
ในที่สุด รัฐนาวาทักษิณ ชินวัตร ที่มี “แพทองธาร ชินวัตร” เป็นกัปตันที่ถูกชักใยนั้น ก็ทนกระแสสังคมไม่ไหว จากแรงต้านของทุกภาคส่วนและทุกศาสนา อาจจะยกเว้นแค่เซเลบและดาราเท่านั้นในเรื่องของสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งเราไม่ปฏิเสธในข้อเท็จจริงว่า “แพทองธาร” ได้แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน 2567 ในนโยบายที่ 7 ระบุว่า ...เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-made Destinations) เช่น สวนน้ำ สวนสนุก ศูนย์การค้า สถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) นำคอนเสิร์ต เทศกาล และการแข่งขันกีฬาระดับโลกมาจัดในประเทศไทย รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองน่าเที่ยว เพื่อ ดึงดูดนักท่องเที่ยวและเม็ดเงินมหาศาลที่จะกระจายลงสู่ผู้ประกอบการภายในประเทศได้อย่างรวดเร็ว ...๐
แต่คำว่าเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ในยามนั้น ไม่มี “กาสิโน” 10% แต่ประการใด เหมือนสอดไส้เอาไว้ให้ดูสวยหรูเท่านั้น ดังนั้น การที่ “นายกฯ อิ๊งค์” เที่ยวโพนทะนาตั้งแต่หลังประชุมคณะรัฐมนตรีจวบจนตลอดการทำงานในวันพุธ ว่าเรื่องดังกล่าวถูกการเมืองบิดเบือนจนละเลยความเป็นจริงนั้น สังคมก็น่าจะตัดสินใจได้ว่า ใครกันแน่ที่บิดเบือนซ่อนเร้นข้อเท็จจริงดังกล่าว กันแน่ ...๐
ต้องปรบมือดังๆ ให้กับ “ไชยชนก ชิดชอบ” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ที่กล้าประกาศลั่นกลางสภาผู้แทนราษฎรว่า “จะไม่มีวันเห็นด้วยกับกาสิโน และไม่ใช่แค่ พ.ร.บ.ฉบับนี้ แต่ทุก พ.ร.บ.หลังจากนี้ แม้กระทั่ง พ.ร.บ.ของพรรคภูมิใจไทยที่เราคิดขึ้นมาและนำเสนอ” ต้องบอกว่าสมศักดิ์ศรีคนบุรีรัมย์และการเป็น ลูกชายคนโตของ “เนวินและกรุณา ชิดชอบ” จริงๆ …๐
ไม่ใช่ความกล้าเพียงอย่างเดียวที่ “ไชยชนก” ได้ประกาศจุดยืนตัวเอง แต่ในฐานะหนึ่งในใน สส.ที่เสนอญัตติด่วนเรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแผนการรับมือจากภัยพิบัติธรรมชาติและผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก และภัยความมั่นคงจากสถานการณ์โลก ซึ่งเกี่ยวเนื่องจากภาษีที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายน ก็ต้องบอกว่า “พรรคภูมิใจไทย” ทั้ง “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย รวมถึงพ่อเนวินในฐานะครูใหญ่พรรคมีตัวตายตัวแทนที่น่าจับตา และน่าติดตามแล้ว ...๐
เห็นได้จากการอภิปรายที่พูดแบบชัดๆ ตรงๆ ที่ระบุว่า …สิ่งหนึ่งที่มองเห็นว่าทุกท่านขาดไปคือสติ ทุกท่านมีเจตนาที่ดี แต่เราคือใคร ผมเห็นด้วยกับฝ่ายค้านที่นายกฯ ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอไปคุยกับทรัมป์ แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีศักยภาพ แต่จีนก็คุยกับทรัมป์ไม่รู้เรื่อง อย่าว่าแต่นายกฯ หรือพวกท่าน วันนี้เทวดามาคุยก็ไม่รู้ว่าจะคุยรู้เรื่องหรือเปล่า วันนี้ไม่ใช่เวลาที่เราจะต้องออกมาพูดในสิ่งที่พี่น้องประชาชนต้องการจะได้ยิน แต่เป็นเวลาที่ต้องออกมาพูดในสิ่งที่พี่น้องประชาชนจำเป็นต้องได้ยิน เวลานี้ไม่ใช่เวลาแห่งการพัฒนา ไม่ใช่เวลาแห่งการลงทุน และกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นเวลาที่เราไม่ควรก้าวไปข้างหน้า เป็นเวลาที่เราควรหยุดแล้วถอยมาหนึ่งก้าว และรักษาบุคลากร ทรัพยากรของประเทศไว้ให้มากที่สุด เพื่อให้เราผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกันให้ได้ ซึ่งรับประกันว่า ประเทศที่ผ่านวิกฤตนี้และลุกขึ้นได้เร็วที่สุดจะกลายเป็นมหาอำนาจถัดไป …๐
หันมาที่คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญในวันสุกดิบก่อนสงกรานต์กันบ้าง เพราะเรียกว่าเล่นเอาฮือฮาอย่างมาก โดยเรื่องของ การฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว.นั้น ก็มี 2 เรื่องด้วยกัน โดยเรื่องแรกศาลรัฐธรรมนูญก็มีมติเอกฉันท์ตีตกคำร้อง “ณฐพร โตประยูร” ในฐานะปมขอให้วินิจฉัยสั่งฟันคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เหตุปล่อยฮั้วเลือก สว. โดยศาลชี้ว่า “ณฐพร” ไม่ใช่ผู้ถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพ กกต.ทำตามกฎหมาย หากเห็นว่าเสียหายก็ใช้สิทธิทางศาลอื่นได้ ...๐
ในขณะที่อีกคดีหนึ่งนั้นก็มี มติเป็นเอกฉันท์เช่นกันในการรับการแก้ไขคำร้องของ สว. 92 คน ที่ให้สอบ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม และ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รมว.ยุติธรรม ในการฝ่าฝืนจริยธรรมปมผลักดันให้กรมสอบสวนคดีพิเศษสอบฮั้วเลือก สว.เป็นคดีพิเศษ แต่ได้ยกคำขอคุ้มครองชั่วคราวที่ฝ่าย สว.ขอมาด้วย แต่ที่เป็น ไฮไลต์มากที่สุดก็ต้องบอกว่าการพลิกกลับ 360 องศา ด้วยมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 3 รับตีความอำนาจและหน้าที่รัฐสภาในการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ พร้อมสั่งหน่วยงานเกี่ยวข้องชี้แจงใน 15 วัน ซึ่งไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ก็คาดว่าจะทำให้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญหลังเปิดสมัยประชุมใหม่คึกคักขึ้นมาอีกแน่นอน หากไม่มีอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเสียก่อน ...๐
ท.ศักดิ์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
บันทึกหน้า 4
ถึงคิว "พรรคส้ม" หลังประชาธิปัตย์ประเดิมเปิด 100 รายชื่อปาร์ตี้ลิสต์เป็นพรรคแรก ถึงแม้จะเป็นการเรียงตามตัวอักษร ไม่ใช่เรียงลำดับที่แท้จริงก็ตาม พอเดากันได้ว่า 3 อันดับแรก น่าจะเป็น 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
บันทึกหน้า 4
ต้องบอกว่าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ณ วันนี้ยังคงร้อนแรงอยู่อย่างต่อเนื่อง ก็อย่างที่เคยบอกไว้แล้วว่า หาก “ระบอบฮุน เซน” ไม่ตายจากดินแดนเขมร ก็ยากหาความสงบลงได้
บันทึกหน้า 4
ปี่กลองเลือกตั้งดังสนั่น หลังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 เป็นวันเลือกตั้ง สส. ส่วนวันที่ 27-31 ธ.ค.2568 เป็นวันรับสมัคร สส.แบ่งเขตเลือกตั้ง 28-31 ธ.ค.2568 วันรับสมัค สส.บัญชีรายชื่อ ส่วนการทำประชามติเรื่องยกเลิกMOU 43 และ MOU 44 คงไม่มีแล้ว โดย นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล
บันทึกหน้า 4
ขอเข้าโหมดเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ หลังคำสั่งยุบสภาเมื่อ 12 ธ.ค.ที่ผ่านมา ทำให้สนามการเมืองที่อุ่นๆ กลายเป็นเตาแก๊สเปิดไฟแรงในพริบตา เลือกตั้งต้นปี 2569 ยังไม่ทันมาถึง แต่เกมช่วงชิงอำนาจเริ่มเดือดเกินองศา
บันทึกหน้า 4
บันทึกตอกย้ำบรรทัดแรกว่า "ไทยนี้รักสงบ!!" จากวันแรกที่มีสยามประเทศ ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศผู้รุกรานเชิงจักรวรรดินิยม ไม่เคยสร้างอาณานิคมในต่างแดน เราจะลุกขึ้นสู้เพื่อป้องกันตนเอง หรือตอบโต้ เพื่อการรักษาดินแดนของตัวเองเท่านั้น
บันทึกหน้า 4
ยังไม่ถึงเวลา! วันศุกร์นี้ "รัฐบาลอนุทิน" ยังคาดเข็ดขัดนิรภัยต่อ แม้ "นายกฯ หนู" จะบอกว่าพร้อมยุบสภาทุกเมื่อ เตรียมพระราชกฤษฎีการอไว้แล้ว ถึงจะเลื่อนเร็วขึ้นจากไทม์ไลน์เดิม 31 ม.ค. 69 แต่ไม่ใช่ 12 ธ.ค.

