที่ได้ชื่อว่าสะสมสมบัติของชาติไว้มากที่สุดแห่งหนึ่ง หรือจะเป็นร้านกาแฟที่้ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง