
ต้องบอกว่าไม่แปลกใจแต่ประการใดที่โลกโซเชียลและโลกความจริงต่างพาเหรดสับรัฐบาล (พ่อ) เลี้ยงแบบไม่มีชิ้นดี โดยเฉพาะในเพจไทยคู่ฟ้า หลังเผยแพร่ แถลงการณ์กรณีสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา โดย “จิรายุ ห่วงทรัพย์” เพราะเรื่องดังกล่าวต้องบอกว่าเป็นเรื่องร้อนแรง ซ้ำร้ายยังเป็นเรื่องพาดหัวตัวไม้ของหนังสือพิมพ์ต่างๆ มาซักระยะแล้ว ตั้งแต่เกิด เหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา ที่บริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อเวลาประมาณ 05.30-05.45 น. ในเช้าวันที่ 28 พ.ค. ทำให้ “ทหารเขมร” เสียชีวิต 1 นาย ...๐
โดยหลังเหตุการณ์นั้น พ่อลูกตระกูลฮุน ทั้ง “ฮุน เซน” และ “ฮุน มาเนต” ก็ใช้สื่อสังคมออนไลน์ รวมถึงการให้สัมภาษณ์ต่างๆ นานา เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่ประเทศตนเอง และป้ายสีมาที่ไทย สุดท้ายถึงขั้นจะลากเรื่องดังกล่าวไปถึงศาลโลก แต่พี่ไทยกลับนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว เพิ่งจะมา ออกแถลงการณ์เรื่องดังกล่าวในวันที่ 4 มิ.ย.2568 เวลา 7 โมงเช้า ที่สำคัญคนเอามาเผยแพร่ดังกล่าวกลับเป็นตำแหน่งเทกระโถนหรือโฆษกทำเนียบฯ ทั้งที่เป็นเรื่องใหญ่ที่ขั้นต่ำที่สุดก็ต้องเป็น “มาริษ เสงี่ยมพงษ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้เผยแพร่ ...๐
งานนี้จึงไม่แปลกที่เสียงในโลกความจริงและโลกออนไลน์ถึงได้สับเละในเรื่องดังกล่าว ทั้งในเรื่องความล่าช้า และเนื้อหาแถลงการณ์ที่กระมิดกระเมี้ยนอ้อมโลกอีกต่างหาก ซ้ำร้ายแถลงการณ์ก็ดันไม่ตรงกับคำให้สัมภาษณ์ของผู้นำประเทศอย่าง “แพทองธาร ชินวัตร” ด้วย เพราะก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ “นายกฯ อิ๊งค์” ถูกถามเรื่องดังกล่าวว่าได้คุยกับผู้นำกัมพูชาหรือยัง เจ้าตัวก็ตอบว่าไม่ได้คุย แต่พอหลังประชุม ครม.มาแถลงเรื่องดังกล่าว “นายกฯ อิ๊งค์” กลับประกาศว่า “ความสัมพันธ์ของผู้นำเป็นมิตรกัน รวมทั้งได้คุยกับนายกฯ กัมพูชาว่าจะถอยความรุนแรง ไม่ปะทะกัน ซึ่งก็ให้ความร่วมมือจริงๆ ณ วันนั้น” ...๐
ไม่รู้จะเชื่อ “นายกฯ แพทองโพย” ตอนไหนดี เพราะชักเข้าชักออกไม่มีความแน่นอน แล้วที่น่าอนาถคือ การเลือกคบเพื่อนที่ถือมีดรอแทงข้างหลังแบบนี้ แล้วยังหน้าระรื่นมาประกาศว่าเป็นมิตรกัน เลยทำให้ “น้องช่อ” พรรณิการ์ วานิช โฆษกคณะก้าวหน้า ออกมาอบรม “นายกฯ อิ๊งค์” ว่าไร้เดียงสาทางการเมืองเกินไป พร้อมสอนว่าควรยุติการชูความสนิทสนมส่วนบุคคล เพราะนี่คือเรื่องของบูรณภาพทางดินแดน เป็นเรื่องของผลประโยชน์รัฐต่อรัฐ ต้องปรบมือดังๆ ให้กับ “พรรณิการ์” เลยทีเดียวว่าสั่งสอนได้ถูกต้อง ...๐
ไม่ใช่มีแค่ “พรรณิการ์” คนเดียวที่ต้องยกนิ้วให้ ดูเหมือน 10 ข้อยุทธศาสตร์ “ชนะโดยไม่ต้องรบ” แก้ขัดแย้งไทย-กัมพูชา ข้อเสนอของ “รังสิมันต์ โรม” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ก็ต้องบอกว่าเรียกเสียงปรบมือได้เช่นกัน เพราะดูเหมือนเป็น ข้อเสนอที่จับต้องได้มากกว่าหัวหน้าอย่าง “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” ที่ดูเหมือนจะเล่นการเมืองมากเกินไป ...๐
เอ่ยถึงการเมืองจะไม่พูดเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรีก็ไม่ได้ เพราะล่าสุด “แพทองธาร” ก็ยอมรับเสียทีว่าคิดอยู่ในใจแล้ว และคงต้องมีการพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลก่อน แหม! บอกว่าคิดอยู่ในใจ แต่ สังคมก็รู้ตั้งแต่ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ประกาศทวงคืนเก้าอี้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสำคัญต่างๆ เรียกว่าเป็นการ “เคาะกะลา” กันแล้ว ...๐
สำหรับกระทรวงมหาดไทยนั้นก็มีเต็งหามที่ชื่อ “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” ที่จะข้ามห้วยจากรองนายกฯ และ รมว.ดีอี มานั่งคุม ในขณะที่ “กระทรวงการคลัง” นั้น ก็มีชื่อของ “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” อดีตรองนายกฯ และ รมว.พลังงาน ในรัฐบาลลุงตู่โผล่มาให้สังคมคอยติดตามแล้ว ซึ่งไม่น่าแปลกที่กระทรวงวายุภักษ์จะมีการล้างบางไพ่ใหม่ เพราะไล่มาตั้งแต่ “ขุนคลัง” และ รมช.การคลังนั้น บอกได้คำเดียวว่าทำให้ภาพพรรคเพื่อไทยที่บอกว่ามีฝีมือในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจนั้นดิ่งลงเหวอย่างชัดเจน แล้วที่สำคัญจะโทษพรรคร่วมรัฐบาลอื่นก็ไม่ได้ด้วย เพราะทั้ง 3 เก้าอี้ก็เป็นโควตาทั้งหมดของพรรคเพื่อไทย งานนี้หากไม่มีการล้างไพ่และเขย่ากระทรวงการคลังใหม่ ก็เชื่อหัวไอ้เรืองได้เลยว่า เศรษฐกิจไทยก็คงไม่ฟื้นแน่ ...๐
แต่ที่น่าจะเปลี่ยนจริงๆ นั่นคือเก้าอี้นายกฯ แม้จะเป็นไปไม่ได้ก็ตามที เพราะนับวันเสียงเรื่อง “รัฐล้มเหลว” ถูกพูดมากขึ้นทุกวี่วัน ซึ่งหากให้ความเป็นธรรมแล้วคงไม่ถึงขั้นนั้น แต่หากเป็นผู้นำประเทศล้มเหลวนั้นก็คงต้องบอกว่าอยู่ไม่ไกลแต่ประการใด ดูได้จากการให้ความสำคัญในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะ ในยามประเทศเผชิญวิกฤตหน้าสิ่วหน้าขวานที่ผ่านมาก็น่าจะรู้ว่า ผู้นำไทยนั้นสร้างความอบอุ่นใจให้คนไทยกว่า 71 ล้านคนได้มากน้อยเพียงใด ...๐
ท.ศักดิ์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
บันทึกหน้า 4
การสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา ไทยยังเหนือกว่าทุกด้าน สมรภูมิตามแนวชายแดน ทหารกล้าของเราบุกยึดพื้นที่คืนกลับมาเกือบเบ็ดเสร็จ ในเวทีสากล นานาชาติก็เข้าใจสถานการณ์ดี
บันทึกหน้า 4
บรรยากาศการเมืองไทยเวลานี้ ถ้าใครยังคิดว่าเป็นช่วงพักหายใจ บอกเลยคิดผิด เพราะสนามจริงของการเลือกตั้งปี 2569 เปิดเกมกันแล้วแบบไม่ต้องรอเสียงนกหวีด ใครมีของก็เริ่มโชว์ ใครยังตั้งหลักไม่ทันก็เริ่มเห็นทรงชัดขึ้นทุกวัน พรรคใหญ่ พรรคเล็ก ต่างขยับกันคึก แต่พรรคที่ถูกสปอตไลต์ส่องแรงสุด นาทีนี้หนีไม่พ้น “เพื่อไทย”
บันทึกหน้า 4
บันทึกในวันที่การเมืองเรื่องศึกเลือกตั้งใหญ่ 8 ก.พ.2569 คึกคักๆ ไม่มีการกั๊กกันอีกต่อไป ...0
บันทึกหน้า 4
ถึงคิว "พรรคส้ม" หลังประชาธิปัตย์ประเดิมเปิด 100 รายชื่อปาร์ตี้ลิสต์เป็นพรรคแรก ถึงแม้จะเป็นการเรียงตามตัวอักษร ไม่ใช่เรียงลำดับที่แท้จริงก็ตาม พอเดากันได้ว่า 3 อันดับแรก น่าจะเป็น 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
บันทึกหน้า 4
ต้องบอกว่าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ณ วันนี้ยังคงร้อนแรงอยู่อย่างต่อเนื่อง ก็อย่างที่เคยบอกไว้แล้วว่า หาก “ระบอบฮุน เซน” ไม่ตายจากดินแดนเขมร ก็ยากหาความสงบลงได้
บันทึกหน้า 4
ปี่กลองเลือกตั้งดังสนั่น หลังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 เป็นวันเลือกตั้ง สส. ส่วนวันที่ 27-31 ธ.ค.2568 เป็นวันรับสมัคร สส.แบ่งเขตเลือกตั้ง 28-31 ธ.ค.2568 วันรับสมัค สส.บัญชีรายชื่อ ส่วนการทำประชามติเรื่องยกเลิกMOU 43 และ MOU 44 คงไม่มีแล้ว โดย นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล

