
ต้องบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยและอาจถึงขั้นประวัติศาสตร์โลกเลยก็ว่าได้ เพราะตำรวจโลกอย่างสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2515 ได้เกิดคดีวอเตอร์เกต จนทำให้ “ริชาร์ด นิกสัน” ประธานาธิบดีคนที่ 37 ต้องลาออก ซึ่งเป็นการลาออกครั้งแรกและครั้งเดียวของประธานาธิบดีในประวัติศาสตร์อเมริกัน แต่ในยุคปัจจุบัน ข้ามน้ำข้ามทะเลมายัง “สยามประเทศ” ในปี 2568 ก็มี “คลิปเสียง” ความยาวทั้งสิ้น 17 นาที 6 วินาที มัดผู้นำไทยอย่าง “แพทองธาร ชินวัตร” ในการพูดคุยหารือกับ “สมเด็จฮุน เซน” ประธานวุฒิสภาเขมร เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ในเหตุการณ์ชายแดนที่ไทยและกัมพูชาไม่ลงรอยกัน ...๐
โดยล่าสุดแม้ “แพทองธาร” จะแสดงความกล้าหาญยอมรับว่าเป็นเสียงสนทนากับ “ฮุน เซน” จริง พร้อมตัดพ้อว่า “จะไม่ขอคุยส่วนตัวอีกแล้ว เพราะมีปัญหาเรื่องการไว้ใจ บทสนทนาแบบนี้ไม่ควรที่จะออกมา เพราะนี่คือระดับผู้นำของประเทศ คือนายกฯ และอดีตนายกฯ ที่เป็นนายกฯ มาตั้งแต่อายุ 32 ปี และเป็นพ่อของนายกฯ คนปัจจุบัน” ...๐
ดูเหมือน “นายกฯ อิ๊งค์” จะเล่นบทเหยื่อถูกกลั่นแกล้งที่มีการปล่อยคลิปแฉออกมา แต่ความจริงก็กลบเนื้อหาหลักไม่ได้ ทั้งเรื่องการตำหนิกองทัพไทย รวมทั้งการเอาอกเอาใจ “ลุงฮุน เซน” จนออกหน้าออกตา เพราะอย่าลืมว่า แม้ตระกูลชินวัตรและตระกูลฮุนจะสนิทแนบแน่นกันขนาดไหน แต่ “แพทองธาร” ก็สวมหัวโขนเป็นนายกรัฐมนตรีประเทศไทย และผู้นำของคนกว่า 70 ล้านชีวิต คำพูดคำจาของนายกฯ แม้จะอ้างว่าเป็นการพูดหลังไมค์ เพื่อลดความโกรธของตระกูลฮุน ก็ไม่ได้สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้แก่คนไทยแต่ประการใด ซึ่งนายกฯ ต้องแสดงความรับผิดชอบมากกว่าที่ยอมรับเป็นคลิปเสียงตัวเอง เพราะไม่เช่นนั้นอาจเจริญรอยตาม “สทร.” ที่อาจต้องระเห็จออกนอกประเทศก็เป็นได้ ...๐
งานนี้ต้องบอกว่า “หนักหนา” มากกว่าการเขี่ยพรรคภูมิใจไทยของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยทิ้ง เพื่อยึดโควตา “มท.” ตามคำสั่งบิดาเสียอีก ที่สำคัญหากนายกฯ เลือกยุบสภาหรือลาออกตอนนี้ ก็ต้องบอกว่าการเขี่ยภูมิใจไทยให้ออกจากเก้าอี้ก็เป็นไปได้ยากเท่าตัว งานนี้จึงต้องจับตากันอย่างไม่กะพริบว่า “รัฐบาล (พ่อ) เลี้ยง” จะเดินเกมการเมืองอย่างไร เพราะ ยิ่งทอดเวลาออกไป เสียงเพรียกหากองทัพให้เข้ามาทำหน้าที่กวาดบ้านก็เริ่มกระหึ่มมากขึ้น เพราะมีแรงเร้าจากเหตุการณ์ชายแดนและคลิปเสียงนายกฯ ...๐
นี่ยังไม่นับรวมปม ปัญหาที่ “คำนูณ สิทธิสมาน” อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์เฟซบุ๊กว่าระเบิดลง! จากกรณีสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ส่งหนังสือเตือนมายังอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงบประมาณส่งหนังสือไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับอนุมัติงบประมาณไปแล้ว ขอถอนการอนุมัติ และขอให้ทบทวนความจำเป็นในการใช้งบประมาณ รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รับเรื่องพิจารณาการโยกงบประมาณปี 2568 ของรัฐบาลขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 144 หรือไม่ เพราะมีการแปรญัตติแปลงยอดการชำระเงินกู้มาเป็นงบกลางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเดิมจะเป็นโครงการแจกเงิน 1 หมื่นบาท มาเป็นจัดสรรให้โครงการต่างๆ ของ อปท. ซึ่งต้องบอกว่า ถ้า ป.ป.ช.ฟันขึ้นมาก็เรียกว่าหนาวกันทั้งรัฐบาลและรัฐสภากันเลยทีเดียว ...๐
หันมาส่องการประชุมวันแรกของ “ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.)” กันบ้าง โดยหลังประชุมเสร็จ “พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์” รมช.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการ ศบ.ทก., “นิกรเดช พลางกูร” อธิบดีกรมสารนิเทศ ในฐานะโฆษก ศบ.ทก. และ “พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ” รองโฆษกกองทัพไทย ในฐานะโฆษก ศบ.ทก. ก็ออกมาแถลงอย่างพร้อมเพรียง แต่หากไปดูในโลกความจริงและโลกโซเชียลหลังการแถลงดังกล่าว ต้องบอกว่ามีแต่ก้อนหินไม่มีดอกไม้เลย โดนต่างมองตรงกันว่าเป็นการแถลงที่แสนเชยและอืดอาดไม่ทันกินในโลกยุคดิจิทัล นี่ถ้าไม่รู้ว่าเป็นปี 2568 ใครต่อใครคงคิดว่าเป็นปี 2548 เสียอีก เพราะเหมือนการแถลงยุค 2 จี ตามระบบราชการอย่างไรอย่างนั้น ทั้งที่ “เขมร” เขาทำสงครามข่าวสารไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว แต่พี่ไทยยังย่ำอยู่กับที่กับระบบราชการ แทนที่จะปรับให้ตรงกับสภาพสังคมและบริบทโลกในยุคปัจจุบัน งานนี้หากคิดไม่ได้ก็ขอแนะนำให้ไปอ่านที่ “ดร.กิตติธัช ชัยประสิทธิ์” นักวิชาการอิสระ และอาจารย์ด้านสถาปัตยกรรม สอนพิเศษด้าน ปรัชญาการเมือง ได้โพสต์แนะนำการทำหน้าที่ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารที่ “ศบ.ทก.” ควรเป็น เพื่อจะได้ทันเกมและอาจคุมเกมแทนเขมรกันได้บ้าง ...๐
ท.ศักดิ์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
บันทึกหน้า 4
บันทึกในวันที่การเมืองเรื่องศึกเลือกตั้งใหญ่ 8 ก.พ.2569 คึกคักๆ ไม่มีการกั๊กกันอีกต่อไป ...0
บันทึกหน้า 4
ถึงคิว "พรรคส้ม" หลังประชาธิปัตย์ประเดิมเปิด 100 รายชื่อปาร์ตี้ลิสต์เป็นพรรคแรก ถึงแม้จะเป็นการเรียงตามตัวอักษร ไม่ใช่เรียงลำดับที่แท้จริงก็ตาม พอเดากันได้ว่า 3 อันดับแรก น่าจะเป็น 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
บันทึกหน้า 4
ต้องบอกว่าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ณ วันนี้ยังคงร้อนแรงอยู่อย่างต่อเนื่อง ก็อย่างที่เคยบอกไว้แล้วว่า หาก “ระบอบฮุน เซน” ไม่ตายจากดินแดนเขมร ก็ยากหาความสงบลงได้
บันทึกหน้า 4
ปี่กลองเลือกตั้งดังสนั่น หลังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 เป็นวันเลือกตั้ง สส. ส่วนวันที่ 27-31 ธ.ค.2568 เป็นวันรับสมัคร สส.แบ่งเขตเลือกตั้ง 28-31 ธ.ค.2568 วันรับสมัค สส.บัญชีรายชื่อ ส่วนการทำประชามติเรื่องยกเลิกMOU 43 และ MOU 44 คงไม่มีแล้ว โดย นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล
บันทึกหน้า 4
ขอเข้าโหมดเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ หลังคำสั่งยุบสภาเมื่อ 12 ธ.ค.ที่ผ่านมา ทำให้สนามการเมืองที่อุ่นๆ กลายเป็นเตาแก๊สเปิดไฟแรงในพริบตา เลือกตั้งต้นปี 2569 ยังไม่ทันมาถึง แต่เกมช่วงชิงอำนาจเริ่มเดือดเกินองศา
บันทึกหน้า 4
บันทึกตอกย้ำบรรทัดแรกว่า "ไทยนี้รักสงบ!!" จากวันแรกที่มีสยามประเทศ ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศผู้รุกรานเชิงจักรวรรดินิยม ไม่เคยสร้างอาณานิคมในต่างแดน เราจะลุกขึ้นสู้เพื่อป้องกันตนเอง หรือตอบโต้ เพื่อการรักษาดินแดนของตัวเองเท่านั้น

