อนาคต...อันสุดแสนจะมืดมน!!!

เห็นข่าว ราคาทองคำ ช่วงนี้...แล้วอดที่จะหวนนึกไปถึง ลุงศรี-ชำนาญ บรรจงเกลี้ยง อดีตกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่เพิ่งวายชนม์ไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาขึ้นมามิได้ คือขณะที่ยังมีชีวิตแม้ว่าจะปลดระวางไปแล้วจากเรื่องการบ้าน-การเมือง แต่ลุงท่านก็ยังมิวายที่จะเกาะติดข่าวคราวเรื่องการบ้าน-การเมือง เรื่องความเป็นไปของโลกอย่างชนิดถึงไหนก็ถึงกัน โดยเฉพาะเรื่องความเป็นไปของ ราคาทองคำ ที่ท่านได้ซื้อเก็บเอาไว้ชนิดพอให้ได้ สะดุ้งจนเรือนไหว หรือพอให้ช่วยสร้างรายได้ค่าขนูกขนมในช่วงบั้นปลายของชีวิต หลังจาก ล้างมือในอ่างทองคำ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...

คือนอกจากท่านจะเพียรพยายามโทรศัพท์มาถามข่าวคราวเรื่องความเป็นไปของโลก ความเคลื่อนไหวของอเมริกา ของจีน ของรัสเซีย ฯลฯ ตลอดไปจนความเป็นไปของสังคมไทยแล้ว สิ่งที่ท่านมักจะต้องทิ้งท้ายไว้เป็น คำถาม เสมอๆ ก็คือ แนวโน้มราคาทองคำ ว่าจะขึ้น-จะลงไปถึงไหนต่อถึงไหน แต่ด้วยเหตุที่ อันตัวข้าพเจ้าเอง ไม่ได้เป็นนักเล่นหุ้น เล่นทอง หรือไม่ได้คิดจะประกอบธุรกิจ-ธุรกรรมใดๆ อีกต่อไปแล้ว ก็เลยได้แต่จนใจที่จะให้คำตอบแบบชัดๆ ได้แต่พูดรวมๆ เอาไว้ประมาณว่า...ยังไงๆ มันคงต้องขึ้นแน่ โดยเฉพาะถ้าหากโลกมันยังปั่นป่วน วุ่นวาย สับสน อลหม่าน อย่างไม่มีทางออก-ทางไปที่แน่ชัด แต่จะระเบิดเถิดเทิงไปถึงไหนต่อถึงไหน ก็ยากที่จะสรุปได้...

และเมื่อมาถึงทุกวันนี้...ถ้าหาก ลุงศรี ท่านยังมีชีวิตอยู่ เผลอๆ ท่านอาจจะกลายเป็น นายทุนน้อย ไปแล้วก็ไม่แน่ เพราะราคาทองคำที่ บาท ละแค่ไม่กี่พัน มาวันนี้...ปาเข้าไประดับบาทละสี่หมื่น-ห้าหมื่น แม้จะมีทองอยู่เพียงแค่หนวดกุ้งก็ตาม ยังหนีไม่พ้นต้องนอนสะดุ้งจนเรือนไหวอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ โดยที่ใครจะรวย-จะจน หรือไม่? อย่างไร? อันนั้น...คงเป็นอีกเรื่อง แต่โดยรวมๆ แล้ว ก็น่าจะสรุปได้ไม่ยากว่า ความปั่นป่วน วุ่นวาย ความสับสน อลหม่าน ของโลกทุกวันนี้ กำลังปรากฏให้เห็นอย่างเป็นที่ชัดเจน โดยอาศัยราคาทองคำ อันเป็นสินทรัพย์ที่ถือเป็นของแท้-แน่นอน กว่าบรรดาสินทรัพย์อื่นๆ นั่นแหละ เป็นเครื่องบ่งชี้โดยแทบไม่ต้องเสียเวลาอธิบาย...

แน่ล่ะว่า...ภายใต้สภาวะเช่นนี้ ในเมื่อประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ไม่ได้มีที่ตั้งอยู่บนอวกาศ ยังต้องมี ปฏิสัมพันธ์ กับความเป็นไปของโลกไม่ว่ามากหรือน้อยก็ตามที โอกาสที่จะต้องได้รับ ผลกระทบ จากความปั่นป่วน วุ่นวาย ความสับสน อลหม่าน ย่อมเป็นสิ่งที่มิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้อยู่แล้วแน่ๆ ยิ่งถ้าหากความเป็นไปของประเทศ ของสังคมไทย ไม่ได้เป็นอะไรที่แข็งแกร่ง แข็งแรง เต็มไปด้วยความอ่อนไหว เปราะบาง ในเรื่องต่างๆ อยู่มากมาย เยอะแยะ หรือเต็มไปด้วย กองฟืนแห้งๆ ที่ถูกวางสุมเอาไว้ในทั่วทุกซอกทุกมุมของประเทศ อันนี้...โอกาสที่จะถึงขั้น ถึงจังหวะ เตร๊ง-เตรง-เตร่ง-ต๋อย...ไฟไหม้มูลฝอยดังพรึ่บบ์บ์บ์ ย่อมต้องมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...

ด้วยเหตุนี้...สำหรับข่าวคราวเรื่องการเปลี่ยนขั้ว-เปลี่ยนข้าง ย้ายขั้ว-สลับขั้ว ภายในคณะรัฐบาล การปรับ ครม. หรือยุบสภา ฯลฯ จึงคงไม่ได้ถือเป็นเรื่อง แปลก หรือเป็นแค่เรื่อง ชิลๆ เท่านั้นเอง โดยเฉพาะสำหรับรัฐบาลที่ปกครองกันในระบอบประชาธิปไตยและระบบรัฐสภาทั้งหลาย เนื่องจากถือเป็นเรื่อง ธรรมชาติ ของระบอบปกครองเช่นนี้ แต่ที่น่าคิด น่าสะกิดใจ น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ สิ่งที่ลึกลงไปยิ่งกว่าเรื่องระบอบการเมือง-การปกครอง นั่นคือเรื่องของทัศนคติ ค่านิยม วัฒนธรรม-ประเพณี อันเป็นตัวก่อรูป ก่อร่าง ให้กลายมาเป็น โครงสร้างของสังคม มาโดยตลอด ไม่ว่าจะกี่ร้อย กี่พันปี อันนี้นี่แหละ...ที่จะถึงขั้นต้องสั่นไหว แอ่นระแน้ ระเนระนาด ไปเพราะผลกระทบแห่งความปั่นป่วน วุ่นวาย ความสับสน อลหม่านของโลกทั้งโลก ตามไปด้วยหรือไม่? อย่างไร? และขนาดไหน???                         

ภายใต้ ระบบข้าราชการ ที่แทบไม่ได้รับการปฏิรูป ปฏิสังขรณ์ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย จนทำให้ไม่ว่ารัฐบาลไหนต่อรัฐบาลไหน โกง-ไม่โกง สุจริต-ไม่สุจริต ล้วนแล้วแต่ต้องง่อยเปลี้ย เสียขา ไปตามๆ กัน ด้วยเหตุเพราะ นโยบาย หรือ มาตรการ ใดๆ ก็ตาม ไม่ได้ถูกนำไปปฏิบัติอย่างเป็นจริง-เป็นจัง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ตามที่รัฐบาลนั้นๆ ได้คาดหวังเอาไว้ อีกทั้งด้วยความ รู้รัก-สามัคคี ที่แทบไม่เหลือติดปลายนวม นับตั้งแต่ยุค ทศวรรษแห่งความมืดมน เป็นต้นมา ไม่ว่าคิดจะพลิกฟื้น คิดจะปรองดอง-สมานฉันท์ กันเพียงไร สุดท้าย...ก็มักถูก ดอง เอาไว้ในไหแห่ง ความเห็นแก่ตัว เห็นแก่กลุ่ม แก่ฝ่าย ของ ติ่งใคร-ติ่งมัน ไปตามสภาพ อันนี้นี่แหละ...ที่จะทำให้บรรดา ผลกระทบ ทั้งหลาย มันอาจหนักหน่วง รุนแรง กว่าที่ใครๆ เคยคาด เคยประเมินเอาไว้...

สรุปรวมความแล้ว...เลยอดไม่ได้ที่จะต้องรู้สึกปลาบปลื้ม ยินดี ต่อชะตากรรมของ ลุงศรี ที่ดัน โชคดีที่ตายก่อน ไปเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว เพราะสำหรับผู้ที่เคยทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิต ให้กับความหวัง ความปรารถนาที่จะให้ชาติ-บ้านเมืองของตัวเอง เกิดความเจริญก้าวหน้า ความเท่าเทียมเสมอภาค ความเป็นภราดรภาพของผู้คนในสังคมมาโดยตลอด แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จตามแนวทางที่ตัวเองเคยตั้งเอาไว้ในอดีต แต่ก็คงไม่ถึงกับต้องเจ็บปวด รวดร้าวอะไรมากมายนัก เมื่อเทียบกับแนวโน้มความเป็นไปของบ้าน-ของเมืองในอนาคต ที่แทบไม่อาจคาดการณ์ ไม่อาจประเมินได้เลยว่า มันจะพังพินาศ จะแหลกลาญ ยับเยิน กันไปถึงขั้นไหน???.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ความจริงเทียมทำร้ายสังคม

การสื่อสารของสื่อสารมวลชนที่ทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าประตูข่าว เลือกข่าวที่จะนำเสนอ และปิดข่าวที่ไม่ต้องการเสนอ ทำให้สังคมรับรู้ความจริงเทียม (Pseudo-reality)

น้ำท่วม!!!...กับ'พรหมวิหาร4'

ออกจะหนักหนา-สาหัสมิใช่น้อย...สำหรับ น้ำท่วมปักษ์ใต้ คราวนี้!!! ไม่ใช่แต่เฉพาะ หาดใหญ่-สงขลา ที่แม้แต่ผู้เป็นห่วง เป็นใย ออกไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ยังอดร้องห่ม ร้องไห้

เมื่อ 'ศูนย์ฯ' กลายเป็น 'ศูนย์'

ฟังเหตุผล ผบ.ต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ แม่ทัพใหญ่สีกากี ถึงเรื่องที่ พล.ต.ต.ธีรศักดิ์ ไชยโยธา ผู้การสงขลา มีคำสั่งเด้ง ผู้กำกับหาดใหญ่-พ.ต.อ.ธรรมรัตน์ เพชรหนองชุม

ดวงชะตาเมืองรัตนโกสินทร์ปี 2569 (ตอนที่2) เหตุสำคัญที่มีเกณฑ์เกิดในเมืองปี 2569

ตลอดปีเสียอะไรไปสู้ได้กลับมา-ภายใน 21 เมษายน เมืองยังมีโอกาสเสียคนหรือของรัก-ฟาดเคราะห์ให้เมืองด้วยการร่ว

เมื่อผู้ใหญ่จัญไรอัปรีย์...จะมีอะไรดีให้ลูกหลาน

ลองวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองของไทยเราขณะนี้ เราก็จะเห็นว่าประเทศไทยเรากำลังตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ เพราะมีผู้ใหญ่เห็นแก่ตัว ทำตัวชั่วช้าสามานย์

แด่..อาจารย์'สุธี ประศาสน์เศรษฐ'

หลังออกจากห้อง ไอซียู เมื่อเกือบ 2-3 ปีที่แล้ว...หนึ่งในผู้ที่โทรศัพท์ไปให้กำลังใจ ไปเชียร์ให้สู้ๆ เข้าไว้ ก็คือ ดร.สุธี ประศาสน์เศรษฐ ผู้ที่แนะนำตัวเองด้วยสำเนียงติดตลกมาทางโทรศัพท์